เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0004
ตอนที่ 4 : โทสะที่ระเบิดออก
ไม่กี่วันก่อน ฉินหยุนได้ยินว่าหยวนหยานหยิงนั้นเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ เหตุผลที่นางมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อรับเม็ดยา
นอกจากองค์ชายรัชทายาทแล้ว บรรดาลูกหลานของขุนนางทั้งหมดจำเป็นต้องมาที่หอโอสถวิญญาณในพระราชวังเพื่อรับเม็ดยากันทั้งสิ้น
ครั้งยังเยาว์ หยวนหยานหยิงต้องประสบกับโรคประหลาด บ่อยครั้งนางอ่อนแอและป่วยไข้ ท้ายที่สุดฉินหยุนได้ขอให้มหาอุปราชช่วยใช้ความสามารถทางโอสถขั้นสูงช่วยรักษานาง ด้วยเหตุนี้นางจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหยุนนับตั้งแต่ยังเยาว์
แต่แล้ว หลังจากฉินหยุนถูกเพิกถอนตำแหน่ง ทั้งสองก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย
เมื่อหยวนหยานหยิงและฉินเทียนอี้ได้ยินฉินหยุนกล่าวต่อพวกเขาว่าก้าวเข้าสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สาม พวกเขาก็อดประหลาดใจอย่างสุดขีดไม่ได้
นี่เป็นเพราะฉินหยุนหลงเหลือเส้นวิญญาณเพียงหนึ่ง หากไม่มีเม็ดยาจำนวนมากหล่อเลี้ยงบำรุง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถฝ่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สามได้!
ฉินหยุนยิ้มให้หยวนหยานหยิงและกล่าวอย่างอ่อนโยน “น้องหยานหยิง ไม่เจอกันนาน เจ้านั้นเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าเกือบจำไม่ได้แน่ะ!”
“พี่... หยุน... ท่านเพิ่งรับเม็ดยาปราณวิญญาณห้าเม็ดเมื่อครู่หรือ?” หยวนหยานหยิงก้มศีรษะให้เล็กน้อย สีหน้าของนางค่อนข้างแดงเล็กน้อยขณะพูดออกด้วยความอ่อนนุ่ม
ฉินเทียนอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นฉินหยุนและหยวนหยานหยิงสนทนากันอย่างใกล้ชิด สีหน้านั้นอดไม่ได้ที่จะต้องเปลี่ยนอย่างฉับพลัน!
ทุกคน ณ ที่นี้ต่างพบว่าแม้ฉินหยุนสภาพเช่นตอนนี้ แต่ก็ยังได้รับความเคารพจากหญิงงามนางนี้
ฉินหยุนเดินเข้าหาหยวนหยานหยิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หยานหยิง เจ้ามาที่นี่เพื่อรับเม็ดยาเช่นกันหรือ? คราวนี้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าเสียแล้วสิ เจ้าตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่แล้วนี่นะ!”
ระดับที่สามและสี่ นับว่าเป็นขอบเขตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ที่ระดับสามของขอบเขตกายวรยุทธ์ เมื่อสามารถใช้พลังปราณปริมาณมหาศาลก่อเกิดเป็นพลังปราณที่ควบแน่นขึ้นได้ เมื่อนั้นพวกเขาจึงสามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่
พลังปราณควบแน่นคือสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสามารถกักเก็บปริมาณพลังปราณมหาศาลภายในร่างกายได้ มันคือสิ่งสำคัญสำหรับผู้ฝึกตนก็ว่าได้
มันไม่ใช่เรื่องยากหากเป็นผู้มีพรสวรรค์หากต้องการควบแน่นพลังปราณ ทว่า กับคนที่มีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งหรือสอง นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญแล้ว
เมื่อฉินเทียนอี้พบเห็นฉินหยุนและหยวนหยานหยิงสนทนากันอย่างสนุกสนาน สีหน้าของเขากลับน่าเกลียดและยิ่งน่าเกลียดมากขึ้น
ทุกคนต่างเห็นได้ชัดเจนว่านี่ความริษยา แต่เขาไม่อาจแสดงออก เขาทำได้เพียงกำหมัดแน่นและข่มมันเอาไว้
“พี่หยุน ประเดี๋ยวอีกสิบวันท่านก็เข้าร่วมกองทัพแล้วนี่! ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สาม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ท่านนั้นจะเข้าสู่ระดับที่สี่ภายในระยะเวลาที่เหลือเพียงไม่ถึงสิบวัน”
แต่แล้วหยวนหยานหยิงกลับพูดสิ่งที่ทำให้ฉินหยุนต้องชักสีหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำถัดจากนั้น
“ตัวท่านนั้นครอบครอบเส้นวิญญาณเพียงหนึ่ง ดังนั้นชะตาของท่านจึงไม่หลงเหลือเส้นทางการฝึกตนอีกต่อไปแล้ว ข้าทราบว่านี่ไม่ใช่ความผิดท่าน ทั้งหมดเป็นเพราะมหาอุปราช... พี่หยุนขอโปรดยอมรับชะตาและส่งมอบเม็ดยาปราณวิญญาณในมือต่อเทียนอี้จะดีกว่า”
“หยวนหยานหยิง จงหุบปากเสีย!” ฉินหยุนไม่รอนางกล่าวจบคำ เขาโพล่งด้วยความกราดเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะมหาอุปราชช่วยรักษาเจ้าครั้งนั้น จะมีตัวเจ้าในวันนี้หรือ? ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนอกตัญญูถึงเพียงนี้!”
เมื่อฉินหยุนตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยว พลังปราณที่เขารวบรวมเอาไว้พลันทะลักออกจากใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลมรุนแรงพัดหยวนหยานหยิงถอยกลับไปหลายก้าว
เส้นผมของหยวนหยานหยิงถึงกับกระเซิงเพราะคลื่นลมที่พัด ยามเมื่อนางรู้สึกถึงความโกรธของฉินหยุนและความคิดฆ่าฟัน ใบหน้างดงามของนางซีดเผือดและตื่นตกใจ ร่างที่งดงามของนางถึงกับสั่นเทิ้มเล็กน้อย!
เมื่อฉินหยุนเผยท่าทีรุนแรง กระทั่งทหารอารักขาที่อยู่บริเวณนี้ยังต้องลอบหวั่นเกรง!
เมื่อหยวนหยานหยิงได้ยินฉินหยุนตะคอกใส่ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเดียดฉันท์ น้ำเสียงของนางกลับมาเย็นเยียบและกล่าวออก “เม็ดยาให้เจ้าไปนั้นไร้ค่านัก มอบให้พี่เทียนอี้ยังดีกว่าเป็นไหน ไว้ข้าจะบอกท่านพ่อให้ช่วยดูแลเจ้าในกองทัพเป็นอย่างดี!”
เหตุผลว่าทำไมฉินหยุนถึงพิการเช่นนี้ตอนนี้ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยจักรพรรดินีคนปัจจุบัน และตอนนี้ หยวนหยานหยิงตรงหน้าเขากลับบอกให้เขาส่งมอบเม็ดยาปราณวิญญาณแก่บุตรชายคนสุดท้องของจักรพรรดินี!
เรื่องนี้ชัดเจนว่าหยวนหยานหยิงต้องการเอาอกเอาใจฉินเทียนอี้!
นอกจากความสังเวช ดวงตาขอหยวนหยานหยิงยังเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ขณะที่มองฉินหยุน
ฉินหยุนเกิดความคิดโกรธแค้นอีกครั้งจนต้องกำหมัดเอาไว้แน่น ทว่า ดวงตาของเขายังคงนิ่งและน้ำเสียงยังหนักแน่น น้ำเสียงเย็นชาได้กล่าวออก “ข้า ฉินหยุน ขอตายในการต่อสู้ดีกว่าต้องเป็นสุนัขเลียเท้า!”
เมื่อกล่าวจบคำ เขาจึงเดินไปที่ประตูทางออก
“หยุด!” อย่างกะทันหัน ฉินเทียนอี้ตะโกนลั่น น้ำเสียงนี้เย็นเยือก เขาก้าวเท้าเข้ามาหาและขวางตรงหน้าฉินหยุนเอาไว้
ใบหน้าของฉินเทียนอี้เต็มไปด้วยอัตตาเพราะหยวนหยานหยิงพยายามเอาอกเอาใจเขา ครั้งนี้นางประกาศชัดก้องต่อหน้าฝูงชนแล้วว่านางหาได้มีสัมพันธ์ใดหลงเหลือต่อฉินหยุนอีกต่อไป
“ว่าอะไรนะ?” ฉินหยุนถามเสียงเย็น
อย่างกะทันหัน ฉินเทียนอี้คว้าคอเสื้อของฉินหยุนขึ้น ด้วยน้ำเสียงอหังการ เขาตะคอกใส่ “น้องหยานหยิงกล่าวถูกต้องแล้ว เจ้านั้นก็แค่ไอ้คนพิการ ได้เม็ดยาปราณวิญญาณไปกินนับว่าเสียของ หาได้คุ้มค่าแก่วัตถุดิบไม่ ทำไมเจ้าไม่คิดมอบมันให้แก่ข้าเสียแทนละ?”
เม็ดยาปราณวิญญาณคือเม็ดยาวิญญาณระดับต่ำก็ใช่ แต่หนึ่งเม็ดราคาราวสี่พันเหรียญผลึก เม็ดยาห้าเม็ดมูลค่าก็ราวสองหมื่นเหรียญผลึก และสำหรับองค์ชายผู้หนึ่งมันไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย
“แล้วถ้าหากข้าบอกว่าไม่?” ดวงตาฉินหยุนเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันขณะกล่าวออกอย่างเชื่องช้า
“มอบให้แก่เขาเสีย! อยู่กับเจ้าช่างไร้ค่า เจ้าไม่คู่ควรได้กินเม็ดยาปราณวิญญาณ! แต่หากเป็นพี่เทียนอี้ที่มีเส้นวิญญาณสี่ตะวัน เขาสามารถดูดซับมันได้ดีกว่าเจ้า!” หยวนหยานหยิงที่ยืนอยู่อีกด้านกล่าวยั่วยุเขาเช่นกัน
เมื่อฉินหยุนได้ยินคำของหยวนหยานหยิง ความโกรธภายในที่เขาสะกดมานานพลันต้องระเบิดออกในฉับพลัน!
ถึงตอนนี้ จิตใจของเขากลายเป็นว่างเปล่าแล้ว เขาไม่อาจอดกลั้น พลังปราณในร่างกำลังโคจรอย่างบ้าคลั่งทั้งยังหลุดลอยออกมาภายนอก! ด้วยความรวดเร็วและบ้าคลั่งนี้ พลังพลังปราณรวมตัวกันที่แขนของเขาแล้ว!
“ไม่ใช่พวกเจ้าเป็นคนตัดสินว่าข้ากินเม็ดยาปราณวิญญาณแล้วคุ้มค่าหรือไม่! หากเทียบกับข้าแล้ว พวกเจ้าสองตัวต่างหากที่เรียกว่าไร้ค่าที่ได้กินเม็ดยาปราณวิญญาณ!” น้ำเสียงของฉินหยุนนี้เย็นเยือกราวน้ำแข็ง มันเปรียบดั่งดาบที่ฟาดฟันออกไป ออร่าเย็นกระจายทั่วทิ้งความเย็นหลงเหลือเอาไว้จนถึงไขกระดูก
“ชีวิตเจ้าน่ะหรือ! ชีวิตที่ไร้ค่าของเจ้าสมควรต้องโดนอีกสักครั้ง!” ฉินเทียนอี้คว้าเสื้อของฉินหยุนเอาไว้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นโฉดชั่วและปากนั้นตะโกนลั่น “ไอ้ง่อยอย่างแก จงส่งเม็ดยานั้นมาเสีย!”
ขณะที่ฉินเทียนอี้ถ่มคำพูดออกมา เขาเงื้อมือหนึ่งขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าของฉินหยุน
ฉินหยุนที่กำลังโดนโทสะเผาผลาญ พลังปราณรวบรวมที่แขนก่อนพลันพวยพุ่งที่ฝ่ามือและตวัดตบเข้าที่ใบหน้าฉินเทียนอี้!
เพี๊ยะ!
การตบนี้รุนแรงและไม่ปราณี มันลงที่ใบหน้าของฉินเทียนอี้เข้าอย่างจัง
โดยทันที ฉินหยุนได้ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดร่วมกับการระบายโทสะนี้ด้วย
“อ๊าก!”
หลังฉินเทียนอี้โดนตบเข้าไปฉาดหนึ่ง เสียงร้องเจ็บปวดน่าสมเดชพังขึ้นประหนึ่งเหมือนหมูถูกเชือด!
ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยว อาการบาดเจ็บรุนแรงเกิดขึ้นเพราะแรงกระทำเมื่อครู่ ฟันถึงกับแตกหักหลุดออกมาพร้อมเลือดกองหนึ่ง เพียงอึดใจร่างนั้นก็กลิ้งกับพื้นอย่างหมดสภาพแล้ว!
โชคยังดีที่เขาเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้สลบไปในทันที ทว่า ศีรษะนั้นก็ต้องวิงเวียนไม่น้อยจนแทบไม่อาจลุกยืนขึ้น
เมื่อได้เห็นเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทุกคนในที่นี้ล้วนแข็งค้างสติหลุดลอย พวกเขาหวาดกลัวเรื่องราวถัดจากนี้สุดหัวใจ!
หยวนหยานหยิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปยังต้องเผยความหวาดกลัวผ่านใบหน้างดงามที่แทบไร้สีเลือดนั้นเช่นกัน!
ฉินเทียนอี้เป็นฝ่ายโจมตีก่อน กลับโดนฉินหยุนสะบัดฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าล้มกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ
ฉินหยุนเพียงอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สาม แต่แล้วทำไมพลังปราณกลับทรงพลังมากถึงเพียงนี้? ถึงกับสามารถจัดการผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับสี่ได้!
ฉินหยุนย่างสามขุมเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อฉินเทียนอี้ขึ้นมา ดวงตายังเต็มไปด้วยเจตนาสังหารขณะกล่าวเสียงเบาแต่เย็นเยือก “เจ้ามีชีพจรสี่ตะวัน ทั้งยังอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับสี่ แต่แล้วกลับพ่ายแพ้ต่อข้าเพียงการโจมตีเดียว เอ้า ส่งมันมาได้แล้ว ส่งเม็ดยาปราณวิญญาณของเจ้าแก่ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”