เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0002
ตอนที่ 2 : ชีพจรในตำนาน
หลังงานเลี้ยงฉลององค์รัชทายาทเสร็จสิ้น เหล่าองค์ชายและองค์หญิงในชุดหรูหรา ต่างเดินออกมาพร้อมหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะเดินผ่านกระท่อมซอมซ่อของฉินหยุน พวกเขาจึงได้เห็นฉินหยุนกำลังนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำ ความงุนงงบังเกิด ทว่าไม่นานก็คาดเดาได้
“อดีตองค์ชายรัชทายาทต้องกลายเป็นทหารตัวเล็กจ้อย ถึงกับต้องออกชายแดนไปเป็นอาหารให้พวกมนุษย์อสูร!”
“ราวกับหลังมือเป็นหน้าเท้า ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ทั้งหมดนั้นก็เพราะแม่นางอดีตมหาอุปราชนั่น วิชายุทธ์ปีศาจอะไรกัน ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้ฝึกฝนแล้วหรือยังไง? นอกจากนี้ เหตุใดเจ้านี่วันนี้เสนอหน้าออกมาตรงนี้กัน?”
“มารดาเจ้านี่ตอนยังมีชีวิตยั่วยุผู้คนในพระราชวังเอาไว้ไม่ใช่น้อย เพราะแบบนั้นถึงไม่มีใครคิดช่วยมันยังไงละ!”
“จะว่าไปแล้ว องค์รัชทายาทใหม่เดิมมีห้าชีพจร ขณะนี้ผสานเข้ากับหนึ่งในเส้นวิญญาณของฉินหยุน เห็นว่าได้รับพรสวรรค์ระดับหกชีพจรแล้ว และยังก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก ด้วยอายุเยาว์เพียงนั้น นับว่าแข็งแกร่งกว่าฉินหยุนเมื่อกาลก่อนหากนำมาเทียบเปรียบ... ทั้งยังรูปงามอีกด้วย”
“องค์รัชทายาทย่อมไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอยู่แล้ว ท่านคืออนาคตของจักรวรรดิเทียนฉิน! เห็นว่าพรุ่งนี้คิดไปยังสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนด้วยนี่? ที่แห่งนั้นเป็นสถาบันยุทธ์ที่ทรงอำนาจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว...”
ขณะได้ยินบทสนทนาจากที่ไกลออกไป หลากหลายอารมณ์ภายในใจของฉินหยุนกลายเป็นพลุ่งพล่าน... หนึ่งในสี่เส้นวิญญาณของเขา ขณะนี้ถูกนำไปผสานรวมกับองค์รัชทายาทใหม่!
การผสานรวมเส้นวิญญาณเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง มันเป็นเรื่องยากนักที่จะหาความเข้ากันได้อย่างเหมาะสมท่ามกลางเส้นวิญญาณนับหมื่นหรือแสน ทุกสิ่งอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชค แต่แล้วองค์ชายรัชทายาทคนนั้นกลับผสานรวมเข้าไปได้!
เส้นวิญญาณที่เดิมเป็นของเขา ขณะนี้กลายเป็นสิ่งที่อำนวยให้รัชทายาทใหม่ได้รับหกชีพจรซึ่งเป็นพรสวรรค์หาได้ยากยิ่ง โดยทันที ภายในใจของฉินหยุนขณะนี้กลายเป็นอัดแน่นด้วยโทสะ!
“ข้าไม่ยอมรับ! ข้ายอมรับไม่ได้! ไอ้พวกข้าราชบริพารสารเลว! นางจักรพรรดินีโฉดชั่ว! ข้าต้องทำลายพวกแกให้สิ้นซากในสักวัน!”
เขาคำรามลั่นและต่อยเข้าใส่บ่อหินราวคนคลั่ง เป็นผลให้หลังมือต้องเกิดเลือดกระเซ็น
อย่างฉับพลัน เขากลับรู้สึกอบอุ่นที่บริเวณข้อมือ มันคล้ายปลุกเขาที่จมสู่ความโกรธแค้นให้ตื่นขึ้น!
“นี่มันของที่พี่สาวมหาอุปราชให้เอาไว้ก่อนจากไป...”
ฉินหยุนเร่งรีบมองที่ข้อมือตนเอง มันเป็นสร้อยข้อมือไข่มุกเก้าลูกที่สีเหมือนเลือดดำ
สายตาของเขาพิจารณาสร้อยข้อมือนี้ ไข่มุกทั้งเก้าขนาดไม่ใหญ่ ไม่มีแม้กระทั่งความมันเงางดงาม เป็นเพียงไข่มุกเก้าเม็ด ดังนั้นจึงถูกละเว้น้เอาไว้เพราะหาได้คู่ควรแก่การสนใจ
“พี่สาวมหาอุปราชมาหาเราอย่างเร่งรีบก่อนหลบหนีออกจากพระราชวังไป นางบอกให้รักษามันไว้อย่างดี แถมยังไม่บอกว่าสิ่งนี้คืออะไร...” ฉินหยุนจ้องมองอย่างสับสนไปยังลูกไข่มุกทั้งเก้าอย่างลึกลับ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ความรู้สึกอบอุ่นยังคงไหลเวียนจากข้อมือของเขาก่อนจะถ่ายเทสู่แขน
เขาหลับตาลง จิตใจสงบ พยายามพิจารณาสัมผัสถึงความอุ่นนี้ เขาพบ ว่าแท้จริงแล้วไข่มุกทั้งเก้าก่อเกิดขึ้นจากพลังวิญญาณทั้งเก้าประเภทที่แตกต่างกัน!
ใจเขาพลันเต้นไม่เป็นจังหวะขณะลืมตาขึ้น เขามองไปที่สร้อยข้อมืออีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา
สำหรับบุคคล ไม่ว่าใคร หากเกิดขึ้นมาพร้อมหนึ่งเส้นวิญญาณ จะเรียกว่ามีหนึ่งชีพจรวิญญาณ พวกเขาจะสัมผัสได้เพียงพลังวิญญาณจากหนึ่งดวงตะวัน ผู้คนเช่นนี้นับว่ายากที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจ ดังนั้นชีวิตจึงถูกกำหนดขีดเส้นเอาไว้
สองชีพจรวิญญาณถือว่าดีกว่าเล็กน้อย หากมีถึงสาม ก็เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ระดับกลางแล้ว
หากเป็นผู้ที่มีสี่ชีพจรวิญญาณ จะถูกเรียกขานเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากเป็นห้า หรือว่าหก นั่นถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง
เจ็ดชีพจรวิญญาณดวงตะวัน ถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ หากเป็นแปดชีพจร นั่นจะเป็นตัวตนที่พบได้ยากแม้ในรอบหลายหมื่นปี
และสุดท้าย เก้าชีพจรดวงตะวันมีอยู่เพียงในตำนานเก่าแก่เท่านั้น!
ฉินหยุนสามารถสัมผัสได้ ถึงประเภทของพลังวิญญาณทั้งเก้า ผ่านไข่มุกลึกลับทั้งเก้าที่เป็นสร้อยข้อมือ ซึ่งมหาอุปราชหลงเหลือเอาไว้ สิ่งนี้มีค่าทัดเทียมได้กับเก้าชีพจรดวงตะวัน เป็นพรสวรรค์ระดับตำนาน!
เขาพลันรู้สึกยินดีขึ้นมา ลมหายใจสูดเข้าลึก สงบจิตใจตัวเองลง และพิจารณามองสร้อยข้อมือไข่มุกทั้งเก้า
ไข่มุกแต่ละลูกมีลวดลายซับซ้อนสลักเอาไว้ พวกมันเป็นเส้นบางที่สานกันโยงไปมาซึ่งกันและกัน แต่หากมองให้ใกล้มากยิ่งขึ้น มันกลับมีรูปแบบ หาได้ยุ่งเหยิงแต่อย่างใด
เพื่อตรวจสอบว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เขาพยายามดูดกลืนพลังวิญญาณ และผลลัพธ์ที่ได้... เขาสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณทั้งเก้าประเภทสู่ร่างกายได้อัศจรรย์!
ชั่วขณะที่ดูดกลืนพลังวิญญาณเก้าตะวันสู่ร่างกาย ทั้งร่างคล้ายถูกปัดเป่าความเหนื่อยล้าออกจนสิ้น
“พลังวิญญาณเก้าตะวันน่าทึ่งนัก! นี่เราได้ครอบครองพรสวรรค์ประหนึ่งมีเก้าชีพจรดวงตะวันด้วยตนเอง... บางทีเราอาจเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ได้ภายในเวลาสิบวัน หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน!”
ฉินหยุนกลายเป็นยินดีภายในใจราวสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง ความยินดีนี้ถึงกับทำให้ทั้งร่างกายของเขาต้องสั่นเทิ้ม
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามหาอุปราชจะฝากฝังสร้อยข้อมืออันลึกลับเช่นนี้เอาไว้ มันถึงกับสามารถพลิกชะตาให้แก่เขา!
ภายในใจฉินหยุนตอนนี้กลับมาเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์อีกครั้ง ทว่าคนละด้านกับเมื่อครู่นี้ เขาต้องสูดลมหายใจเข้าลึกสงบอารมณ์และทำใจให้สงบ
ในโลกเก้าตะวันแห่งนี้ เก้าตะวันมีออร่าที่แตกต่างกันออกไป มันปกคลุมทั่วทั้งโลก
ยิ่งมีเส้นวิญญาณมากเพียงใด ก็ยิ่งสามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณเก้าตะวันได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีพลังวิญญาณมากเพียงใด ก็ยิ่งดูดกลืนได้มากขึ้นเท่านั้น หลังจากพลังวิญญาณเก้าตะวันที่แตกต่างได้รับการดูดกลืนเข้าสู่ร่างกาย มันจะผสมผสาน และเกิดวิวัฒนาการขึ้น
ด้วยการหล่อเลี้ยงของพลังวิญญาณเก้าตะวัน ฉินหยุนเพียงต้องการเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเพื่อฟื้นฟูความเหนื่อยล้าให้จางหาย อาการบาดเจ็บที่หลังมือได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณเข้าหล่อเลี้ยงอีกจำนวนมาก
เขาแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะหาสถานที่ลับตาผู้คน หยิบยืมพลังของสร้อยข้อมือเก้าไข่มุกนี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณเก้าตะวันและทำการฝึกฝน เขาต้องการเวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อทำการเลื่อนขอบเขตและฝึกฝนพลัง และเพื่อควบคุมชะตาในภายหน้าไว้ด้วยมือของตนเอง!
ฉินหยุนกลับเข้าห้องตัวเองนั่งขัดสมาธิบนที่นอน ดวงตาปิดลง จิตใจเริ่มสงบ เขาเริ่มทำการดึงดูดพลังปราณในร่าง
พลังวิญญาณเก้าตะวันไหลเวียนเชื่องช้า ผ่านไข่มุกสีดำทั้งเก้าที่สร้อยข้อมือเป็นสายธารขนาดเล็ก มันเข้าสู่ร่างกายก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายเก้าสี ไหลเวียนไปตามแขนขาและกระดูก
พลังวิญญาณเมื่อเข้าสู่ร่างกาย มันหาได้ทำให้เกิดความแตกต่างในทันที แม้สามารถกักเก็บในร่างกาย หากคิดกระจายออกก็ต้องใช้เวลา
ในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือแปรเปลี่ยนพลังวิญญาณสู่พลังปราณในร่าง และกักเก็บไว้ในตันเถียน
สามระดับแรกของขอบเขตกายวรยุทธ์คือการเน้นที่ฝึกพลังปราณ!
ระดับที่หนึ่งคือชักนำพลังปราณ เพื่อเรียนรู้วิธีการสัมผัสถึงพลังวิญญาณ จากนั้นจึงไปสู่การชักนำในร่างกาย
เมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย พลังงานเหล่านั้นจะเริ่มกระจายไปตามเลือดและเนื้อ เพื่อเสริมสร้างร่างกาย
ที่ระดับสามของการฝึกพลังปราณ คนผู้หนึ่งจะสามารถขัดเกลาพลังวิญญาณ เป็นพลังปราณภายในให้หมุนเวียนผ่านอวัยวะและกระดูก
ฉินหยุนติดอยู่ที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สอง หลังผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน ไม่เคยมีความคืบหน้าใด สำหรับเขามันเป็นเรื่องยากที่จะผ่านสู่ระดับที่สาม
กุญแจสำคัญในการก้าวสู่ระดับที่สาม คือชักนำพลังวิญญาณปริมาณมหาศาล เข้าสู่การไหลเวียนภายในร่างกายเพื่อหล่อเลี้ยงเลือดและเนื้อ มันจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ถึงตอนนั้น ร่างกายจะแกร่งดังหิน พลังวิญญาณจะเกิดการโคจรอย่างรวดเร็วทั่วทั้งร่าง มันจะควบแน่นกับเลือดภายในกาย และเป็นพลังปราณอยู่ภายใน
ก่อนหน้าเขาเพียงมีหนึ่งเส้นวิญญาณ จึงหมายถึงมีเพียงหนึ่งช่องทางที่สามารถดึงพลังวิญญาณจากหนึ่งดวงตะวัน ทว่า พลังวิญญาณที่ได้นั้นอ่อนแอยิ่ง และยังเป็นเส้นทางที่ยากลำบากในการดูดกลืน
แต่ด้วยสร้อยข้อมือเก้าไข่มุก เขาสามารถชักนำพลังวิญญาณของเก้าตะวันได้!
ในตอนนี้ พลังวิญญาณเก้าประเภทกำลังไหลเวียนอย่างเร่งรีบในกายของเขา ผสมผสานเข้ากับเลือดและเนื้อ กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาตอนนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป
ในช่วงเช้าตรู่ ดวงตะวันทั้งเก้าตั้งตรงขึ้นจากขอบฟ้าทีละน้อย พวกมันขับไล่ความมืดและความเย็นเยียบให้พ้นจาก นำพาความอบอุ่นและแสงสว่างสู่โลกเก้าตะวัน
หลังฝึกฝนด้วยสร้อยข้อมือเก้าไข่มุกตลอดทั้งคืน ฉินหยุนตื่นขึ้นเหมือนอย่างปกติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและลืมตา ดวงตาทั้งสองคล้ายจะส่องแสงออกมาได้ เขาดูมีจิตวิญญาณยิ่งขึ้น และยังมีอารมณ์ที่ดีกว่าเมื่อวานราวกับเป็นคนละคน
ขณะกำหมัดแน่น พลังปราณภายในร่างกายของเขาไหลเวียนเป็นบอลพลังงานสู่แขน เมื่อต่อยหมัดออกไป จึงเกิดขึ้นเป็นสายลมวูบหนึ่ง!
“สำเร็จ! ในที่สุดก็ฝึกฝนพลังปราณได้ เราเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สามแล้ว!” ดวงตาฉินหยุนตอนนี้อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและยินดี
เขาลอบถอนหายใจต่อพรสวรรค์ระดับตำนานที่น่าหวั่นเกรงนี้ เขาถึงกับเลื่อนระดับพลังเพียงชั่วข้ามคืน!
หากเป็นหนึ่งชีพจรดวงตะวันก่อนหน้านี้ เขาคงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสองหรือไม่ก็สามปีกว่าจะเลื่อนระดับพลังได้ เนื่องจากไม่มีความช่วยเหลือใดส่งเสริม
“พี่สาวมหาอุปราช เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่? สักวันข้าต้องหาท่านให้พบ!”
เขามองไกลออกไป ความคิดตอนนี้ยังคงยุ่งเหยิงไร้ซึ่งการจัดเรียง
อดีตมหาอุปราชผู้นั้น เดิมก็ลึกลับระดับหนึ่งแล้ว มารดาของเขาเชื้อเชิญนางมายังพระราชวังหลวงเมื่อหลายปีก่อน มอบหมายให้นางรับผิดชอบหน้าที่ฝึกฝนวิถียุทธ์แห่งเต๋าแก่ตัวเขา นางเป็นคนอ่อนโยน และยังเป็นโฉมงามผู้หนึ่งที่สะกดกายตาเขาตั้งแต่ยังเยาว์
“เรื่องนี้ต้องเก็บงำไว้ให้ดี เราต้องออกจากพระราชวังโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อปกป้องตัวเองจากพวกข้าราชบริพารโฉดชั่วเหล่านั้น!” ฉินหยุนคิดกับตัวเองเช่นนี้