GE150 กายาเก้าจ้างเก้าฉื่อ [ฟรี]
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนสมควรมีห่วงในใจ
ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมคนแรกได้ตัดห่วงนั้นทิ้งไป และก้าวสู่ขอบเขตพลังที่สูงชั้นขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เส้นทางการฝึกฝนมีหลากหลาย เป็นไปตามผู้ฝึกตนแต่ละคน
ปราณวิญญาณภายในแคว้นซ่งเบาบางกว่าแคว้นเยว่ แต่ขนาดของแคว้นซ่งใหญ่กว่าแคว้นเยว่ถึง 3 เท่า… หนิงฝานคาดว่ากว่าจะมุ่งไปถึงทางเหนือของแคว้นซ่ง คงใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน...
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เชี่ยวชาญของแคว้นซ่งเข้าหาเรือทั้งหมด 41 ครั้ง แต่ละครั้ง หนิงฝานใช้ชุ่ยหลิงนำเหรียญตราไปแสดง จึงไม่มีผู้ใดกล้าขวาง
ในช่วง 3 เดือนนี้ ปีศาจบุบผาแดงลอบจู่โจมอเรือเหาะทั้งหมด 3 ครั้งด้วยสัมผัสเทพ มันระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
วิชาของมันเป็นวิชาพิเศษเฉพาะ ที่มีแต่ผู้ครอบครองเส้นโลหิตอสูรเท่านั้นที่ใช้ได้ วิชาของพวกมันจะสร้างพลังเป็นของตน พลังนั้นไม่ใช่ปราณ แต่เป็นเหมือนพลังจิต
ผู้เชี่ยวชาญอสูรแบ่งออกเป็น 2 ประเทภ หนึ่งคือผู้ที่ฝึกวิชา อีกหนึ่งคือผู้ที่ฝึกฝนร่างกาย… ผู้ที่ฝึกฝนร่างกายจะคงร่างกายไว้ในรูปลักษณ์อสูน แม้จะบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ แต่พวกมันยังคงสภาพร่างกายเอาไว้ เพราะร่างอสูรนั้นทรงพลังกว่าร่างมนุษย์
ส่วนผู้ที่ฝึกฝนวิชา ส่วนใหญ่จะได้สืบทอดวิชามาทางสายเลือด วิชาของพวกมันคือวิชาสัมผัสเทพ แต่มีผลเหมือนวิชาที่ใช้จากปราณ บางวิชาให้ผลพิเศษ สามารถจู่โจมทะเลสติได้โดยตรง นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่… ผู้เชี่ยวชาญอสูรนั้นหาได้ยากในโลกพิรุณ และปีศาจบุบผาแดงก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญอสูร
ครั้งแรกที่มันจู่โจมเรือเหาะ มันอยู่ห่างออกไป 500 ลี้ ใช้วิชาในระดับแก่นทองคำจู่โจมเรืออยู่หลายระลอก แต่ข่ายอาคมในระดับดวงจิตแรกเริ่มของเรือก็ต้านรับได้ง่ายๆ
ครั้งที่สองมันอยู่ห่างออกไป 800 ลี้ จู่โจมด้วยวิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มถึง 7 วิชา สร้างความเสียหายให้ข่ายอาคมได้ในที่สุด ทำให้หนิงฝานต้องชักกระบี่แยกสวรรค์ที่ลุกโหมด้วยเพลิงต้านรับการจู่โจมของมัน
การปะทะกันในครั้งนั้นทำให้มันประหลาดใจเป็นอย่างมาก มันคาดไม่ถึงว่าผู้เยาว์ในขอบเขตประสานวิญญาณจะครอบครองวิชาเผาวิญญาณ
และการจู่โจมครั้งสุดท้าย มันอยู่ห่างออกไป 1100 ลี้ เป็นระยะที่หนิงฝานไม่อาจสัมผัสถึง และนั่นก็เป็นขีดจำกัดของมัน… ครั้งนี้ทำให้มันรู้ว่าสัมผัสเทพของมันเหนือกว่า
ครั้งนี้ มันจู่โจมด้วยวิชาระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง นามว่า ‘ดาราอสูรถล่มฟ้า’ ด้วยอานุภาพของดาราผสานกับวิชาของมัน เกิดเป็นการจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัวมาก
การจู่โจมในครั้งนี้สามารถทำลายเรือเหาะทั้งลำได้ในพริบตา แต่ชั่วลมหายใจนั้น แววตาหนิงฝานกลับแปรเปลี่ยนเย็นชา
“ครั้งที่ 3 แล้วนะ! ข้าชักจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้ว หากยังมีครั้งที่ 4 เจ้าจะเสียใจ”
เงากระบี่สีดำพุ่งออกจากร่างหนิงฝาน ตรงเข้าใส่พลังของอีกฝ่ายที่จู่โจมมา
วิชาของอสูรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แม้จะไม่ได้รุนแรงเทียบเท่าวิชาปราณ แต่ก็ใกล้เคียงมาก… แต่เมื่อวิชานั่นสัมผัสกับกระบี่ของหนิงฝน มันกลับถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
“นี่มัน… สัมผัสกระบี่ แย่แล้ว… สัมผัสกระบี่สร้างความเสียร้ายแรงให้กับวิชาอสูร และปราณกระบี่นั่นก็ทำให้ข้าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก...”
ปีศาจบุบผาแดงระมัดระวังเรือเหาะของหนิงฝานเป็นอย่างมาก มันพยายามขบคิดวิธีชิงตัวสตรีบนเรือมา แต่เมื่อรู้ว่าโอกาสสำเร็จมีเพียง 5 ใน 10 ส่วน มันจึงเลิกติดตามเรือต่อ
ยามนั้นเอง หนิงฝานเสียสีหน้าเสียดาย
อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม ทั้งยังเป็นสตรี
แต่เหตุใดนางถึงพุ่งเป้าไปที่สตรีด้วยกัน ราวกับมันเป็นเรื่องน่ายินดี
ช่างโชคร้ายที่มันเลิกล้มความคิดไปก่อน ไม่ว่าสัมผัสเทพหรือการเคลื่อนไหว มันล้วoเหนือกว่าหนิงฝาน แต่มันเลือกที่จะลอบจู่โจมจากไกลๆ เมื่อรู้ว่ามันไม่อาจเข้าประชิดเรือได้สำเร็จ มันก็เลิกล้มความคิดทันที
ถ้ามันไม่เข้ามาใกล้ หนิงฝานก็จับมันไม่ได้… ในเมื่อหนิงฝานยังจับไม่ได้ นับประสาอะไรกับผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำของแคว้นซ่ง
สิ่งที่ทำให้หนิงฝานสนใจคือ บนหน้าผากของปีศาจบุบผาแดงมีอักษรสีแดงโลหิต ราวกับเป็นตัวอักษรตามภาษาของเผ่าอสูร
ในตัวอักษรนั้นแฝงด้วยเจตจำนงค์เทพ… เจตจำนงค์เทพที่ก่อตัวมาจากเจตนาสังหาร เจตจำนงค์เทพนั้นไม่ใช่ของมัน แต่เป็นของเทพอสูรที่ทรงพลัง ที่เป็นผู้สลักตัวอักษรนั้นให้
ตัวอักษรนั้นคล้ายกับตราประทับวิญญาณ เป็นวิธีการที่เผ่าอสูรใช้ควบคุมผู้เป็นทาส นอกจากนี้ ยามที่ทาสตกอยู่ในอันตราย อักษรนั่นสามารถสำแดงการจู่โจมได้
หากจะกล่าว ตัวอักษรบนหน้าผากของอสูรทาสอาจเป็นเหมือนสิ่งช่วยชีวิต ซึ่งหนิงฝานเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถต้านรับการจู่โจมจากมันได้ ดังนั้น เขาจึงพยายามจะจับมันเช่นกัน
“อาจารย์กล่าวว่า ดับไฟก็ไม่ต่างกัน...” หนิงฝานกล่าวคำที่ยากจะเข้าใจด้วยสีหน้าจริงจัง
ปีศาจตนนั้นเลิกล้มที่จะจู่โจมเรือเหาะ หนิงฝานเองก็ไม่มีความสามารถพอที่จะจับมัน ดังนั้น เรือเหาะจึงคืนสู่ความสงบชั่วคราว
หนิงฝานใช้เวลาไปกับการฝึกฝนแทบจะทั้งวันทั้งคืน มีเพียงช่วงตะวันตกดินเท่านั้นที่เขาจะมาฟังชู่ซวนเชียนสื่อเป่าขลุ่ย เสียงขลุ่ยของนางทำให้หัวใจปีศาจของเขาสงบ หลังจากได้พูดคุยกัน นางไม่ได้ถามเรื่องส่วนตัวของหนิงฝาน ไม่ตำหนิในการตัดสินใจของเขา และระวังคำพูดมากขึ้น
หนิงฝานฝึกฝนวิชากระดูกยักษ์อย่างหนัก หากฝึกสำเร็จ เขาจะสามารถขยายร่างสูงใหญ่ได้ถึง 10 จ้าง ซึ่งสามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญดวงขั้นต้นได้ง่ายขึ้น… ด้วยที่ปราณของเขาดำเนินมาถึงจุดตีบตัน ซึ่งเหลือเพียงทะลวงขอบเขตแก่นทองคำ เขาจึงไม่กล้ายกระดับพลังต่อ ดังนั้น เขาจึงหันมาฝึกฝนร่างกายแทน
ขอบเขตแรกของวิชากระดูกยักษ์คือ ‘เผาเส้นลมปราณ’ วิธีการฝึกฝนคือใช้สมุนไพรเสริมกับการโคจรปราณตามวิชา ทำให้เส้นลมปราณเกิดการวิวัฒนาการ
ในตำราบันทึกไว้ว่า สมุนไพรเสริมที่ใช้ต้องเป็นสมุนไพรธาตุเพลิง ที่แฝงด้วยเพลิงที่รุนแรง เมื่อกินสมุนไพรเข้าไป อานุภาพของมันจะเป็นเหมือนลาวาที่แผ่ไปทั่วร่าง น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อหนิงฝานกินสมุนไพร ฤทธิ์ของสมุนไพรผ่านลำคอ เขารู้สึกราวกับถูกเพลิงเผา เมื่อฤทธิ์ของสมุนไพรเข้าสู่เส้นลมปราณ เขารู้สึกราวกับเส้นลมปราณถูกแผดเผา
ซึ่งสิ่งที่เป็นแก่นของวิชากระดูกยักษ์ คือการถูกแผดเผาด้วยเพลิงที่ร้อนแรง… ความเจ็บปวดระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทนได้ แต่เมื่อเทียนยี่และปีศาจเฒ่าในยามนั้นถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นศพ พวกมันจึงไม่กลัวความเจ็บปวด
ความเจ็บปวกจากการฝึกวิชาเทียบได้กับการกินโอสถจักรพรรดิหยกเม็ดที่ 3 ยามนี้ หนิงฝานขมวดคิ้วแน่น เขาต้องทนเจ็บ 1 เดือน เหงื่อไหลอาบอาภรณ์เปียกชุ่ม แต่เขากลับไม่ร้องออกมาสักคำ ในเมื่อเขาอดทนกับความเจ็บปวดของโอสถจักรพรรดิหยกได้ เขาย่อมอดทนกับความเจ็บปวดจากวิชากระดูกยักษ์ได้เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หนิงฝานเสียดาย คือความเจ็บปวดระดับนี้ เขาสามารถกินโอสถจักรพรรดิหยกเม็ดที่ 4 เพื่อหักล้างความเจ็บ
“ยิ่งเจ็บยิ่งดี...”
หนิงฝานขบฟันทนความเจ็บปวด
หากผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนวิชากระดูกยักษ์ได้ยินเข้า พวกมันคงกระอักโลหิต... มีผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนวิชากระดูกยักษ์คนใดที่จะใช้สมุนไพรเสริมที่รุนแรง และทนกับความเจ็บปวดมากขนาดนั้น หนิงฝานเป็นคนแรก
หลังจากผ่านไป 1 เดือน เส้นลมปราณของหนิงฝานก็ยกระดับ บรรลุวิชากระดูกยักษ์ในขอบเขตที่ 1 ระดับ 2 จากทั้งหมด 9 ขอบเขต
ในขอบเขตนี้จะทำให้ร่างกายของหนิงฝานสูงใหญ่เพิ่มขึ้น 3 จ้างยามที่ใช้วิชา… แต่นั่นยังไม่พอ
ในขอบเขตที่สองของวิชามีนามว่า ‘เผากระดูก’ ในขอบเขตนี้ จะใช้เพลิงปราณในร่างกายเผาชำระกระดูก
ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำที่เป็นนักปรุงโอสถ จะสามารถใช้เพลิงได้… ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ หากเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ครอบครองเส้นลมปราณเพลิง จะสามารถใช้เพลิงได้
แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ จะใช้เพลิงได้จากการดูดซับปราณเพลิงจากภายนอกเข้าสู่ร่าง ค่อยๆเผาชำระกระดูกอย่างช้าๆ ทำให้บรรลุผลได้เหมือนกัน
แต่การเผาชำระกระดูกนั้น ยิ่งทำด้วยวิธีการที่รุนแรงมากเท่าไหร่ จะยิ่งบรรลุผลการฝึกฝนได้เร็วเท่านั้น… หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไป ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยหนึ่งปีจะเห็นผล แต่หากเป็นนักปรุงโอสถในขอบเขตแก่นทองคำ หรือผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนธาตุเพลิง จะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี
แต่หนิงฝานมีเพลิงปีศาจทมิฬ หากใช้มันเผาชำระกระดูก ผลของการฝึกฝนจะรวดเร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตแก่นทองคำหลายสิบเท่า เพราะไม่มีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำคนใดที่สามารถนำเพลิงเส้นชีพจรพิภพมาเผาชำระร่างกายได้
แม้เพลิงปีศาจทมิฬที่เผาชำระกระดูกจะทำให้หนิงฝานเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่มันยังไม่เท่าโอสถจักรพรรดิหยก
สองเดือนถัดไป หนิงฝานบรรลุวิชากระดูกยักษ์ขอบเขตที่ 2 ระดับ 9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของขอบเขต ยามนี้เขาสามารถจำแลงร่างเป็นยักษ์สูง 9 จ้าง 9 ฉื่อได้ หากเขาบรรลุขอบเขตที่ 3 ของวิชา เขาจะสามารถจำแลงร่างเป็นยักษ์สูงสิบจ้างสิบฉื่อได้
แต่การจะบรรลุขอบเขตที่ 3 นั้น ต้องใช้โอสถบางชนิดช่วยหนุนเสริม… เป็นโอสถผันแปรที่ 3 นามว่า ‘โอสถเผาโลหิต’ โอสถชนิดนี้ปรุงได้ไม่ยาก แต่หนิงฝานไม่มี ‘โลหิตเพลิง’
ในตำราของวิชาลับกระดูกยักษ์กล่าวไว้ว่า หากนำโลหิตเพลิงมาปรุงเป็นโอสถ จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญบรรลุวิชาในขอบเขตที่ 3 ในขอบเขตนี้ จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญจำแลงร่างเป็นยักษ์สูงได้ถึง 100 จ้าง
ยักษ์สูง 100 จ้าง… เหมือนกับวันที่หวางเหยาบุกจู่โจมตระกูลหู มันจำแลงร่างเป็นยักษ์สูงถึง 100 จ้าง ความแข็งแกร่งของมันในยามนั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
แม้จะจำแรงร่างเป็ยักษ์สูง 100 จ้าง ซึ่งเทียบเท่ากับจักรพรรดิปีศาจไป๋กู่ได้ แต่ดูเหมือนวิชากระดูกยักษ์จะยังมีข้อจำกัด… วิชาระดับนี้ยังไม่ทำให้หนิงฝานพอใจ หากเป็นไปได้ เขาก็อยากได้วิชาในขอบเขตเซียนมาฝึกฝน
หนิงฝานหยุดการฝึกวิชา เขานำคำภีร์ม้วนหนึ่งออกมา เป็นคำภีร์ของดรรชนีกระบี่
แม้จะเป็นวิชาที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ทรงพลังว่าวิชากระดูกของจักรพรรดิปีศาจไป๋กู่ นอกจากนี้ ยังเป็นวิชาที่เทพกระบี่โบราณโบราณตกทอดไว้
เทพกระบี่โบราณเป็นสตรี นางเหลือฝักกระบี่ที่มีเจตจำนงค์กระบี่อยู่ภายใน ซึ่งเจตจำนงค์กระบี่นั้น ทรงพลังพอที่จะเอาชนะจักรพรรดิปีศาจไป๋กู่ได้
แม้นางจะมีเพียงกระบี่ธรรมดาทั่วไป แต่นางยังสังหารเทพได้
หากหนิงฝานฝึกวิชาดรรชนีระบี่สำเร็จ เขาก็จะมีไพ่ตาย แต่เงื่อนไขในการฝึกวิชานั้นไม่ธรรมดา จำเป็นต้องใช้เส้นชีพจรพิภพที่ยาวถึงพันลี้ในการเปลี่ยนนิ้วเดียวให้กลายเป็นกระบี่ และเส้นชีพจรพิภพนั้นก็จะถูกทำลายพินาศจากการฝึกฝน
ซึ่งเส้นชีพจรพิภพในระดับนั้น มีเพียงนิกายในแคว้นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเท่านั้นที่มี… นิกายเหล่านั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มเป็นผู้ปกครอง เส้นชีพจรพิภพที่มี ไว้สำหรับศิษย์นิกายทุกคนได้ใช้ยกระดับพลัง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่หนิงฝานจะครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว
เวลาล่วงเลยจนครับสามเดือน ในที่สุด การเดินทางในแคว้นซ่งก็สิ้นสุด
เรือเหาะลำใหญ่ของหนิงฝานหยุดอยู่เบื้องหน้าข่ายอาคมแบ่งโลก
เขากำลังจะออกจากแคว้นซ่งแล้ว แต่ยามนั้นเอง ชู่ซวนเชียนสื่อกลับเลือกที่จะลงจากเรือ
“ข้าขอโทษ… ข้าเห็นคนตกอยู่ในอันตรายแล้วนิ่งเฉยไม่ได้… ข้าก็มีหนทางของข้า แต่ข้าก็รู้ว่าหนทางของเข้าไม่ผิด แต่เรานั้นต่างกัน...”
นางยิ้มอย่างงดงามให้หนิงฝาน ก่อนจะมุ่งกลับเข้าไปในแคว้นซ่ง
หนิงฝานทำได้เพียงถอนหายใจ เขาไม่ได้ประหลาดใจมากนัก
หากเจอคนตกทุกข์ได้ยากแล้วไม่ยื่นมือช่วย ก็ไม่ใช่นาง...
แม้นางจะชอบเข้าหาปัญหา แต่นางก็เป็นคนที่ควรค่าแก่การนับถือ...
“ปีศาจหนิง ตอนนี้ทำยังไงดี ข้าว่าปล่อยนางไปแบบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควร” จิงสั่วกล่าว มันรู้ว่าเวลาของหนิงฝานมีค่า แต่การที่ปล่อยนางไปเผชิญอันตรายคนเดียวเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควร
“ใช่… แต่นางกล่าวว่านางมีหนทางเป็นของตน แต่หากข้ามองนางตาย หัวใจข้าคงสลาย… สหายเต๋าจิงสั่ว ท่านเฝ้าปกป้องเรือ อย่าให้ปีศาจบุบผาแดงช่วงชิงสตรีบนเรือไปได้… แล้วข้าจะรับกลับมา น่าจะใช้เวลาไม่นานนัก”
แววตาหนิงฝานเผยเจตนางสังหาร
เขาจะตามไปปกป้องนาง เพราะเขาไม่อาจเห็นนางตายอยู่ตรงหน้าได้
นอกจากนี้ เขายังจะได้ทดสอบผลการฝึกวิชากระดูกยักษ์ด้วย
ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจบุบผาแดง แต่วิชากระดูกยักษ์ที่ฝึกฝนมา ย่อมทำให้เขาต่อกรกับอีกฝ่าย และช่วยนางกลับมาได้
น่าเสียดายที่ปีศาจบุบผาแดงคือสตรี แม้นางจะบรรลุขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม แต่นางไม่มีทางทำอันตรายหนิงฝานได้...