ตอนที่ 5 คนชั่วมาเยือน
หนทางแห่งการเกิดใหม่เป็นที่รู้จักกันว่าเส้นทางสู่ชีวิตและความตาย
อ้างอิงจากชีวประวัติของจักรพรรดิสวรรค์แล้วเขาเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากในรอบหลายพันปี เขาตระหนักถึงหนทางแห่งการกำเนิดและการตายผ่านการทำความเข้าใจสวรรค์และปฐพีด้วยตัวของเขาเอง
เขาคือผู้ที่สามารถควบคุมหนทางแห่งการเกิดใหม่ แม้แต่ในตำหนักเซียนที่มีจอมยุทธทรงพลังอยู่นับไม่ถ้วน เขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่สามารถควบคุมห้วงมิติและเวลาได้ใจปรารถนา
ในท้ายที่สุด มันไม่มีเขียนไว้ในชีวประวัติว่าทำไมเขาถึงตาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนทางแห่งการเกิดใหม่นั้นเหนือกว่าความรู้ความเข้าใจของฉู่ชิงหยุนอย่างสมบูรณ์
"ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด มุ่งเป้าไปที่การทะลวงผ่านระดับรวมจิตวิญญาณให้เร็วที่สุดเพื่อดูว่ามีความลับอะไรกันแน่ซ่อนอยู่ในตำราสังสารวัฏ" ฉู่ชิงหยุนพูดพึมพัม ใบหน้าของเขาไม่ได้ดูเคร่งขรึม แต่ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาอยู่ระดับหลอมกายาขั้นสองเท่านั้น ซึ่งยังห่างจากระดับรวมจิตวิญญาณถึงแปดระดับ
ในสายตาของคนอื่น นี่อาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับฉู่ชิงหยุน มันไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ฉากหน้าเขาเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุสิบหกปี แต่ในความเป็นจริง เขามีความทรงจำและประสบการณ์นับพันปีอยู่ในความทรงจำของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกฝนภายในหินสังสารวัฏห้าวันจะเท่ากับโลกภายนอกหนึ่งวัน
นี่ทำให้ฉู่ชิงหยุนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับรวมจิตวิญญาณได้ในเวลาอันสั้น
โครก!
เมื่อคิดเรื่องพวกนั้น ฉู่ชิงหยุนรู้สึกหิวเล็กน้อยและออกจากมิติภายในหินสังสารวัฏ เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นแสงแดดอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ภายในหินสังสารวัฏนานเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว
ด้านนอกห้องโถง สุ่ยหลิวเชียงทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว และกำลังจะเดินมาเรียกฉู่ชิงหยุนกินอาหารเช้า
ในทางกลับกัน ฉู่หู่เริ่มน้ำลายหกเลยนำซุปไก่ที่เหลือจากเมื่อคืนออกมา
ลานทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารและเป็นฉากที่ดูอบอุ่นมาก
ทำให้ฉู่ชิงหยุนรู้สึกมีความสุข
ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา ประตูบ้านของฉู่ชิงหยุนถูกเตะให้เปิดออกอย่างรุนแรง ทำให้ประตูทั้งบานพังทลาย
"ฉู่ชิงหยุน ออกไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นอย่าได้โทษข้าที่ไร้ความเมตตา!" เสียงอันเฉยเมยที่ดังขึ้นทำให้ฉู่ชิงหยุนหันหน้าไปมอง
มันเป็นชายสามคนที่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน แต่เขาเห็นมีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมกำลังยืนอย่างองอาจอยู่ตรงประตู ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง และมีดาบยาวห้าฟุตอยู่ข้างเอว
เมื่อฉู่ชิงเห็นชายคนนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที "ฉู่หยาง นี่มัหมายความว่ายังไงกัน?"
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมมีชื่อว่าฉู่หยาง เขาเองก็เป็นสมาชิกตระกูลฉู่เช่นเดียวกัน
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อครอบครัวของฉู่ชิงหยุนเริ่มตกต่ำ ผู้อาวุโสทั้งสามคนของตระกูลฉู่เลยแอบสมรู้ร่วมคิดกัน และแบ่งทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่งของครอบครัวฉู่ชิงหยุน
ในเวลานั้น ฉู่ชิงหยุนยังเด็กและไม่มีพลังที่จะต่อต้าน เขาทำได้แค่ดูสมบัติและความมั่งคั่งของครอบครัวเขาถูกผู้อาวุโสทั้งสามช่วงชิงไป
มิฉะนั้น ฉู่ชิงหยุนคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แม้กระทั่งไก่เขายังไม่มีจะกินและฉู่หู่เลยต้องไปขโมยมา
และฉู่หยางเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสตระกูลฉู่ เป็นธรรมดาที่เขาจะมีนิสัยเย่อหยิ่งและหาได้ยากยิ่งที่เขาจะมาที่นี่
แม้แต่ฉู่ชิงหยุนยังไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่ อีกฝ่ายมาโดยที่ไม่ถามเขาและยังเตะประตูบานอีก หน่ำซ้ำยังพูดข่มขู่ให้เขาออกไปจากที่นี่
"ฉู่ชิงหยุน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่คฤหาสน์ตระกูลสุ่ยเมื่อวานตอนนี้รู้กันไปทั้งเมืองแล้ว สุนัขที่ไร้ค่าอย่างเจ้าได้แต่งงานกับสุ่ยหลิวเชียงที่เป็นลูกโสเภณี ที่ข้ามาที่นี่วันนี้มีจุดประสงค์ที่ง่ายมาก ข้าจะมาเอาตราผู้นำตระกูล จากนั้น เจ้าก็จะไม่ใช่นายน้อยแห่งตระกูลฉู่อีกต่อไป และเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นสมาชิกของตระกูลฉู่!"
เมื่อพูดจบ ฉู่หยางเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่กดดันว่า
"การดำรงอยู่ของเจ้ามีแต่จะทำให้ตระกูลฉู่ได้รับความอับอาย มันคงจะดีกว่าถ้าขับไล่เจ้าออกจากตระกูลฉู่ให้เร็วที่สุดเพื่อมีหน้าเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษตระกูลฉู่ในอนาคต"
ฉู่ชิงหยุนไม่รู้สึกโกรธ เขาส่งเสียงหัวเราะออกมาและถามว่า "ทำไมข้าจะต้องมอบตราผู้นำตระกูลให้กับเจ้าด้วย?"
ทันทีที่คำพูดนั้นถูกพูดออกมา สีหน้าของฉู่หยางกลายเป็นมืดมนและไม่แยแส และเขาพูดว่า "ข้าบรรลุระดับหลอมกายาขั้นสี่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ส่งตราผู้นำตระกูลให้กับข้า เช่นนั้นอย่าได้โทษข้าที่ทำตัวโหดเหี้ยม!"
ทันใดนั้นฉู่หยางยื่นมือไปจับดาบและมีแสงที่หนาวเย็นส่องประกายออกมา
เมื่อวาน เมื่อฉู่หยางเพิ่งทะลวงผ่านระดับหลอมกายาขั้นสี่ และเมื่อเขาได้ยินเรื่องการแต่งงานของฉู่ชิงหยุนมันทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก เขาแค่ต้องการบังคับให้ฉู่ชิงหยุนส่งมอบตราผู้นำตระกูลมา และพ่อของเขาก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดตราผู้นำตระกูล แล้วพ่อของเขาก็จะกลายเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลฉู่
ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแค่สถานะของเขาจะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับทรัพยากรบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังของเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นของฉู่หยาง ใบหน้าของฉู่ชิงหยุนกลายเป็นไร้ความรู้สึก ดวงตาของเขาจ้องเขม็งมองอีกฝ่าย และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนาวเย็นว่า "ไส้หัวไปให้พ้น ตราผู้นำตระกูลไม่ได้เป็นของเจ้า"
เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งยโสของฉู่ชิงหยุน ฉู่หยางระเบิดความโกรธออกมาทันที "ย่อมได้ ฉู่ชิงหยุน ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของข้า เช่นนั้นอย่าได้โทษข้าที่ทำตัวโหดเหี้ยมกับเจ้า!"
หลังจากนั้น ร่างของฉู่หยางระเบิดแสงสีเหลืองออกมา หน้าอกของเขายกสูงขึ้น กระดูกทั้งร่างส่งเสียงแตกหัก กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้น และทำให้เสื้อผ้าของเขาเกือบจะฉีกขาด
สิ่งที่น่าสังเกตยิ่งกว่านั้นคือด้านหลังเขาปรากฏภาพของวัวคลั่งเขาเดียวและส่งเสียงร้องคำราม ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉู่หยางหยิ่งผยองมากยิ่งขึ้น
วัวคลั่งเขาเดียวเป็นจิตยุทธของฉู่หยาง ซึ่งเป็นจิตยุทธระดับสอง
"ตาย! ฉู่หยางตะโกนและพุ่งเข้าใส่ฉู่ชิงหยุนพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือ โดยพุ่งเป้าไปที่หัวใจของฉู่ชิงหยุน
เดิมทีฉู่หยางไม่คิดที่จะต่อสู้กับฉู่ชิงหยุน
นั่นเป็นเพราะ ฉู่ชิงหยุนเป็นนายน้อยแห่งตระกูลฉู่ แม้ว่าเขาจะเป็นขยะที่ไร้ค่า แต่สถานะของเขาก็สูงกว่าเขามาก
ด้วยเหตุนี้ในช่วงสิบหกปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสทั้งสามคนของตระกูลฉู่จึงไม่ได้ผลักดันฉู่ชิงหยุน
วันนี้ ฉู่ชิงหยุนทำตัวอวดดีเกินไป ไม่เพียงแค่ปฏิเสธที่จะส่งมอบตราผู้นำตระกูลให้ แต่ยังบอกให้เขาไส้หัวไปให้พ้น ซึ่งทำให้ฉู่หยางไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
"มันเป็นเจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย!" ฉู่ชิงหยุนรู้สึกโกรธเกรี้ยวเช่นกัน เขาไม่คิดที่จะล่าถอย แต่กระโจนไปอยู่ด้านหน้าฉู่หยางด้วยความรวดเร็ว
เขาใช้มือซ้ายของเขาเป็นเหมือนกับอสรพิษ เพื่อจับแขนของฉู่หยางอย่างเหนียวแน่น ส่วนมือขวาเขาจะกำหมัดแน่นและต่อยอย่างรุนแรงไปที่ไหล่ของฉู่หยางด้วยพลังทั้งหมด และทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไป
"แม้กระทั่งจิตยุทธยังใช้ไม่ได้ ขยะไร้ค่ายังไงก็เป็นขยะไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ" เมื่อเห็นฉู่ชิงหยุนกระโจนเข้ามา ฉู่หยางยิ้มอย่างเหยียดยาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากำลังจะโจมตีใส่ฉู่ชิงหยุน เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าแขนของเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย เพราะฉู่ชิงหยุนกำลังจับแขนเขาอยู่ เขาทำได้แค่มองดูหมัดที่กำลังต่อยมาที่ไหล่ของเขาและไม่อาจขยับตัวหลบได้
ตู้ม!
ร่างกายของฉู่หยางกระเด็นไปด้านหลังและดาบหลุดออกจากมือ ก่อนที่จะกระแทกกับพื้น
"วัวคลั่งเขาเดียวเป็นจิตยุทธระดับสอง มันถือว่าใช้ได้ทีเดียว และความแข็งแกร่งของมันถือว่าโหดร้ายอย่างมาก แต่เพื่อให้ดูเท่เจ้ากลับเลือกใช้ดาบเป็นอาวุธไม่ใช้ประโยชน์จากจิตยุทธ"
"ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าใช้ดาบได้ห่วยมาก"
ฉู่ชิงหยุนมองฉู่หยางด้วยความเฉยเมย และใช้มือขวาของเขาจับดาบและดึงมันขึ้นมา
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้น? ฉู่ชิงหยุนแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?