ราชันย์เร้นลับ 51 : พิธีกรรมเวทมนตร์สำเร็จ
ราชันย์เร้นลับ 51 : พิธีกรรมเวทมนตร์สำเร็จ
ล้างหนี้ด้วยพิธีกรรมเวทมนตร์?
เป็นพิธีกรรมสาปแช่งให้เจ้าหนี้ถึงแก่ความตายอย่างนั้นหรือ? รึว่าสร้างธนบัตรปลอม?
ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็จัดการต้นตอของปัญหาเสียเลย?
…
ความคิดประหลาดพุ่งพล่านในหัวไคลน์ สายตาจ้องมองลุงนีลล์ด้วยอากัปกริยาตื่นตระหนก
ชายหนุ่มคิดเป็นจริงเป็นจังว่าตนควรแจ้งตำรวจ… ไม่สิ แจ้งเหยี่ยวราตรี!
ลุงนีลล์มองเข้าไปในแววตาไคลน์ มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ไม่เจืออารมณ์ขันแม้แต่น้อย
“แววตาของเจ้าเปี่ยมด้วยความโง่เขลา ความไม่เชื่อมั่น และความไม่เข้าใจ… ดันน์ยังไม่ได้บอกเจ้าเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของ‘ผู้ส่องความลับ’อีกหรือ?
“ทำทุกสิ่งที่อยากทำ แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร!
“ถึงหลักปฏิบัติจะมาจากองค์กรชั่วร้ายอย่างนิกายมอสส์ก็เถอะ แต่ผู้วิเศษเส้นทางผู้ส่องความลับทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่า นั่นคือหลักการที่ถูกต้องและควรยึดถือ สิ่งนี้จึงถูกปฏิบัติสืบทอดอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน
“หลักปฏิบัติดังกล่าวจะช่วยลดอัตราการคลุ้มคลั่งของผู้ส่องความลับลงหลายระดับ ตรงกันข้าม พลังวิญญาณกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น!
“หากเคลือบแคลงในตัวฉัน ก็เท่ากับเคลือบแคลงในตัวผู้ส่องความลับทุกคน!”
“ขอโทษครับ”
ไคลน์รีบขอโทษโดยไม่ลังเล
มันลืมเสียสนิทว่า ดันน์·สมิทเคยอธิบายถึงหลักปฏิบัติของผู้ส่องความลับให้ฟังแล้ว
ลุงนีลล์มิได้โมโหหรือโกรธเคืองเป็นจริงเป็นจัง หลังจากแสร้งปั้นหน้าดุสองสามวินาที มันกลับมาส่งเสียงคิกคักอีกครั้ง
“ฮะฮะ! น่าเสียดายที่ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายมีจำนวนน้อยมาก ฉันจึงไม่มีหลักปฏิบัติใดพอจะช่วยแนะนำให้เจ้าได้”
แต่ผมมีไดอารีจักรพรรดิโรซาย…
เดี๋ยวก่อน… บางที‘หลักปฏิบัติ’อาจเป็นส่วนหนึ่งของเทคนิค‘สวมบทบาท’
เมื่อข้อมูละเริ่มปะติดปะต่อ ไคลน์ผงกศีรษะเบาๆ พลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด
ลุงนีลล์ไม่กล่าวสิ่งใด มันย้ายแจกันและอีกหลายสิ่งบนโต๊ะกลมไปกองไว้มุมห้อง
ถัดมาเป็นการหยิบเทียบไขสีดำอมแดงออกจากหีบเงิน ปากพลางพูดอธิบาย
“หากคนทั่วไปต้องการประกอบพิธีกรรมเวทมนตร์ พวกมันต้องปฏิบัติตามขั้นตอนโหราศาสตร์ที่ระบุไว้ในคู่มืออย่างละเอียด ต้องเลือกวันเวลาที่เหมาะสม
“ตัวอย่างเช่น วันประจำตัวเทพธิดาคือวันอาทิตย์ ช่วงเวลาที่เลือกต้องเป็นยามที่พระองค์ท่านครอบงำดวงจันทร์
“แต่สำหรับผู้วิเศษ เราไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้วิเศษเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมอย่างพวกเรา หลักสำคัญมีเพียงวิญญาณดาราและพลังวิญญาณ
“แต่โดยทั่วไปแล้ว หากไม่มั่นใจในพิธีกรรมเวทมนตร์ที่จะประกอบ การเลือกปฏิบัติในวันเวลาที่เหมาะสมก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“เอาล่ะ! นั่นคือกฎพื้นฐานที่ห้ามลืมโดยเด็ดขาด หลังจากนี้ จงจับตามองทุกขั้นตอนโดยไม่กระพริบตา”
ลุงนีลล์จัดแจงวางเทียนไขลงบนโต๊ะ โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยศรีษะมองชายหนุ่มและกล่าวด้วยเสียงขึงขัง
“ถึงจะเป็นผู้วิเศษ แต่ผู้วิเศษลำดับต่ำก็มิได้ทรงพลังขนาดนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพลังภายนอกเพื่อประกอบพิธีกรรมเวทมนตร์
“แต่จงเลือกหยิบยืมพลังจากเทพหลักทั้งเจ็ดองค์เท่านั้น จะเป็นเทพธิดาหรือเทพแห่งวายุสลาตันก็ไม่ใช่ปัญหา
“ห้าม! พึ่งพาพลังจากตัวตนลึกลับโดยเด็ดขาด ไม่ว่าเทพนอกรีตเหล่านั้นจะมีผู้ศรัทธามากมายเพียงใด หรือกระทั่งมีพระคัมภีร์เป็นของตัวเอง
“เชื่อฉัน… อย่าได้ยื่นขาเข้าไปในประตูบานดังกล่าวโดดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะมิอาจถอนตัวตลอดไป เปรียบดั่งทางชันที่ลาดลง ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนสักเท่าไร แต่นั่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมปลายทาง ช่วยได้เพียงประวิงเวลาให้ช้าลงเท่านั้น”
“ผมจะจำใส่ใจครับ”
ไคลน์ตอบเสียงค่อย จิตใจของมันรู้สึกเปราะบางน่าประหลาด
…พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาที่นำเราไปสู่มิติสายหมอก มันพึ่งพาพลังลึกลับภายนอกจากตัวตนประเภทใดกัน?
แถมยังมีอำนาจมากพอจะดึงผู้วิเศษรุ่นพี่อย่าง‘แฮงแมน’เข้ามาในห้วงมิติเดียวกันได้
ในสายตาไคลน์ แฮงแมนคือผู้วิเศษที่มีลำดับสูงพอสมควร …ไม่หกก็เจ็ด
ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างพิธีกรรม ตนยังได้ยินเสียงกระซิบที่ไม่ควรได้ยิน …นั่นไม่ใช่สัญญาณการคลุ้มคลั่งหรอกหรือ?
ท่ามกลางอารมณ์พะว้าพะวง ชายหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนบทสนทนาด้วยตัวเอง
“เหยี่ยวราตรีอย่างพวกเราควรหยิบยืมพลังจากเทพธิดารัตติกาลใช่ไหมครับ?”
“จะหยิบยืมพลังจากเทพแห่งวายุสลาตันก็ไม่มีใครว่า แต่เราก็มิอาจมั่นใจได้ ว่าเทพองค์อื่นจะมอบพลังด้วยเจตนาบริสุทธิ์เหมือนกับเทพธิดาหรือไม่ ผลลัพธ์ของพิธีกรรมอาจบิดเบือนไปในทิศทางที่ไม่สามารถคาดเดา”
ลุงนีลล์จริงจัง มันไม่รับมุกไคลน์
การร้องขอพลังจากเทพธิดารัตติกาลคือสิ่งที่เหยี่ยวราตรี‘ต้องทำ’ มิใช่‘ควรทำ’
หลังจากกล่าวจบ ชายชราหยิบเทียนไขสีแดงดำขึ้นมาอธิบาย
“เทียนไขที่ผลิตจากบุปผาจันทราและไม้จันทร์สีดำแดง ถือเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเทพธิดาสีชาด พิธีกรรมเวทมนตร์จะได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น”
ชายชราชี้นิ้วไปยังเทียนไขสีน้ำเงินดำ
“เทียนไขที่ผลิตจากวานิลลาราตรีและบุปผาหลับไหล ถือเป็นสัญลักษณ์แทนยามค่ำคืน”
เมื่อกล่าวจบ ชายชรานำเทียนไขน้ำเข้มไปวางที่มุมซ้ายสุดของโต๊ะกลม และเทียนไขแดงเข้มวางไว้ที่มุมขวาสุด
“ทำไมสัญลักษณ์แทนพระองค์ถึงมีเพียงสองล่ะครับ? ทั้งที่พระนามเต็มยังเหลือ ‘มารดาแห่งความเร้นลับ’ ‘จักรพรรดินีแห่งหายนะ’ และ ‘นายหญิงแห่งนิทราสงบสุข’”
ลุงนีลล์อมยิ้ม
“เป็นคำถามที่ดี”
“ก่อนจะถูกทำลายสิ้นซาก นิกายมอสส์และโบสถ์มีความสัมพันธ์ค่อยข้างดีต่อกัน ส่งผลให้โบสถ์ซึมซับอิทธิพลด้านพิธีกรรมเวทมนตร์ที่พวกมันชำนาญมาด้วย
“พวกมันเชื่อว่าทุกสรรพสิ่ง รวมถึงตัวเลข มีพลังวิญญาณแฝงอยู่ ทุกเลขล้วนเป็นเลขมงคลที่มีความนัย
“เช่นเลข 0 หมายถึงความไม่รู้และความวุ่นวาย มักใช้เป็นตัวแทนของเอกภพต้นกำเนิด เลข 1 หมายถึงจุดเริ่มต้น มักใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระผู้สร้าง เลข 2 หมายถึงเหล่าเทพที่ถือกำเนิดจากกายาพระผู้สร้าง เลข 3 หมายถึงต้นกำเนิดสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์วิเศษบรรพกาล
“การใช้เทียนไขระบุถึงเทพธิดาเพียงสองเล่ม ก็เพื่ออ้างอิงเลขมงคลตามหลักข้างต้น
“ส่วนเทียมไขเล่มที่สามจะถูกใช้แทนสัญลักษณ์ของ‘ตัวเรา’ผู้ประกอบพิธีกรรม ศาสตร์เลขมงคลนั้นมีความสำคัญกับพิธีกรรมเวทมนตร์ค่อนข้างมาก”
เลขสามหมายถึงสิ่งมีชีวิต? การถือกำเนิด?
ในฐานะนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์พอจะทราบความหมายของเลขมงคลจีนในโลกเก่าอยู่บ้าง และเลขสามก็หมายถึง‘การเกิด’เหมือนกัน!
เมื่อเห็นชายหนุ่มแสดงสีหน้าครุ่นคิด ชายชราหยิบเทียนไขเล่มที่สามออกมาอธิบาย
“เล่มนี้หมายถึง‘ตัวเรา’ เป็นเทียนไขธรรมดาที่ผสมใบมินท์ลงไปเล็กน้อย จงจำให้ขึ้นใจว่า เทพธิดาชื่นชอบกุหลาบ เลม่อน มินท์ บุปผาจันทรา วานิลลาราตรี และบุปผาหลับไหลเป็นพิเศษ”
“หากมองอีกมุมหนึ่ง เทียนไขทั้งสามยังหมายถึงกายา พลังจิต และเทพสถิตย์ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน”
ขณะอธิบาย ลุงนีลล์วางเทียนไขเล่มที่สามลงไปยังจุดกึ่งกลางโต๊ะกลม
ถัดมา มันหยิบ‘สารสกัดจันทร์เต็มดวง’ขึ้นมาวางพร้อมกับหม้อต้มที่มี‘ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด’สลักอยู่
นอกจากนั้นยังมีอุปกรณ์เสริมอีกหลายชนิด จำพวกมีดเงินที่มีลวดลายแปลกตา น้ำบริสุทธิ์หนึ่งถ้วย และเกลือหินหนึ่งถาด
“สำหรับผู้วิเศษเส้นทางอื่นที่ไม่ชำนาญพิธีกรรม พวกมันจำเป็นต้องใช้กระดิ่ง บอลคริสตัล ถ้วยเงิน และกำยานช่วยประกอบพิธี
“แต่นั่นไม่จำเป็นสำหรับผู้ส่องความลับและนักทำนายอย่างเรา ลำพังภาชนะทั่วไปก็เพียงพอจะช่วยให้ประกอบพิธีลุล่วง”
ลุงนีลล์นำกระดาษหนังเทียมลายธนบัตรวางไว้ใต้หม้อต้มขนาดใหญ่ ก่อนจะนำปากกาขนนกทำเองมาวางรองขาหม้อไว้ข้างหนึ่ง
มันชำเลืองมองไคลน์ก่อนกล่าว
“พิธีกรรมเวทมนตร์จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ควรถูกผู้ใดรบกวนโดยเด็ดขาด
“พิธีกรรมจะเริ่มต้นด้วยการเข้าฌาน จากนั้นเป็นการเพ่งสมาธิเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังวิญญาณในตัว
“ตัวอย่างซึ่งเห็นได้ชัดคือ ตอนอยู่ที่บ้านของรีเอล·บีเบอร์ ฉันใช้สื่อกลางเป็นผงราตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่คราวนี้จะใช้มีดเงิน
“อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของพิธีกรรมคือ‘คาถา’ พวกเราจะใช้คาถาเป็นสารในการหยิบยืมพลังเทพ ให้เทพบันดาลผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
“คาถาควรสวดเป็นภาษาเฮอร์มิส ไม่ควรใช้เฮอร์มิสโบราณ เพราะมันมีรากฐานจากธรรมชาติ คล้ายคลึงกับภาษามังกรโบราณและภาษาเอลฟ์ การสวดด้วยภาษาเหล่านี้จะติดต่อกับโลกวิญญาณโดยไม่ผ่านการป้องกัน การท่องผิดเพียงเล็กน้อยจะนำพาไปสู่ตัวตนอื่นที่ไม่ใช่เทพธิดา
“เป็นสาเหตุสำคัญที่มนุษย์ต้องดัดแปลงมาเป็นภาษาเฮอร์มิสปัจจุบัน ประสิทธิภาพของมันยอดเยี่ยมกว่าในหลายด้าน
“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มประกอบพิธีอย่างจริงจังโดยไม่อธิบายสิ่งใดเพิ่ม จงเฝ้ามองและจดจำอย่างตั้งใจ หากมีคำถามให้เก็บไว้ก่อน รอปรึกษาตอนที่พิธีกรรมลุล่วงแล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์ขยับถอยหลังสองก้าว สายตาจ้องมองลุงนีลล์อย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น นัยต์ชายชราฝั่งตรงข้ามตนพลันลุ่มลึกไร้ก้นบึ้ง กำแพงสายลมที่มองไม่เห็นเริ่มก่อรอบตัวบางเบา
ท่ามกลางความเงียบ พลังวิญญาณเริ่มแผ่ปกคลุมทุกอณูภายในมิติม่านกำแพงที่มองไม่เห็น เทียนไขทั้งสามเล่มถูกจุดในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยจิตของลุงนีลล์
ถัดมา ชายชราหยิบมีดเงินวางลงบนถาดเกลือหินพร้อมกับท่องคาถาภาษาเฮอร์มิส
“มีดเงินบริสุทธิ์ · ข้าจักทำให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์
“ข้าจักปัดเป่าชะล้างมลทิน · เจ้าจะคอยรับใช้ข้าตลอดพิธีกรรมครั้งนี้!”
…
“ภายใต้พระนามแห่งเทพธิดารัตติกาล · พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด”
“มีดเงินจงศักดิ์สิทธิ์ ณ บัดนี้!”
หลังจากเสร็จสิ้นถ้อยคำสั้น แต่เปี่ยมด้วยพลังมหาศาล ลุงนีลล์หยิบมีดเงินขึ้นจากถาดเกลือหินและนำไปจุ่มแช่ในน้ำบริสุทธิ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นพลางหมุนตัวหันหลังให้โต๊ะกลม ปลายแหลมของมีดถูกชี้ตรงไปเบื้องหน้า
มันรักษาระดับของมีดไว้เช่นนั้น ฝ่าเท้าเริ่มขยับก้าวเดินไปรอบโต๊ะจนครบหนึ่งรอบ
ทุกครั้งที่ทิ้งน้ำหนัก ไคลน์สัมผัสถึงพลังที่มองไม่เห็นพุ่งออกจากปลายแหลมของมีดเงิน ค่อนข้างคล้ายคลึงพลังวิญญาณ เกิดสายลมพัดบางเบาก่อตัวเป็นกำแพงวิญญาณรอบโต๊ะซ้อนทับอีกหนึ่งชั้น
จากนั้นไม่นาน แท่นบูชาโต๊ะกลมได้ถูกตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งด้านในกลายเป็นมิติโลกวิญญาณโดยแท้จริง
ลุงนีลล์หยุดเดินและหันหน้ากลับเข้าหาโต๊ะ มันหยิบขวด‘สารสกัดจันทร์เต็มดวง’ขึ้นมาเปิดผา ก่อนจะบรรจงหยดลงบนเทียนไขทั้งสามเล่มเรียงกันตามลำดับ
ซู่ว!
ควันบางๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ราวกับกลิ่นอายความเร้นลับแผ่กระจายทั่วมิติกำแพงใส ชายชราวางขวดลง สายตาชำเลืองมองกระดาษหนังเทียมอย่างเงียบงันนานกว่าสองนาที
ก่อนจะหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนคำว่า‘ควบคุม’ลงบนภาพเหมือนธนบัตรสี่เหลี่ยม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าตนสามารถ‘ควบคุม’เงินจำนวนนี้ได้
ถัดมาเป็นการวาด‘กางเขน’ทับลงไป เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ‘ยกเลิก’
มาถึงจุดนี้ ชายชราก้มหยิบกระดาษหนังเทียมขึ้นมาถือด้วยมือซ้าย ปลายนิ้วชิ้วมือขางสัมผัสหว่างคิ้วสองครั้งเป็นการเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ
บรรยายภายในห้วงมิติกำแพงใสคล้ายอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณมหาศาล ทันใดนั้น ลุงนีลล์ทำการท่องคาถาด้วยเสียงค่อย
“ขอวิงวอนต่อพลังรัตติกาล
“ขอวิงวอนต่อพลังสีชาด
“ขอวิงวอนต่อความอาทรของเทพธิดา
“ขอวิงวอนให้ตัวข้าได้รับเงินคืนเพื่อนำไปจ่ายหนี้สิน!
“วานิลลาราตรีและพฤกษาแห่งจันทร์แดงเอ๋ย… ได้โปรดเป็นพลังแก่คาถาของข้าด้วย!”
“บุปผาจันทราและพฤกษาแห่งจันทร์แดงเอ๋ย… ได้โปรดเป็นพลังแก่คาถาของข้าด้วย!”
…
ไคลน์แต่ได้ยืนทึ่งกับภาพเหตุการณ์สุดเหลวไหลเบื้องหน้า ในหัวกำลังเกิดความคิดอันประหลาดหลากหลาย
ขอกันตรงๆ แบบนี้ก็ได้หรือ?
ถึงจะกล่าวเป็นภาษาเฮอร์มิสก็เถอะ…
ไม่ใช่ว่าเทพธิดาจะพิโรธแล้วเพิ่มหนี้สินเป็นสองเท่าหรือไง?
ทันใดนั้น แสงเทียนไขสว่างวาบฉับพลัน
หลังจากสวดคาถาจบ ลุงนีลล์หลับตาเงียบงันราวสองนาที ก่อนจะลืมตาขึ้นและหยดสารสกัดจันทร์เต็มดวงลงไปในเทียนไขทั้งสามโดยเรียงลำดับ
กระดาษหนังเทียมในมือถูกยื่นไปยังเทียนไขธรรมดาซึ่งแทน‘ตัวเรา’
เพียงไม่นาน เปลวเพลิงร้อนจากเทียนเริ่มลนกระดาษจนเกิดลุกไหม้ ลุงนีลล์รีบโยนกระดาษหนังเทียมลงหม้อต้มทันที
มันหลบตาลงอีกครั้ง ราวกับกำลังใช้จิตสัมผัสถึงการมอดไหม้ของกระดาษหนังเทียมในหม้อ
เมื่อผ่านไปสักพัก ชายชราลืมตาและจ้องมองเข้าไปในหม้อใหญ่ที่สลักตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความืด
ภาพแรกที่เห็นคือซากกระดาษหนังเทียมซึ่งกลายเป็นขี้เถ้าโดยสมบูรณ์
“เทพธิดาจงเจริญ!”
ลุงนีลล์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบริเวณหน้าอก ก่อนจะดับเทียนไขทั้งสามเล่มโดยเรียงลำดับตรงข้ามจากปรกติ
เมื่อพิธีเสร็จสิ้น มันบรรจงใช้มีดเงินกรีดเฉือนกำแพงที่มองไม่เห็นจากบนลงล่าง
เพียงพริบตา สายลมเอื่อยอันอบอุ่นพลันพัดผ่านไปทั่วบ้าน ลุงนีลล์หันมากล่าวกับชายหนุ่มด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“เรียบร้อย”
“เสร็จแล้ว?”
ไคลน์ถาม นัยน์ตาของมันสั่นระริก
“หนี้ถูกสะสางแล้วหรือ? ด้วยวิธีไหน?”
“ฉันเองก็ไม่ทราบ แต่มั่นใจว่าปัญหาคลี่คลายแล้ว… ในทางที่สมเหตุสมผล”
ชายชรากล่าวพลางยิ้ม
ให้ตายสิ… ไคลน์อึ้งจนหมดคำพูด
มันจะได้ผลจริงหรือ?
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/