GE147 หนึ่งไม่มีสอง [ฟรี]
คุณค่า?
คุณค่าคือสิ่งใด ควรค่าหรือไม่?
ท่ามกลางพิรุณโปรยปราย หนิงฝานที่กำลังครุ่นคิดก็ค่อยๆลืมตา จ้องมองป้ายหลุมศพของหูฟงสื่อ
บางทีอาจไม่ควรค่า
เพราะหนิงฝานอาจกลายเป็นเหมือหูฟงสื่อ ที่ทิ้งชีวิตตนเพื่อฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นหลัง
พิรุณถือกำเนิดจากพื้นดิน กลับคืนสู่พื้นดินให้ความชุ่มฉ่ำ ให้กำเนิดชีวิต… แต่เหตุผลที่มันเรียกว่าพิรุณนั้น ไม่ใช่เพราะมันคือวารี ไม่ใช่เพราะมีนมาจากสายน้ำหรือทะเลสาบ แต่เป็นเพราะมันมีวิถีเป็นของตน
“หากกล่าวถึงคุณค่า การทำประโยชน์ให้ทั้งโลกจึงจะมีคุณค่า… แต่ต่างคนก็ต่างความคิด ข้าก็มีเต๋าเป็นของข้าเอง! นี่คือสิ่งที่ชู่เฉินสื่อสัมผัสถึง แต่เต๋าของข้านั้นแตกต่าง แม้โลกจะมีพิรุณมากมายเหลือคณา แต่ข้าเป็นเพียงพิรุณหยดเดียว ที่แข็งแกร่งกว่าพิรุณทุกเม็ด...”
“เจตจำนงค์เทพพิรุณ ข้ามีแล้วสองสิ่ง ยามนี้สิ่งที่สามได้ปรากฏ... ไม่ใช่เจตนาสงคราม แต่เป็นความโดดเดี่ยว… ความโดดเดี่ยวที่เย็นเฉียบ ราวกับแสงจันทราที่สาดส่องภูเขาลูกนี้”
หนิงฝานเงยหน้ามองจันทรา แสงจันทราสั่วไหว พิรุณที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นหนาวเห็บ แม้ผู้เชี่ยวจะใช้ปราณต้านก็ไม่อาจขัดขืน มีพียงสิ่งเดียวที่ต้านทานมันได้ นั่นคือเจตจำนงค์เทพ...
เมื่อหูหมิงได้หยินเสียงหนิงฝาน มันเร่งออกจากตำหนัก มุ่งตรงมายังภูเขาจันทราเยือกแข็ง
แต่เมื่อมันมาถึง มันกลับพบว่าพิรุณได้โปรยปราย ทั้งพิรุณเหล่านั้นเย็นยะเยือก แม้ร่างกายจะทรงพลังเพียงใดยังรู้สึกได้
พิรุณเหล่านี้ทำให้หูมิ่งตกตะลึง เพราะในพิรุณเหล่านั้น แฝงด้วยความโดดเดี่ยว
ความโดดเดี่ยวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้านทานได้
ความทรงจำในราตรีนั้นของตระกูลหู ได้หวนปรากฏในหัวของหูมิ่งอีกครั้ง เหตุการณ์ในครั้งนั้นที่ท่านปู่ได้ช่วยเขาไว้จากปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว
ตายท่านปู่และผู้อาวุโสในครั้งนั้นตกตาย ราวกับเหลือแค่เพียงหูมิ่ง ที่แหงนมองพิรุณพรั่งพรม
“เหนื่อย ช่างเหนื่อเหลือเกิน แม้ข้าจะเป็นผู้นำตระกูลแต่จิตใจของข้ายังไม่พร้อม ในอดีตแม้ตระกูลของข้าจะยิ่งใหญ่เพียงใดแต่เมื่อต้องประสบกับปีศาจตนนั้นตระกูลของข้าก็พินาศ เหลือเพียงข้าลำพังที่ไม่อาจช่วยเหลือผู้ใด… สู้ตายเสียยังดีกว่า
มันนำกระบี่ยาวออกมา เตรียมจะปลิดชีวิตตน
แววตาที่โดดเดียวผันแปร ราวกับเป็นปีศาจคลั่ง
เหตุที่เป็นเส้นไหนเพราะเจตจำนงค์เทพพิรุณแทรกซึมเข้ามาในจิตใจโดยที่มันไม่รู้สึกตัว
ในขณะที่มันกำลังปลิดชีวิตตน เสียงตำหนิก็ดังมาจากยอดเขาจันทราเยือกแข็ง
“ตื่นได้แล้ว”
หลังจากนั้น พิรุณ แสงจันทรา และความโดดเดียวก็หายไป… หูมิ่งยังคงถือกรกระบี่ กระบี่แทงเข้าในลำคอได้ครึ่งฉื่อ เมื่อหูมิ่งได้สติ สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนหวาดกลัว
เมื่อครู่มันเกือบจะฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว มันไร้สติ
ไม่มันไม่ได้บ้า แต่มีบางคนใช้วิชาสัมผัสเทพทำให้มันเป็นเช่นนั้น วิชานั่นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสิ่งที่เหนือชั้นกว่า เป็นสิ่งที่หูมิ่งไม่เคยมาก่อน
และผู้ที่ใช้วิชา ย่อมเป็นปีศาจทมิฬหนิงผู้ยืนอยู่บนยอดเขา
“คาดไม่ถึงว่าปีศาจทมิฬหนิงจะทรงพลังขนาดนี้ แม้ไม่ใช้ปราณ เพียงสัมผัสเทพก็เกือบจะทำให้ข้าฆ่าตัวตายได้… พลังของคนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวมาก”
หูมิ่งหวาดกลัว มันคิดว่าตนคงยั่วยุหนิงฝานเข้า จึงถูกเรียกตัวมายังยอดเขา และเกือบถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย
แต่มันก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะหนิงฝานได้สลักตราประทับวิญญาณไว้ เพียงกระตุ้นตราประทับก็สามารถสังหารมันได้แล้ว เหตุใดต้องทำถึงขนาดนี้
ดูเหมือนหนิงฝานไม่ได้อยากจะฆ่ามัน มันแค่โชคร้ายที่ไปถูกวิชาของหนิงฝานเข้า
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หูมิ่งก็ผ่อนคลาย มันรู้ว่าหนิงฝานไม่ได้อยากสังหาร มันคิดมากเกินไป
มันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญประสายวิญญาณ แต่กลับถูกผลของวิชาจนเกือบตาย หากเรื่องราวของวิชานี้แพร่ไปทั่วทั้งแคว้นเยว่คงแตกตื่น
มันไม่กล้าประมาท และเร่งขึ้นไปยังยอดเขาทันที
หนิงฝานยังคงรูปร่างผอมบาง แม้จะมีวิชาขัดเกลาร่างกาย แต่ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีกล้ามมากขึ้น ยิ่งใบหน้าที่ดูซีดขาว ยิ่งทำให้หนิงฝานดูน่าสะพรึงกลัว
หูมิ่งเก็บความคิดฟุ้งซ่านและกล่าว “ข้าหูมิ่งผู้นำตระกูลหู คารวะปีศาจหนิง”
“อืม… บอกเล่าเรื่องนิการอัสนีม่วงมา ข้าจะช่วยตระกูลหูดูเรื่องความยุติธรรม”
แววตาหนิงฝานเผยเจตจำนงค์พิรุณ ทำให้พิรุณที่โปรยปราณหยุดลง
หากสงครามเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง พิรุณวารีคงกลายเป็นพิรุณโลหิต
หลังจากผ่านศึกในครั่งนั่น ประมุขนิกายอัสนีม่วงเก็บตัวฝึกฝนไม่ออกมาพบปะ
สงครามในครั้งนั้นน่าสะพรึงกลัว ปีศาจเฒ่ากระชากแขนของมัน ทำให้มันบาดเจ็บอย่างหนักและกระทบกับระดับพลังของมันอย่างมาก ทำให้ลดลงเหลือเพียงขอบเขตแก่นทองคำขั้นต้น นอกจากนี้ อาการบาดเจ็บของมันต้องรักษาอย่างน้อย 10 ปี
นิกายเต๋าสวรรค์เข้ามายังแคว้นเยว่ผ่านทางข่ายอาคมที่นิกายอัสนีม่วงรับผิดชอบดูแล ดังนั้น ในฐานะที่นิกายอัสนีม่วงเป็นผู้ดูแล จึงถือว่าบกพร่อง
เรื่องที่ตระกูลผู้ฝึกตนที่ถูกทำลาย ทำให้นิกายฝ่ายธรรมะจำนวนมากเกลียดชังนิกายอัสนีม่วง
ในขณะที่ประมุขนิกายอัสนีม่วงเก็บตัวฝึกฝน ผู้อาวุโสของนิกายได้เริ่มก่อตั้งกลุ่มเป็นของตน ชักจูงผู้คนในนิกายให้อยู่ฝ่ายตนอย่างลับๆ
ทำให้ยามนี้ ในนิกายอัสนีม่วงได้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เมื่อประมุขนิกายอัสนีม่วงออกมาจากการเก็บตัว พวกมันจะเข้าชิงตำแหน่งประมุขนิกาย
แม้มันจะเก็บตัวฝึกฝน และไม่รู้ราวภายนอก แต่มันสัมผัสได้อย่างเลือนลางว่า ตำแหน่งประมุขนิกายของมันได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
นิกายอัสนีม่วงที่แบ้งฝักแบ่งฝ่าย แต่ละกลุ่มได้ชักจูงตระกูลผู้ฝึกตนได้เข้าร่วม เพื่อเตรียมชิงตำแหน่งประมุขนิกายในอนาคต
ตระกูลหูเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลหูสนิทสนมกับนิกายอัสนีม่วง แต่เมื่อประมุขนิกายอัสนีม่วงบาดเจ็บ ตระกูลหูอ่อนแอลง นิกายอัสนีม่วงจึงยากเทียบเชิญตระกูลหูเพื่อเสริมกำลังให้ตน
แม้จะกล่าวว่าเทียบเชิญ แต่แท้จริงคือคำขู่ เพราะหากตระกูลหูไม่ยอม พวกมันจะทำลายตระกูลหูทิ้ง...
เบื้องนอกนิกายอัสนีม่วง หนิงฝานเหยียบย่างนภาท่ามกลางแสงจันทร์ จ้องมองนิกายอัสนีม่วงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หนิงฝานทราบมาจากหูมิ่งในเรื่องนิกายอัสนีม่วงได้แตกคอ เกิดเป็นขุมกำลังหลายฝ่าย แต่เรื่องเช่นนั้นหนิงฝานไม่ใส่ใจ แต่ที่เขามาเยือนนิกายอัสนีม่วงยามนี้ ก็เพราะคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับหูฟงสื่อ
“จะนิกายฝ่ายธรรมะหรืออธรรมก็ไม่ต่างกัน ข้าไม่สนใจพวกมัน… กระถางแยกโอสถ ถล่ม!”
หนิงฝานสัมผัสกระเป๋า กระถางปรุงโอสถขนาดเล็ก ขยายใหญ่กว่าร้อยจ้าง มังกรเพลิงปีศาจทมิฬ 9 ตัวทะยานออกจากกระถาง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ เหมือนครั้งที่หานหยวนจี๋ทำลายนิกายเหอฮวน
ด้วยพลังของหนิงฝานยามนี้ แม้เป็นข่ายอาคมระดับแก่นทองคำก็ไม่ต้านทานได้ ดังนั้น ข่ายอาคมปกป้องนิกายอัสนีม่วงจึงถูกจู่โจมแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงการพังทะลายของข่ายอาคมดังสนั่น
แสงสีม่วงส่องสว่างไปทั่วท้องนภา ข่ายอาคมระดับดวงจิตแรกเริ่มถูกกระตุ้น ข่ายอาคมชนิดนี้เป็นข่ายอาคมโบราณ นามว่า ‘แสงม่วง’
หนิงฝานประหลาดใจกับข่ายอาคมที่ปรากฏ เพราะแม้จะใช้กระถางแยกโอสถจู่โจม มันยังต้านรับได้
แต่เมื่อจู่โจมครั้งที่สอง ข่ายอาคมกลับเกิดรอยร้าวและพังทะลาย ในยามนั้นเอง บุรุษในอาภรณ์ม่วงหลายคนได้เหยียบย่างนภาตรงเข้ามา
เมื่อพวกมันเห็นว่าผู้ที่จู่โจมคือปีศาจทมิฬหนิงผู้เลื่องชื่อ พวกมันไม่กล้าปริปาก
ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอัสนีม่วง รักษาระยะห่างจากหนิงฝาน และป้องมือพลางกล่าว
“ปีศาจทมิฬหนิงแห่งนิกายกุ่ยเชว่มาเยือนนิกายอัสนีม่วงด้วยเหตุใด? แล้วเหตุใดต้องทำลายข่ายอาคมป้องกันของพวกข้า? หรือเพราะท่านโกรธเคืองประมุขนิกาย จึงมาระบายกับพวกข้าในยามนี้?”
แม้ทุกคนจะได้ยินชื่อเสียงของหนิงฝาน แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหนิงฝานคือปีศาจทมิฬหนิง แต่เงาร่างของบุรุษในอาภรณ์ดำในวันนั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้าใจผิด
ด้วยที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของหนิงฝาน ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอัสนีม่วง จึงได้สั่งให้ศิษย์นิกายเติมศิลาสวรรค์เข้าไปที่ตาของข่ายอาคม
ผู้อาวุโสใหญ่มั่นใจว่ามันไม่เคยบาดหมางกับหนิงฝาน มันคิดว่า หากหนิงฝานจะมีความบาดหมางกับนิกายอัสนีม่วง ย่อมเป็นความบาดหมางที่เกิดกับประมุขนิกาย ในศึกครั้งนั้น นิกายอัสนีม่วงได้เพิกเฉยต่อการลุกล้ำของนิกายเต๋าสวรรค์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายต้องตาย ผู้คนมากมายกล่าวโทษตำหนิ แต่ยามนี้ หนิงฝานมาเยือนนิกาย และเป็นผู้ลงมือกับนิกายเป็นคนแรก
“แต่… ข้าก็เคยได้ยินมาว่า หนิงฝานเป็นผู้บ้าตัณหา ฝึกฝนด้วยวิชาขัดเกลาผสาน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูลใดล้วนไม่พ้นมือ และบุตรสาวของประมุขนิกายก็เป็นหนึ่งในนั้น… อาจเป็นเพราะเช่นนี้!”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว มันเชื่อว่าหนิงฝานมีความแค้นกับประมุขนิกาย
หากหนิงฝานมาด้วยเหตุนั้นจริง ก็นับเป็นข่าวดีสำหรับมัน
เพราะนั่นเท่ากับยืมมือหนิงฝานกำจัดประมุขนิกาย เมื่อถึงยามนั้น มันจะได้ขึ้นเป็นประมุขนิกายด้วยตนเอง และสร้างชื่อให้กับตนเอง
นับว่าหนิงฝานมาได้ถูกเวลามาก เพราะหากประมุขตาย มันจะเข้าชิงตำแหน่งทันที
“เช่นนั้น ต้องให้ประมุขออกมาขอโทษ!” ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายสั่งให้ศิษย์ไปตามประมุขนิกายมา
แต่ในขณะนั้น ประมุขนิกายอัสนีม่วงกลับปรากฏตัว มันกุมแขนข้างที่ขาด สีหน้าเศร้าหมอง
มันรู้ว่าหนิงฝานทรงพลังขนาดไหน เพราะในสงครามคราวนั้น มันประจักษ์กับการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของหนิงฝานตาของตนเอง พลังที่สามารถเอาชนะสือหยินได้… พลังที่เอาชนะปีศาจเฒ่าได้… ต่อให้มันทรงพลังดังเดิม มันก็ไม่อาจรอดพ้นมือหนิงฝาน นับประสาอะไรกับยามนี้ที่บาดเจ็บหนัก
“พอได้แล้ว… เจ้าชนะ...” ประมุขนิกายอัสนีม่วงหลับตาพลางส่ายหน้า
ผู้อาวุโสใหญ่มีความสุข หากประมุขนิกายตาย นิกายจะตกเป็นของมัน
แต่ความฝันนั้นกลับต้องพังทะลาย เพราะคำกล่าวของหนิงฝาน
“ข้าไม่ได้มาเพื่อสังหารประมุขนิกาย… แต่ข้ามาเพื่อสังหารเจ้า… เหตุผลของเรื่องนี้ คือเพื่อช่วยเหลือประกูลหู ปฏิเสธคำชักชวนของเจ้า!”
สีหน้าประมุขนิกายแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่แข็งค้าง “หนิงฝาน! อย่าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งแล้วจะรับมือกับนิกายอัสนีม่วงของข้าได้! ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดเป็นศัตรูกับข้า เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้เป็นปีศาจทมิฬหนิงก็ช่วยเจ้าไม่ได้… กระตุ้นข่ายอาคมระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง...”
ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่ทันได้กล่าวจบ กระถางแยกโอสถของหนิงฝานถล่มลงอีกครั้ง มังกรเพลิงทมิฬทั้ง 9 ตัวบินวน ก่อเกิดเป็นวังวนมังกรเพลิงที่ 4
“ทำลาย!”
แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา ข่ายอาคมแตกสลายในพริบตา!
ผู้อาวุโสใหญ่คิดว่า ข่ายอาคมในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มจะทำให้มันปลอดภัย แต่กลับถูกทำลายในการจู่โจมเดียว
กระถางแรกทำลายข่ายอาคม กระถางที่สองจึงถล่มเข้าทำลายนิกายอัสนีม่วง
เมื่อข่ายอาคมถูกทำลาย หนิงฝานแผ่สัมผัสกระบรี่ ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณจำนวนหนึ่งที่คุ้มกันผู้อาวุโสใหญ่ ถูกสัมผัสกระบี่ทะลวงเข้าสู่ทะเลสติ และถูกสังหารตายทันที
ความฝันที่อยากเป็นประมุขนิกายของผู้อาวุโสใหญ่สลายสิ้น พร้อมกับที่แน่นิ่งของมัน
สัมผัสกระบี่แผ่ต่อไปยังศิษย์คนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้อาวุโส สังหารคนเหล่านั้นตกตายเป็นจำนวนมาก ศิษย์คนอื่นๆที่เหลือไม่กล้าสบตาหนิงฝาน เพราะกลัวจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับผู้อาวุโสใหญ่และคนของมัน
น่ากลัว… ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว! ขนาดข่ายอาคมระดับดวงจิตแรกเริ่มยังถูกทำลาย ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสใหญ่จะถูกสังหาร
ปีศาจทมิฬหนิงช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือ!
หนิงฝานยกมือ เก็บกระถางปรุงโอสถเข้ามา ริบเอากระเป๋าเก็บของของผู้ที่ถูกสังหาร หันมองประมุขนิกายด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งเจตนาสังหาร พลางยิ้มให้เล็กน้อย
“ข้าช่วยเจ้าด้วยการสังหารมันแล้ว...”
“ขะ...ขอบคุณ! ข้าย่อมไม่ปฏิเสธความหวังดีของปีศาจทมิฬหนิง” ประมุขนิกายคารวะ พลางปลดกระเป๋าที่ห้อยอยู่เอวของมัน ยื่นส่งให้หนิงฝาน
ในนั้นมีหยกสวรรค์อย่างน้อย 3 หมื่น… เมื่ออีกฝ่ายยื่นให้ หนิงฝานย่อมไม่ปฏิเสธ
แม้การที่ผู้อาวุโสใหญ่ถูกสังหารจะทำให้ประมุขนิกายมีความสุข แต่มันยิ่งหวาดกลัวหนิงฝานมากขึ้น
หนิงฝานดูแลตระกูลหู แม้ตระกูลหูและประมุขนิกายอัสนีม่วงจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ก็ใช่ว่ามันจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออีกฝ่าย
“ข้าต้องการเพียงหยกสวรรค์ สิ่งอื่นนับว่าไร้ค่าสำหรับข้า… ประมุขนิกาย ข้าไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า หากข้าจากแคว้นเยว่ไป เจ้าจงดูแลตระกูลหูแทนข้า หากวันใดข้ากลับมา และพบความตระกูลหูประสบกับความยากลำบาก เจ้าคงรู้ว่าเจ้าจะต้องเผชิญชะตากรรมเช่นใด?”
“ปีศาจหนิงโปรดหวางใจ! หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตรายตระกูลหูอย่างแน่นอน” ประมุขนิกายกล่าวอย่างหนักแน่น
“ดี… เรื่องราวๆที่เหลืออยู่ เจ้าเป็นคนจัดการ”
เรื่องที่เหลืออยู่ในความหมายของหนิงฝาน คือพวกกฏบ
หนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงจากไป
ตระกูลหูในยามนี้นับว่าปลอดภัยแล้ว
เมื่อหนิงฝานจากไป คนของนิกายอัสนีม่วงก็ผ่อนคลาย
ยามนี้ผู้ที่สนับสนุนผู้อาวุโสใหญ่ คิดก่อการกบฏล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนด้วยความหวาดกลัว
แววตาประมุขนิกายแปรเปลี่ยนเย็นชา มันสั่งให้ประหารกบฏเหล่านั้นทันที
ยามนี้ ไม่มีสิ่งใดที่หนิงฝานต้องทำแล้ว เรื่องราวการต่อสู้ในนิกายอัสนีม่วง ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกมัน
เมื่อได้รับปากผู้ใดไว้ ก็จงทำตามที่รับปาก
สิ่งที่เขาทำในยามนี้ อาจทำให้หูฟงสื่อยินดี
ยามนี้ หัวใจปีศาจของหนิงฝานกำเริบน้อยลง
“เพียงเท่านี้ ข้าจากไปได้อย่างสงบ”