เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0007
ตอนที่ 7 : ศึกของเหล่าองค์ชาย
“ฉินหยุน หากเจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่จริง เช่นนั้นเจ้าย่อมได้เป็นนักเรียนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง!” แม้ว่าน้ำเสียงของหยางฉีเย่ว์จะเย็นเยือก แต่กลับยังน่าฟังอย่างประหลาด
“ยามเมื่อเจ้าปลดปล่อยพลังปราณ สิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุดของผู้ที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์รดับที่สี่คือ พลังปราณจะส่องแสงเรืองแสง”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ หลังสูดลมหายใจเข้า เขาเริ่มโคจรพลังปราณ ฝ่ามือนั้นอ้าออกพร้อมปลดปล่อยพลังปราณออกมา
ทุกคนต่างจ้องมองฝ่ามือจึงได้เห็นว่าในกำมือมีหมอกเรืองแสงเคลื่อนคล้อยออกมาคล้ายใบหญ้า
เมื่อได้เห็นหมอกเช่นนี้ปรากฏ ทุกคนต่างพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะในทันที
“นั่นอะไร? ปราณแบบนั้นให้ข้าตดออกมายังจะแรงกว่าเสียอีก”
“ด้วยปราณมหาศาลเช่นนี้ เป็นข้าคงม้วนหน้ากลับบ้านไปฝึกอีกสักสิบปีแล้ว”
“การจะฝึกเพื่อเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ได้สมควรมีมากกว่านี้ ทว่านี่เรียกว่าพลังปราณได้งั้นหรือ?”
ทุกคนต่างเย้ยหยัน หัวเราะ และยั่วยุ
ฉินหยุนแสร้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินคำยั่วยุเหล่านี้ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงจังขณะมองที่หยางฉีเย่ว์และกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าเพียงเพิ่งก่อพลังธาตุได้ในเช้าวันนี้ ข้ายังไม่คุ้นชินกับการควบคุมพลังธาตุและพลังปราณในร่างเท่าใดนัก”
หลังจักรพรรดินีได้ยินเสียงเย้นหยันจากฝูงชน นางถอนหายใจอย่างโล่งอกและแค่นเสียง “นี่เป็นเพียงพลังพลังปราณเล็กจ้อย เจ้านั้นยังไม่ได้เข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ด้วยซ้ำ กระทั่งว่าไม่มีโอกาสได้ฝ่าขอบเขต อย่าทำให้ราชวงศ์ขายขี้หน้ามากไปกว่านี้!”
“อาจารย์หยางยังไม่กล่าวข้อสรุปใดออกมา เหตุใดท่านจึงเร่งรีบ? อาจารย์หยางคือผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้าตั้งแต่ยังเยาว์ เรื่องนี้ได้รับการรับรอง! ท่านแข็งแกร่งเหมือนอย่างอาจารย์หยางหรือ? อีกทั้งท่านยังงดงามเท่าอาจารย์หยางหรือ?”
“ย่อมไม่! อาจารย์หยางเพียงแค่เท้าก็งดงามกว่าหน้าของท่านแล้ว!” ฉินหยุนหาได้หวั่นเกรงใดไม่ขณะเอ่ยคำโต้เถียงจักรพรรดินีอย่างไม่ไว้หน้า
สำหรับผู้หญิง การถูกใครสักคนกล่าวหาว่าไม่สวยงามต่อหน้าฝูงชนนับเป็นเรื่องร้ายแรง กับฉินหยุน เขากระทั่งหยามศักดิ์ศรีจักรพรรดินีต่อหน้าทุกผู้คน ณ ที่นี้
ก็เป็นดังคาด ดวงตาของจักรพรรดินีตอนนี้สั่นไหวด้วยโทสะ กระทั่งร่างยังสั่นไหวไม่น้อย
นางกำหมัดแน่นไม่อาจคลาย ฟันที่ขาวราวหยกนั้นกัดแน่นคล้ายจะแตกเสียให้ได้ กระทั่งเล็บยังจิกลงเนื้อจนเลือดหลั่ง ดวงตาของนางตอนนี้เปี่ยมไปด้วยแสงอันโฉดชั่วคิดคล้ายคำรามแต่ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ!
นางสาบานกับตนว่าจะทำให้ชีวิตของฉินหยุนต้องเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!
ฝูงชนหาได้สงสัยต่อคำพูดของฉินหยุนไม่ จักรพรรดินีไม่ได้สวยดั่งอาจารย์หยางฉีเย่ว์จริง แต่พวกเขาเลือกที่จะเงียบ
ฉินหยุนเพียงมองฝูงชนเงียบงันขณะกล่าวแค่นเสียงออกว่า “เห็นหรือไม่? ทุกคนล้วนเข้าใจหาได้โต้แย้งว่าอาจารย์หยางงดงามกว่าท่านกันทั้งนั้น!”
ถึงคราวนี้ ทุกคนต่างเริ่มก่นด่าฉินหยุนภายในใจแล้ว เหตุใดจึงต้องลากพวกเขาเข้าไปเกี่ยวกับข้อพิพาทของเจ้ากันด้วย?
หยางฉีเย่ว์ขมวดคิ้ว ดวงตานั้นหรี่เล็กลงเล็กน้อย นางจ้องมองที่ฉินหยุนด้วยดวงตาเสน่ห์มากล้นของนาง
แน่นอนว่านางสามารถบอกได้ถึงระดับของฉินหยุนจากพลังปราณ มันเป็นขอบเขตกายวรยุทธ์ขั้นที่สี่จริงแท้ ทว่านางคล้ายยังมีส่วนไม่มั่นใจ
เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบ ฉินหยุนมีชีพจรวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน เป็นเรื่องยากเย็นยิ่งที่เขาจะสามารถเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ได้ในระยะเวลาอันสั้น
“ส่งมือมา” หยางฉีเย่ว์กล่าวน้ำเสียงนวลนุ่ม
ฉินหยุนไม่ลังเลยื่นมือออกให้
หยางฉีเย่ว์ใช้นิ้วที่ละเอียดอ่อนทั้งสองของนางสัมผัสบางเบาที่ชีพจรข้อมือของฉินหยุน นางสามารถสัมผัสได้ ถึงพลังที่ไหลผ่านชีพจร!
หลังสัมผัสถึงพลังพลังปราณ นางอุทานออกมา “เจ้ามีพลังพลังปราณอยู่ในจุดตันเถียน! อีกทั้งยังมีชีพจรวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน แต่แล้วเจ้ากลับสามารถฝึกฝนพลังธาตุได้ เรื่องนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก!”
ฉินหยุนก้าวเข้าสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่อย่างแท้จริง!
เมื่อทุกผู้คนได้ยินคำของหยางฉีเย่ว์ พวกเขาต่างแตกตื่นระเบิดเสียงดังเซ็งแซ่กันออกมาขณะเริ่มสนทนาถึงเรื่องนี้กันเองเสียงเบา
เหล่าเด็กหนุ่มที่เย้ยหยันฉินหยุนก่อนหน้านี้พลันรู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้าอย่างรุนแรง พวกเขาคล้ายโดนลากมาตบหน้ากลางลานก็ไม่ปาน
สีหน้าของจักรพรรดินีเองก็น่าเกลียดไม่แพ้กัน! เรื่องนี้เป็นเพราะฉินหยุนกำลังจะได้เข้าร่วมกับสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง เขาจะหลุดพ้นจากการควบคุมของนางในพระราชวังหลวง!
“อาจารย์หยาง... ท่านต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี! ฉินหยุนก่อนหน้านี้เคยมีมหาอุปราชที่ฝึกฝนวิชาปีศาจเป็นผู้ฝึกสอน แม่นางผู้นั้นจะต้องลอบส่งถ่ายวิชาของปีศาจแก่เขาแน่ เพราะแบบนั้นเขาถึงได้พัฒนารวดเร็วมากมายเพียงนี้”
“สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงสืบทอดเกียรติยศและความชอบธรรมของเส้นทางวรยุทธ์ ทุกคนต่างชื่นชมพวกท่าน โปรดอย่าได้นำพาชื่อเสียงนั้นสู่ความมัวหมองเพราะเรื่องนี้”
“อาจารย์หยางโปรดปัดเภทภัยนี้ให้ห่าง ฉินหยุนให้พวกเรารับผิดชอบเอง พวกเรารับประกันว่าจะไม่ให้เขาต้องอันตรายถึงชีวิต พวกเราจะทำการลิดรอนพลังธาตุของเขาและเส้นวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง!”
เหล่าข้าราชบริพารเฒ่าเริ่มเข้ามาพูดกันทีละคนทีละคน ด้วยความโฉดชั่วที่เผยออก ใบหน้าชราเหล่านี้เต็มไปด้วยความกังวลขณะคะยั้นคะยอหยางฉีเย่ว์ให้มองถึงความชอบธรรมและไม่รับฉินหยุนเข้าสถาบัน
เมื่อฉินหยุนเห็นเหล่าข้าราชบริพารเฒ่ากระทำการน่ารังเกียจเกินว่าจะอดทน อารมณ์ภายในของเขาแทบเดือดเพราะโทสะ เขาก่นด่าออกเสียงดังลั่น “ในอดีตเมื่อห้าปีก่อน ข้าประสบปัญหามากมายจนได้รับความสำเร็จในหนทางการฝึกฝน แต่พวกเจ้าสุนัขเฒ่าที่ชั่วร้ายกลับต้องการให้ฆ่าตาย ทำให้พลังของข้าพิการและฉกชิงเอาเส้นวิญญาณไป พวกเจ้าต่างหากที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไอ้พวกเวรตะไล!”
“เจ้า... นี่เจ้ากล้ากล่าวคำต่อข้ารับใช้ชราเช่นพวกเราผู้ซึ่งรับใช้ประเทศอย่างสุดแรงงั้นหรือ เอาตัวมันมา!” ข้าราชบริพารเฒ่าเผยความเดือดดาลบ้างแล้ว
แต่ขณะที่เหล่าคนสวมชุดเกราะเดินเข้าหา หยางฉีเย่ว์เร่งรีบลุกยืนขึ้นเดินถึงข้างกายฉินหยุน
“ข้าคือผู้สามารถกล่าวได้ว่าฉินหยุนฝึกฝนวิชาของปีศาจหรือไม่ และเขาผ่านการทดสอบข้า และตอนนี้เขาได้รับสถานะนักเรียนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หยางฉีเย่ว์เผยน้ำเสียงเย็นเยียบด้วยอำนาจเต็มมือให้ได้ยิน สิ่งนี้คือหลักฐานว่านางตัดสินใจว่าฉินหยุนคือนักเรียนคนหนึ่งแล้ว!
ยามเมื่อจักรพรรดินีได้เห็นหยางฉีเย่ว์ปกป้องฉินหยุน นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวออก “ฉินหยุนเพียงมีชีพจรวิญญาณหนึ่งตะวัน แต่กลับสามารถฝึกฝนถึงพลังระดับที่สี่ เขาต้องครอบครองวิชาปีศาจชั่วร้ายเพื่อก้าวข้ามผ่านขอบเขตมาแน่! ในจักรวรรดิเทียนฉินแห่งนี้ ไม่ว่าผู้ใดที่บังอาจฝึกฝนวิชาของปีศาจจะต้องโดนประหารอย่างไม่ต้องรอไต่สวน!”
นางยังคงดึงดันว่าฉินหยุนฝึกฝนวิชาของปีศาจ!
“นังแพศยาหุบปากเสีย เดิมเส้นวิญญาณห้าตะวันของข้าเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ยากได้รับ แต่เป็นเพราะข้ารับใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้าร่วมมือกันก่อการชั่วช้ากับสุนัขเฒ่าเหล่านี้คิดสังหารปลิดปลงชีวิตข้าและอดีตมหาอุปราช และยังเป็นผู้ฉกชิงเส้นวิญญาณทั้งสี่ของข้าไป!”
“อีกทั้งเส้นวิญญาณหนึ่งในนั้นยังผสมผสานกับบุตรชายของเจ้าได้อย่างพอดีเสียด้วย!”
“เส้นวิญญาณคือสิ่งที่สวรรค์ประทานมอบให้ แต่พวกมันกลับถูกเจ้าพรากเอาไปจากข้า กระทั่งว่าเป็นปีศาจแห่งเต๋ายังไม่กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ แต่แล้วเจ้ากลับยังกล้าเอ่ยปากอ้างถึงความชอบธรรมอย่างนั้นหรือ สารเลวนัก หันมองตัวเจ้าบ้างว่ากระทำอะไรลงไป!”
ฉินหยุนชี้หน้าด่ากราดจักรพรรดินีและคณะข้าราชบริพารเฒ่าขณะรวบรวมพลังเปล่งเสียงออกดังก้อง ความโกรธภายในของเขาตอนนี้ส่งผลให้เสียงนี้กังวานสะท้อนไปทั่วทั้งลาน
ทั้งจักรพรรดินีและข้าราชบริพารเฒ่าเมื่อโดนชี้หน้าด่าจึงเผยท่าทีโหดเหี้ยมออก สายตานั้นเปี่ยมด้วยเจตนาคิดฆ่าฟันขณะคิดสังหารฉินหยุนลงเสียที่ตรงนี้
ถึงตอนนี้เอง องค์ชายสี่ ฉินเทียนอี้เดินเข้ามาตรงหน้าฉินหยุนและโพล่งเสียงดัง “ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าใช้ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทเพื่อปกป้องหญิงสาวอย่างมหาอุปราช นั่นคืออาชญากรรมของเจ้าเพราะนางนั้นฝึกฝนวิชาของปีศาจและเป็นผู้ทำให้จักรวรรดิเทียนฉินเสื่อมเสียเกียรติ กับเจ้าที่ก่ออาชญากรรมเช่นนั้น ดีเพียงใดแล้วที่ยังมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้!”
“เส้นวิญญาณของเจ้าถูกส่งมอบต่อพี่ชายของข้าเพื่อรวมเป็นเส้นวิญญาณหกตะวัน ด้วยเหตุนี้เส้นวิญญาณพวกนั้นจึงกลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงภายในร่างกายของพี่ชายข้า เจ้าไม่ควรถือความและสำนึกในบุญคุณนี้เสียมากกว่า!”
เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเฒ่าได้ยินดังนี้ พวกเขาเริ่มรู้สึกยินดีที่ฉินเทียนอี้ออกปากแทนให้
“ฮ่าฮ่า... ฉกชิงเส้นวิญญาณของผู้อื่นแล้วยังมีหน้ามาพูดแบบนี้หรือ เจ้าช่างหน้าไม่อายเอ่ยปากพูดคำว่าชอบธรรมเสียจริง ไร้ยางอายนัก! เช่นนั้นจงบอกพี่ชายเจ้าให้ข้า จงบอกให้มันรอ วันหนึ่งข้าจะมาทวงคืนเส้นวิญญาณของข้ากลับคืนจากมัน!” ฉินหยุนหัวเราะออกด้วยความบ้าคลั่งก่อนสีหน้าเย็นเยือกลงและกล่าวต่อ “ข้าจะเอาคืนมันทุกผู้ที่มีส่วนร่วมกับการฉกชิงเส้นวิญญาณของข้าไปด้วยเช่นกัน!”
ฉินเทียนอี้แค่นเสียงใส่ “เพียงแค่โชคดีที่ตัวเจ้าเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ แต่ลำพังเจ้าจะทำอะไรได้? เจ้านั้นเพียงมีชีพจรวิญญาณหนึ่งตะวัน โชคชะตาของเจ้าในวิถีแห่งเต๋าคือคนพิการผู้หนึ่ง พี่ชายข้าต่างหากคือผู้ถือครองเส้นวิญญาณหกตะวัน และตอนนี้เขาคือองค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ! คนพิการเช่นเจ้าหรือจะมีสิทธิ์ทวงคืนเส้นวิญญาณจากพี่ชายข้าได้? ช่างไม่ประมาณตน!”
“สาเหตุที่ข้าบาดเจ็บเพราะเจ้าที่หอโอสถวิญญาณก็เพราะเจ้านั้นฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่ได้เตรียมตัวลอบโจมตี เป็นข้าประมาทเจ้าเกินไป!”
ใบหน้าของฉินเทียนอี้ตอนนี้เผยความโกรธขณะตะคอกใส่ฉินหยุน “เจ้ายังกล้าท้าสู้กับข้าอย่างเสมอภาคที่ลานในวันนี้หรือไม่ละ? หากเจ้าไม่อาจจัดการข้าได้ เช่นนั้นก็อย่าฝันว่าจะจัดการพี่ชายข้าได้!”
ฉินหยุนกำหมัดเอาไว้แน่นขณะกล่าวน้ำเสียงลุ่มลึก “เช่นนั้นก็มาสู้กัน ใครบอกว่าข้าไม่กล้า!”