ตอนที่แล้วDC บทที่ 110: สู่ภาคเหนือ(จบภาค 2) (1/2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDC บทที่ 111: เทศกาลไหว้พระจันทร์

DC บทที่ 110: สู่ภาคเหนือ(จบภาค 2)(2/2)(ฟรื)


DC บทที่ 110: สู่ภาคเหนือ(จบภาค 2) 2

 

วันที่สี่ ซูหยางเดินทอดน่องลงมาจากชั้นบนสู่ตำหนักโอสถ และทุกคนที่นั่นหันกายไปมองเขาด้วยสายตาสงสัยทันทีที่เขาปรากฏกายต่อหน้าพวกเธอ

 

แม้ว่าพวกเธอไม่สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลานลี่ชิงในครั้งแรก เพราะว่ามันเป็นความคิดเหลวไหลที่ศิษย์นอกจะฝึกวิชาร่วมกับผู้อาวุโสนิกาย แต่พวกเธอเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์หลังจากที่เขามาเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง

 

และตอนนี้ซูหยางได้เป็นศิษย์ใน โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ตามสมมติฐานย่อมมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

 

“อืมมมม...ศิษย์พี่ชายซู…”

 

แม้ว่าพวกเธอล้วนต้องการถามซูหยางว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาจารย์ของเธอหรือไม่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าควรถามเขาอย่างไรให้เหมาะสม โดยไม่ล่วงเกินเขาและอาจารย์ของเธอ

 

เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนของพวกเธอ ซูหยางก็ยิ้มเล็กน้อย

 

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรกัน” เขาพูดอย่างสบายใจ “แต่ความจริงมิได้เป็นอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการ ผู้อาวุโสหลานได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ดังนั้นข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเธอบรรเทาความเจ็บปวดด้วยกลเม็ดของข้า”

 

หลังจากหยุดเล็กน้อย เขากล่าวต่อไปว่า “กลเม็ดของข้ามิเพียงช่วยเพิ่มความสุขสบาย พวกเจ้ารู้ไหม”

 

“เช่นนั้นหรือ”

 

เพราะประสบกับความล้ำลึกของกลเม็ดของเขามาด้วยตัวเอง และได้ยินคำอธิบายที่น่าเชื่อ ความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว

 

“คราวหน้าถ้าข้ากลับมา ทำไมพวกเจ้าทั้งหมดไม่ไปกับข้าเพื่อร่วมกิจกรรมกันอีก ข้ามิต้องการค่าใช้จ่ายอะไรอีกด้วย”

 

“จริงรึ”

 

ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ต่างพากันตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

 

“เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่เกรงใจ”

 

“ใช่แล้ว ถ้าให้ดีเจ้าห้ามคืนคำ ศิษย์พี่ชายซู”

 

ซูหยางพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เขาพลันออกจากตำหนักโอสถ ทิ้งเหล่าหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความคาดหวังไว้เบื้องหลัง

 

ในเวลานั้น หลานลี่ชิงฝึกฝนอยู่อย่างเงียบงันในห้องของเธอด้วยท้องน้อยที่เต็มไปด้วยปราณหยางสุดแข็งแกร่ง เมื่อซูหยางปลดปล่อยปราณหยางในครั้งแรกหลังจากที่ได้กลืนกินรากปราณเข้าสู่ร่างของเธอ หลานลี่ชิงตกตะลึงเป็นอย่างมากกับพลังมหาศาลสุดเข้มแข็งที่พุ่งเข้าสู่ครรภ์ของเธอราวกับน้ำร้อนถังใหญ่

 

ในตอนแรกหลานลี่ชิงคิดว่าซูหยางอาจจะมีตัวยาหายากบางอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังการฝึกปรือของเธอ แต่หลังจากดูดซับปราณหยางของเขา เธอก็สิ้นสงสัยในเมื่อปราณหยางของเขามีคุณค่าและประสิทธิภาพมากกว่าตัวยาหายากใดๆพวกนั้น

 

และเมื่อเธอเปรียบเทียบปราณหยางของเขากับตัวยาและสมุนไพรที่เธอเคยมีมาก่อน ก็คล้ายกับการเปรียบเทียบน้ำอมฤตกับโคลน ความแตกต่างนั้นกว้างใหญ่ราวกับท้องฟ้าและพื้นดิน

 

-

 

-

 

-

 

เมื่อเขาออกจากตำหนักยาแล้ว ซูหยางเดินทางไปยังตำหนักภารกิจเพื่อรับภารกิจที่ต้องการให้เขาออกจากนิกายเป็นเวลานาน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการออกไป

 

เมื่อเขาพบภารกิจที่เหมาะสมและบันทึกรับภารกิจในสมุดบันทึกแล้ว เขาก็กลับไปยังที่พัก

 

“เจ้าพร้อมจะไปหรือยัง” ซูหยางถามชิวเยวี่ยหลังจากใช้ห้องน้ำ

 

“ข้าไม่รู้ แล้วท่านล่ะ” เธอตอบกลับด้วยเสียงประชดประชัน

 

ซูหยางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วพยักหน้า

 

“ไปภาคเหนือกันเถอะ ตอนนี้เลย” เขากล่าว

 

ชิวเยวี่ยพยักหน้า

 

เธอนำเอายาแปลงโฉมออกมาจากแหวนมิติและกลืนมันลงไป

 

รูปร่างหน้าตาของเธอเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ

 

ผมสีเงินของเธอกลายเป็นสีดำ ดวงตาที่คล้ายจันทราดำขึ้นคล้ายกับจันทรคราส พักตร์ที่หาใดเปรียบก็เปลี่ยนไปเช่นกัน กลายเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าดูดีแต่มีความเย็นชาเป็นปกติ

 

ในไม่กี่วินาที เทพธิดาเยือกแข็งชิวเยวี่ยกลายเป็นคนธรรมดาที่มีใบหน้าธรรมดาและไม่เป็นมิตร

 

ซูหยางเลิกคิ้วกับวิธีการเลือกหน้าตาของเธอ “ปกติเจ้าท่องเที่ยวไปมาใช้หน้าตาแบบนี้รึ”

 

เมื่อคิดว่าซูหยางพูดถึงความสวยโดยรวมของเธอ ชิวเยวี่ยขมวดคิ้วและเปลี่ยนใบหน้าอีกครั้ง กลายเป็นหญิงสาวที่ยิ่งสวยงามสง่า แต่บรรยากาศของความไม่เป็นมิตรรอบตัวเธอยังคงเดิม

 

ซูหยางได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยกับปฏิกิริยาโต้ตอบของเธอ

 

ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก้าวออกมาจากบ้าน

 

“เจ้ามียานบินอยู่กับตัวบ้างไหม” ซูหยางถามเธอ

 

“ข้ามี”

 

ชิวเยวี่ยพลันนำเอาเรือไม้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแหวนมิติและโยนมันลงไปบนพื้น

 

ไม่กี่วินาทีถัดไป เรือไม้ขนาดเท่ากับฝ่ามือก็ขยายขนาดกลายเป็นเรือขนาดเท่าของจริง

 

“นี่เป็นยานที่ดีที่สุดที่เจ้ามีตอนนี้รึ” ซูหยางค่อนข้างประหลาดใจ หรือว่าเธอทิ้งทรัพย์สมบัติของเธอทั้งหมดไว้เบื้องหลังยามเมื่อเธอจากตำหนักจันทราศักดิ์สิทธิ์

 

“แน่นอนว่าข้ามีที่ดีกว่านี้ แต่แค่นี้ก็พอในการเดินทางไปยังภาคเหนือ” ชิวเยวี่ยกล่าว หลีกเลี่ยงการใช้ยานบินที่ดีกว่าอย่างตั้งใจเพราะมีเจตนาส่วนตัว

 

ซูหยางมองดูเรือไม้ที่มีเพียงที่นั่งเดียวด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “สิ่งนี้ไปเร็วได้เท่าไหร่” เขาถาม

 

“เราควรถึงภาคเหนือภายในห้าวัน” เธอตอบ

 

“ห้าวัน… ข้าคิดว่าพอรับได้” ซูหยางพยักหน้า และเขาก็ก้าวเข้าไปบนเรือไม้

 

ชิวเยวี่ยเข้าไปในเรือไม้ตามหลังซูหยาง เธอนั่งเบียดด้านข้างเขาชิดหัวไหล่

 

“ลอยขึ้น” เธอพึมพัม

 

เรือไม้พลันสั่นสะท้าน และเริ่มลอยขึ้นไปยังเมฆขาว กลายเป็นจุดสนใจของศิษย์ทุกคนที่อยู่นอกห้องอย่างรวดเร็วท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงาม

 

“มองดูสิ่งที่อยู่กลางอากาศนั่น มันกำลังบิน” ศิษย์บางคนตะโกนออกมาด้วยเสียงตื่นตระหนก

 

“มันคืออะไร”

 

“มันดูคล้ายเรือไม้ เหตุใดมันจึงบินได้”

 

เหล่าศิษย์และแม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตกตะลึงอย่างใหญ่หลวงกับยานบินของชิวเยวี่ย เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ยานบินเป็นสิ่งที่หายากที่สุดในโลกนี้ และไม่เหมือนกระบี่บินที่ต้องจดจ่ออย่างลึกซึ้งอีกทั้งต้องใช้พลังฝีมือที่แข็งแกร่งคอยควบคุม ส่วนยานบินนั้นต้องการปราณไร้ลักษณ์เพียงเล็กน้อยในการควบคุม

 

วืดดดดด เรือไม้ในอากาศพลันพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวลูกศรหลุดออกไปจากคันศร หายลับไปจากสายตาของทุกคนแทบจะในทันที จนทำให้พวกเขาต่างพากันปากอ้าตาค้างด้วยความแตกตื่นเพียงแค่ความเร็วที่ราววิกลจริตของมันเท่านั้น

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด