ตอนที่ 123 เจ้าหมูผู้องอาจ
ตอนที่ 123 เจ้าหมูผู้องอาจ
มองดูแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปในอากาศ,ฉู่เฉาหยุ่นหยุดฝีเท้าของเขาลง เขาพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มออกมาเบาๆ “ช่างเป็นทักษะต่อสู้ที่ทรงพลัง ช่างน่าเสียดาย,มันจะไร้ประโยชน์เมื่อลอยขึ้นไป”
ริมฝั่งแม่น้ำสีขุ่น,เซียวเฉินค่อยๆฟื้นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นและมองเห็นซู่เสี่ยวเสี่ยวและจินต้าเป่าที่กำลังเป็นกังวล เขารู้สึกอบอุ่นในใจและยิ้มขึ้นบางๆ “ขอบคุณ!”
ซู่เสี่ยวเสี่ยวพูดขึ้น “เจ้ารู้สึกเช่นไร? เจ้าล้มพับลงไปเมื่อครู่ พวกเรากลัวแทบแย่”
ดวงตาของจินต้าเป่าเติมเต็มไปด้วยแสงสว่างพร้อมกับวิ่งเข้ามา เขายิ้มขึ้น “พี่น้องเซียว,ข้าเห็นเจ้าแกะสลักเขาราชันย์สิงโตทองคำเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะทำสมบัติลับนี่ออกมาอีกหลายๆชิ้น?”
เจ้าหมูตัวนี้มีเพียงเงินตราที่เขาเห็นอยู่ในสายตาอย่างแท้จริง เซียวเฉินลุกขึ้นเมินเฉยเขา เขาตรวจสอบร่างกายของตัวเองและไม่พบบาดแผลอะไร,เขาเพียงแค่ฝืนใช้พลังปราณมากจนเกินไปเท่านั้น เขาถามขึ้น “ข้าหมดสติไปนานเท่าไหร? คนพวกนั้นตามพวกเรามารึเปล่า?”
ซู่เสี่ยวเสี่ยวตอบกลับ “เกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ ไม่มีคนของตระกูลชั้นสูงไล่ตามพวกเรามา ต้าเป่าเห็นพวกเขามุ่งหน้าตามแม่น้ำไป,พวกเรากำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะตามพวกเขาไป”
เซียวเฉินยืดเส้นยืดสายและรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ เขาพูดขึ้นอย่างไม่แยแส “พวกเราจะตามไป โรงศพทองคำของมหาปราชญ์ยังไม่ถูกเปิดออก หากพวกเราไม่ตามไป,การมาในครั้งนี้จะเสียเปล่า”
เจ้าหมูหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่น้องเซียวต้องตามพวกมันไป ข้าไปตรวจสอบเส้นทางมาแล้วเรียบร้อย พวกเขาเดินตามแม่น้ำไปก่อนที่จะขึ้นไปยังแท่นหินสูงกว่าหนึ่งพันเมตร”
“ข้ายังพบเจ้าหมอนั้น,ฉู่เฉาหยุ่น,แอบย่องไปคนเดียว ไม่ได้รวมกลุ่มกับพวกเขา”
แท่นหินสูงกว่าพันเมตร...เซียวเฉินคิ้วขมวด,ตามความคิดของเขา,หากเจ้าหมูไม่ได้ตาฝาด,นั้นจะต้องเป็นเขตแดนเล็กที่มหาปราชญ์สร้างขึ้น มิฉะนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น
นอกจากนั้น,ตั้งแต่ที่ฉู่เฉาหยุ่นปรากฎตัวออกมา,ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังคงเป็นปริศนา คนอื่นมาพร้อมกองทัพใหญ่โต,แต่เข้ากลับเข้ามาเพียงตัวคนเดียว
พวกเขาทั้งสามรับมุ่งหน้ามาทันที,เพียงไม่นาน,พวกเขาก็มาถึงยังจุดที่เหล่าตระกูลชั้นสูงฆ่าฟันกับอสูรปีศาจค้างตาว พวกเขาเห็นซากอสูรปีศาจมากมาย,และเซียวเฉินก็หยุดฝีเท้าลงเซียวเฉินใช้กระบี่เงาจันทร์ของเขาตัดผ่าซากหนึ่งในอสูรปีศาจพวกนี้ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง,และเขาก็เดินตรงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ เขามองเห็นหมอกควันสีดำที่ปกคลุมผิวแม่น้ำเอาไว้ เขาตกตะลึง,พลังฉีปีศาจหนาแน่นปกคลุมไปทั่วพื้นน้ำ
ที่ซากโบราณของมหาปราชญ์….ทำไมถึงมีพลังฉีปีศาจมากมายเช่นนี้มารวมตัวกัน? มันคือซากมหาปราชญ์หรือซากปีศาจกันแน่? เซียวเฉินคิดอย่างงุนงงกับตัวเอง เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดแปลกเกี่ยวกับซากโบราณ
“นายน้อยเซียว, เจ้าคิดอะไรอยู่” ซู่เสี่วเสี่ยวถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อนางเห็นว่าเซียวเฉินนิ่งเงียบจ้องมองไปยังแม่น้ำ
เซียวเฉินตื่นขึ้นมาจากความคิดของเขาและยิ้มขึ้นเบาๆ “ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ!”
ทั้งสามคนเดินทางต่อไป,ใช้ทักษะเคลื่อไหวเรียงกันไป เซียวเฉินประหลาดใจที่เห็นว่าเจ้าหมูไม่ได้เชื่องช้าไปกว่าเซียวเฉินเลยผิดกับรูปร่างของเขา เขาสงสัยว่าเจ้าหมูกำลังใช้ทักษะเคลื่อนไหวใดอยู่
มองเห็นเซียวเฉินที่จ้องมองมาอย่างตกตะลึง,เจ้าหมูกางพัดในมือและหัวเราะออกมาอย่างน่าถีบ เซียวเฉินไม่อาจทนเห็นพฤติกรรมอวดดีเช่นนี้ของเจ้าหมูได้,และหันหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
“พวกเรามาถึงแล้ว,แท่นหินอยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำ เมื่อเราข้ามแม่น้ำไป,พวกเราก็ถึงแล้ว” หลังจากที่พวกเขามาถึงตีนภูเขา,เจ้าหมูหยุดลงและชี้ไปที่แท่นหินตรงข้ามฝั่งแม่น้ำ เขาพูดขึ้น “พวกเขาน่าจะขึ้นไปกันแล้ว”
เซียวเฉินมองดูพลังฉีปีศาจที่หนาแน่นเต็มพื้นผิวแม่น้ำและพูดขึ้น “พวกเราไม่อาจข้ามไปตรงๆ หมอกควันสีดำนี้คือพลังฉีปีศาจ สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเราถูกครอบงำ”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาก็หยิบขวดหยกออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล ขวดหยกใบนี้คือสมบัติช่องว่างเหมือนกับแหวนห้วงจักรวาล พื้นที่ด้านในของมันมีมหาศาล,เพียงแต่มันสามารถใส่ลงไปได้เพียงของเหลวและหมอกควันเท่านั้น มันเป็นของที่เซียวเฉินทำขึ้นมาแก้เบื่อในตอนที่อยู่ในเมืองไป๋สุ่ย
เขาชี้ปากขวดหยกไปที่แม่น้ำ,จินต้าเป่าและซูเสี่ยวเสี่ยวต่างงุนงง,น้ำในแม่น้ำสีดำเริ่มปั่นป่วน,มันดูดซับเอาพลังฉีปีศาจจากพื้นผิวของน้ำ
หลังจากนั้นครู่ใหญ่,บนพื้นผิวแม่น้ำสีดำกลายเป็นไร้ซึ่งพลังฉีปีศาจปกคลุม เซียวเฉินเก็บขวดหยกและพูดขึ้นอย่างตื่นตัว “ไปกันเถอะ!”
เซียวเฉินสามารถใช้คาถาแรงโน้มถ่วงบินข้ามไป เจ้าหมูและซู่เสี่ยวเสี่ยวกระโดดไปบนผิวน้ำก่อนที่จะมาถึงอีกฝั่ง หลังจากที่พวกเขาข้ามมาได้,เจ้าหมูขยับเข้ามาใกล้เซียวเฉินในทันที เขายิ้มขึ้น “พี่น้องเสี่ยว,เมื่อกี้มันอะไร? พี่น้องตัวโตจะขอหยิบมาดูสักหน่อย?”
เซียวเฉินไม่ได้ปฏิเสธ ขวดหยกใบนี้ไม่ใช้สมบัติล้ำค่าอะไรมากมาย นอกจากนั้น,การใช้งานก็จำกัด มันเป็นเพียงแค่ของที่เขาทำขึ้นมาแก้เบื่อ,ชิ้นงานก็หยาบกระด้าง มันไม่มีปัญหาที่จะให้เจ้าหมูเอาไปดู
เจ้าหมูถือมันไว้ในมือพร้อมกับลูบไล้ชื่นชม หลังจากนั้นครู่ใหญ่,เขาก็คืนขวดกลับมา เขาถามขึ้น “ทำไมข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าเป็นคนสร้างขวดใบนี้ขึ้นมา? นอกจากนั้น,ชิ้นงานยังหยาบกระด้าง”
เซียวเฉินตกตะลึง,เจ้าหมูตัวนี้สายตาช่างแหลมคม เขาไม่ได้ตอบกลับและมองตรงไปที่แท่นหิน เขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังฉีอันเที่ยงธรรมดที่มันส่งออกมา
เมื่อพวกเขามาถึงแท่นหิน,ทันใดนั้นเจ้าหมูก็พูดขึ้น “ดูเหมือนมีคนบางกลุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิ”
เซียวเฉินรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ กลุ่มคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิไม่ได้ตื่นตัวแต่อย่างใด พวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาเสียงก็ไม่ใช่เบา,แต่คนกลุ่มนี้ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
“มีบางอย่างผิดปกติ,คนพวกนี้ดูเหมือนราวกับได้ตายไปแล้ว” เซียวเฉินเดินตรงเข้าไปทันทีที่เขาพูดจบ
มีกองกระดูกสีขาวมากมายบนพื้น สำหรับผู้คนที่นั่งลงท่าขัดสมาธิอยู่,ดวงตาของพวกเขาปิดสนิท
ราวกับกำลังหลับฝัน เจ้าหมูใช้มือของเขาผลักเบาๆไปที่ร่างหนึ่ง,ทันใดนั้นเขาก็ล้มลงไปในทันที
จินต้าเป่าหน้าซีดขาว เขามองไปที่กองกระดูกสีขาวและจ้องไปที่เหล่าผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลชั้นสูงที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เขาคิ้วขมวด “ผู้บ่มเพาะพลังพวกนี้เพียงแค่ตายจากไปเฉยๆ ยิ่งกว่านั้นท่าทางตอนตายของพวกเขายังแปลกประหลาด”
ด้านข้างศพของเหล่าตระกูลชั้นสูง,บริวารของขุนนางกุยยี่,นักรบทองคำ,ทั้งหมดตกตายไปอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นกัน พวกเขาล้มลงไปกองกับพื้นเพียงแค่ผลักเบาๆ
เจ้าหมูทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง ก่อนที่เซียวเฉินจะได้ตอบโต้อะไร,เขาก็เห็นเจ้าหมูเคลื่อนไหวราวกับพายุและปลดทรัพย์รูดของนักรบทองคำของขุนนางกุนยี่,เอาชุดเกราะศึกระดับปฐพี
ไม่นานนัก,เจ้าหมูเก็บชุดเกราะไปมากกว่าหนึ่งร้อยชุด เจ้าหมูเพ่งมองดูอย่างละเอียด,และสีหน้าของเขาเปลี่ยน เขาถามขึ้น “ทำไมชุดเกราะทั้งหมดถึงได้สูญเสียพลังวิญญาณของมันไปแล้ว? เกิดบ้าอะไรขึ้น”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาหยิบเอามีดออกมาและแทงลงไปที่ชุดเกราะ เกิดเป็นรูเล็กๆขึ้นมาบนชุดเกราะสีทองทันทีก่อนที่มันจะแตกออกเป็นเสี่ยง
ซู่เสี่ยวเสี่ยวสีหน้าประหลาดใจ นางหยิบเอาชุดเกราะศึกสีทองขึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่,นางพูดขึ้น “ศิลาแสงจันทร์ที่หลอมรวมเข้าไปในชุดเกราะดูเหมือนจะถูกบางอย่างดูดกลืนออกไปจนหมด”
เมื่อเซียวเฉินและจินต้าเป่าได้ยินเช่นนั้น,พวกเขาต่างตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ศิลาแสงจันทร์คือหินอัศจรรย์แห่งสวรรค์และปฐพี,มันประกอบขึ้นมาด้วยเต๋าจากธรรมชาติ มันถูกดูดกลืนหายไปได้เช่นไร?
เซียวเฉินจับจ้องสายตาไปที่แท่นหิน เขาพยายามอย่างที่สุดขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไป,แต่เขากลับไม่อาจทำได้ ภายในขอบเขตเล็กๆนี้,มันเป็นการยากแม้แต่จะดึงสัมผัสวิญญาณออกไปนอกร่างของเขา
เจ้าหมูพึมพำ “ไม่เป็นไร,ขึ้นไปกันเถอะ หากไม่ขึ้นไปก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
แม้ว่าเซียวเฉินจะรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ,เขาก็ไม่สามารถขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปตรวจสอบดูได้ เขาทำได้เพียงเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าหมู ทั้งสามคนก้าวขึ้นไปบนแท่นหิน
ทันทีที่ทั้งสามคนขึ้นไปเหยียบบนแท่นหิน,มังกรฟ้าในร่างของเซียวเฉิน,พัดสีทองของเจ้าหมู,และพิณในมือของซู่เสี่ยวเสี่ยวทันใดนั้นทั้งหมดต่างส่งกระแสพลังออกมา กระแสพลังทั้งสามผสานเข้าด้วยกันและก่อเกิดเป็นม่านพลังเล็กๆล้อมรอบพวกเขาเอาไว้
ซู่เสี่ยวเสี่ยวพูดขึ้นมาอย่างตกตะลึง “นี่เป็นการป้องกันตัวเองของอาวุธศักดิ์ ต้องมีบางอย่างน่าหวาดกลัวภายใต้แท่นหินแห่งนี้ มิฉะนั้น,อาวุธศักดิ์คงไม่เรียกใช้การป้องกันตัวเอง”
เซียวเฉินมองไปที่ขั้นบันไดที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเบาใจอย่างแปลกประหลาด พวกเขาทั้งสามเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบๆ พวกเขามาถึงจุดที่ไม่อาจหันกลับได้แล้ว
หลังจากผ่านมาหนึ่งร้อยขั้น ,กองกระดูกหนาแน่นเริ่มปรากฎให้เห็นตามขั้นบันไดหิน ทั้งกลุ่มเหยียบย่ำไปบนกองกระดูก,เกิดเป็นเสียงกรอบแกรบ เสียงนั้นอาจทำให้บางคนถึงกับเสียวหลังหัว
“บึ้ม!”
กระบี่เงาจันทร์กระโดดดิ้นไปมาในแหวนห้วงจักรวาล เซียวเฉินตกอกตกใจ เขาหยุดฝีเท้าลงและมองไปรอบๆตัวเขา ดาบหักขึ้นสนิมปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของเขา
มันคืออะไร? อาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังรากปัญญาแห่งการต่อสู้อีกชิ้นหนึ่ง? เซียวเฉินถามกับตัวเองหลังจากที่เขาหยิบดาบหักเล่มนั้นขึ้นมา เขาไม่อาจมองหาอะไรผิดแปลกบนตัวดาบ
กระบี่เงาจันทร์กระโดดไปมายิ่งกว่าเดิมภายในแหวนห้วงจักรวาล
ราวกับอยากจะกระโดดออกมาจากแหวน เซียวเฉินไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
แม้ว่าเซียวเฉินจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น,เซียวเฉินเก็บดาบหักๆเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและเดินหน้าต่อ มันเห็นได้ชัดว่าดาบหักเล่มนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับดาบไม้อัสนี
หลังจากเดินย่ำไปกองกระดูกสีขาวมานับไม่ถ้วน,พวกเขาทั้งสามก็มาถึงร่างไร้หัวของฮวาเทียนหยู่ เจ้าหมูพบข้อความที่เขียนอยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็เข้าไปค้นร่างศพไร้หัว
“ให้ตายเถอะ,ไม่มีอะไรเลย มหาปราชญ์ผู้นี้ยาจกโดยแท้” เจ้าหมูสาปด่าออกมาเสียงค่อย
ซู่เสี่ยวเสี่ยวมองเห็นรอยบนนิ้วชี้ของเขา,เห็นชัดว่าเป็นร่องรอยของแหวน นางพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ตรงนั้นน่าจะเคยสวมแหวนห้วงอวกาศเอาไว้ มีใครบางบนถอดมันออกไปไม่นานมานี้”
เซียวเฉินเมินคำของเจ้าหมูและตรวจสอบรอยแผลบนคอของฮวาเทียนหยู่อย่าละเอียด มันเป็นรอยตัดของดาบ หัวของฮวาเทียนหยู่ถูกตัดออกไป ระดับขอบเขตมหาปราชญ์ถูกใครบางคนสังหาร?
ใครที่จะทรงพลังถึงเพียงนั้น? ที่สังหารระดับขอบเขตมหาปราชญ์ลงได้เหมือนเชือดหมู หรือจะเป็นระดับขอบเขตจักรพรรดิ? เซียวเฉินคิดอย่างสงสัย ทันใดนั้น,เขาก็คิดอะไรออก “เจ้าหมู,ลองหาดูรอบๆ หัวของเขาอาจจะยังอยู่แถวนี้”
จินต้าเป่าคืนสติและมองไปที่ร่างศพไร้หัว เขารู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติเช่นกัน เขามองหาดูรอบๆพร้อมกับเซียวเฉิน,แต่หลังจากผ่านไปนาน,พวหเขาไม่แม้แต่จะพบสักหัว
“น่าแปลก,หัวหายไปไหน?” จินต้าเป่าถามขึ้น,เต็มไปด้วยความงุนงง
เหนือขึ้นไปบนแท่นหิน,จีชางคงและคนที่เหลือที่เหลือตัดแบ่งสมบัติจากมหาปราชญ์อีกคนหนึ่ง หลังจากนั้น,พวกเขานั่งลงขัดสมาธิและกุมเอาหินวิญญาณระดับต่ำเอาไว้ในมือของพวกเขา,ฟื้นพลังปราณในร่างอย่างรวดเร็ว
ตลอดทาง,ไม่เพียงแค่ศพของบรรพบุรุษจากหลายตระกูล,พวกเขายังพบแม้กระทั่งร่างศพของจักรพรรดิอิงสือ พวกเขาทั้งหมดคือมหาปราชญ์จากหนึ่งพันปีก่อน,เป็นผู้ที่มาจากยุคเดียวกันทั้งหมด
จีชางคงเป็นคนแรกที่ฟื้นพลังกลับมาได้ทั้งหมด เขาโยนหินวิญญาณที่มืดมัวทิ้งไปด้านข้าง เขาเห็นว่าพวกเขากำลังเข้าไปใกล้ยอดของแท่นหินแล้ว,แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับมัน กลับกัน,กลับมีเงาดำมืดแอบซ่อนอยู่ในความคิดของเขา