ราชันย์เร้นลับ 47 : ลุงนีลล์ขัดสน
ราชันย์เร้นลับ 47 : ลุงนีลล์ขัดสน
ลุงนีลล์ใช้มือลูบขมับก่อนจะกล่าว
“เราคงเห็นพ้องต้องกันแล้วใช่ไหม? ว่าเหตุใดพวกเจ้าทั้งสามถึงลงมือฆ่าตัวตาย เช่นนั้นฉันจะไม่กล่าวถึงมัน…
“ปัจจุบัน สมุดบันทึกเล่มดังกล่าวตกอยู่ในมือของรีเอล·บีเบอร์เรียบร้อยแล้ว และข้อมูลนี้จะถูกเผยแพร่เป็นวงกว้างในอีกไม่ช้าก็เร็ว
“อีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเจ้าจะรอดตายหรือไม่ แต่สมุดก็บรรลุผลหน้าที่ของมันแล้ว คือการนำไปส่งให้ถึงมือรีเอล·บีเบอร์…
“ฉันคิดว่า… ไม่สิ ฉันเชื่อว่านับแต่นี้ไป พลังของตัวตนลึกลับภายในสมุดคงไม่สนใจเจ้าอีก เหมือนกับที่เจ้าไม่สนใจมดปลวกบนพื้นนั่นแหละ ฮะฮะ! ตราบใดที่เจ้าไม่ทำตัวเด่นจนเตะตาพลังลึกลับดังกล่าวล่ะนะ
“ในไม่ช้า ใบประกาศจับรีเอล·บีเบอร์ของกรมตำรวจจะหลุดไปถึงสายข่าวของลัทธิเร้นลับ พวกมันจะเริ่มระแคะระคายว่ารีเอล·บีเบอร์เกี่ยวพันกับสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เชื่อฉันเถอะ องค์กรลับที่มีอายุยืนยาวขนาดขั้น เครือข่ายของมูลพวกมันอยู่ในระดับน่าทึ่งมาก
“ความสนใจจากองค์กรเร้นลับจะมุ่งเป้าไปที่รีเอล·บีเบอร์แทนเจ้า พวกมันจะต้องเร่งมือค้นหาสถานที่หลบซ่อนของบีเบอร์ให้พบก่อนเหยี่ยวราตรีแน่ ด้วยเหตุนี้ เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไม่ถูกลัทธิเร้นลับคุกคามอีกต่อไป
“ขอแสดงความยินดีด้วย ที่สามารถก้าวออกจากเงามืดในอดีตได้สำเร็จ นับแต่นี้ไป ชีวิตใหม่ของเจ้าจะเป็นการเดินที่สดใสซึ่งเต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่นสาดส่อง”
เมื่อลุงนีลล์กล่าวจบ ไคลน์พยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง
“ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
นับตั้งแต่ถูกส่งข้ามโลกมาที่นี่ จิตใจของมันก็ไม่เคยผ่อนคลายเต็มที่เลยสักครั้ง ราวกับมีเงามืดแอบเฝ้ามองทุกฝีเก้า แต่ปัจจุบัน ความรู้สึกเหล่านั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังแสดงอาการยินดีได้ไม่เต็มที่นัก ด้วยความรู้สึกบางประการ มันสัมผัสได้ว่า สมุดบันทึกอันทีโกนัสมีสายสัมพันธ์ประหลาดเชื่อมติดกับตนไว้ โดยเฉพาะความบังเอิญที่มีโอกาสพัวพันกับคดีลักพาตัวเข้า ไม่อย่างนั้น เบาะแสของสมุดเล่มดังกล่าวคงหายไปตลอดกาลพร้อมกับรีเอล·บีเบอร์แล้ว
ไคลน์ยังแอบหวาดหวั่นลึกๆ ในใจ หากมีสักวันที่พัสดุปริศนาส่งถึงมันโดยไม่จ่าหน้าซอง และเมื่อเปิดออกกลับพบสมุดบันทึกอันทีโกนัสอยู่ด้านใน
…ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันต้องทำตัวอย่างไร?
ได้แต่หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นไปตามที่ลุงนีลล์คาดเดา ชายหนุ่มแอบสวดภาวนา
หลังจากได้ยินไคลน์ตอบ ลุงนีลล์คิกคัก
“เจ้าคงไม่ใช่ผู้เคร่งศาสนาสินะ ไม่อย่างนั้น ในเวลาเช่นนี้ต้องทำสัญลักษณ์จันทร์แดงที่หน้าอกพร้อมกับกล่าวว่า‘ขอให้เทพธิดาอวยพร’”
“มิสเตอร์นีลล์ ตัวคุณก็เหมือนมิได้เคร่งศรัทธาสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นคงไม่อวยพรผมว่า‘ชีวิตใหม่ของเจ้าจะเป็นการเดินที่สดใสซึ่งเต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่นสาดส่อง’หรอกกระมัง?”
หลังจากเรียนวิชาศาสตร์เร้นลับภายใต้การสอนของลุงนีลล์หลายวัน ไคลน์เริ่มสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้น จึงกล้าต่อปากต่อคำจิกกัด
ทั้งสองประสานสายตาพลางหัวเราะคิกคักเสียงค่อย ก่อนจะทำสัญลักษณ์จันทร์แดงสี่จุดบริเวณหน้าอกพร้อมกัน
“เทพธิดาจงเจริญ!”
ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบดังขึ้นเมื่อบานประตูหลักของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทิฬถูกเลื่อนเปิด
มาดามโอเรียนน่าผู้เลอโฉมเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยเดรสสีเขียวอ่อน ผมของเธอยังคงม้วนปลายตามสมัยนิยมเหมือนทุกวัน
“อรุณสวัสดิ์มิสเตอร์นีลล์ อรุณสวัสดิ์ไคลน์สุดหล่อ”
มาดามโอเรียนน่าถือกระเป๋าหนังใบเล็กในมือพลางทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เป็นวันที่ยอดเยี่ยมอีกวันหนึ่ง สภาพอากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
“อรุณสวัสดิ์มาดามโอเรียน่า คุณยังสาวและสวยเหมือนกับสิบปีก่อนไม่มีผิดเลยนะ”
ลุงนีลล์ทักทายอารมณ์ดี
มาดามโอเรียนน่าพลันหันมองค้อน
“มิสเตอร์นีลล์ วิธีการชมเชยของคุณก็ยังฟังแล้วน่าหงุดหงิดเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด”
เธอเน้นหนักคำว่า‘สิบปี’
“เอ๋? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
ลุงนีลล์หันมองไคลน์ด้วยสีหน้าสุดฉงน มันไม่เข้าใจว่าตนกล่าวสิ่งใดผิดไป
เอ่อ… ลุงไม่เคยได้ยินหรอกหรือ? ว่าการเอ่ยถึงอายุของสุภาพสตรีมันเสียมารยาท
ในฐานะนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์ย่อมทราบกฏพื้นฐานการสนทนาบนโลกอินเทอร์เน็ต รวมถึงมารยาทที่ควรปฏิบัติต่อหญิงสาว
ชายหนุ่มกระแอมเสียงค่อยพลางหันไปกล่าวกับมาดามโอเรียนน่า
“อรุณสวัสดิ์ครับ มาดามโอเรียนน่ายังคงสวยเหมือนทุกวัน”
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ คุณบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยโฮอี้”
โอเรียนน่าอมยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวต่อ
“พ่อบ้านชราคนดังกล่าวนำเงินมาจ่ายค่าจ้างแล้วนะคะ ตามกฏของหัวหน้า ครึ่งหนึ่งจะถูกหักไว้เป็นเงินสำรองของหน่วย ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง… ตามจริงต้องหารสองระหว่างคุณและเลียวนาร์ดอย่างเท่าเทียม แต่คุณไม่ใช้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ จึงได้รับส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น ที่เหลือจะถูกแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคนอื่นอย่างเท่าเทียม ว่างช่วงไหนก็เข้ามาเซ็นเบิกได้เลยนะคะ”
“พ่อบ้านคนนั้นจ่ายเท่าไรครับ?”
ไคลน์ถามด้วยสีหน้าอิ่มเอม แต่ภายในใจกำลังนึกเสียดายไม่น้อย
“200 ปอนด์ถ้วนค่ะ และเขายังฝากข้อความทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า—แด่องค์เทพวายุสลาตัน ผมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขรวดเร็วเช่นนี้! เหตุใดบริษัทของคุณถึงยังไม่เป็นที่รู้จักอีก? เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมทหารรับจ้างกันแน่?”
มาดามโอเรียนน่าเลียนแบบน้ำเสียงและสำเนียงรัฐใต้ของพ่อบ้านครี
ไคลน์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวติดตลก
“อันที่จริง… ไม่ยุติธรรมกับคนร้ายลักพาตัวเลยสักนิด”
สองผู้วิเศษสามารถไขคดีได้รวดเร็วด้วยพลังแสนสะดวกสบาย คนหนึ่งทำนายหาแหล่งกบดานแม่นยำ ส่วนอีกคนแค่ร้องเพลงกล่อมให้หลับ… ลักษณะเหมือนผู้ใหญ่แกล้งเด็กโดยไม่ออมมือ
“พวกมันโชคร้ายเกินไปต่างหาก ผู้กระทำชั่วย่อมต้องถูกเทพทอดทิ้งเป็นธรรมดา”
โอเรียนน่ากล่าวติดตลกบ้าง
“ฉันจึงอธิบายไปว่า สายสืบของพวกเราบังเอิญโชคดีได้เห็นคนร้ายลักพาตัวเด็กเข้าไปในตึก คดีจึงถูกปิดลงได้รวดเร็ว บริษัทของเรามิได้เก่งกาจขนาดนั้น อย่าได้คาดหวังกันนักเลย ก็แค่บังเอิญโชคดี ไม่แปลกที่จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง”
อันที่จริง การพยายามฝืนพูดให้สิ่งหนึ่งกลายเป็นเพียงเรื่องธรรมดา สิ่งนั้นกลับยิ่งพิเศษขึ้นมาโดยพลัน…
ไคลน์พึมพำในใจ สายตาของชายหนุ่มมองตามหลังมาดามโอเรียนน่าที่เดินผ่านฉากกั้นเข้าไปในห้องการเงิน
ลุงนีลล์หัวเราะคิกคักก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉา
“เจ้าเป็นคนหนุ่มที่โชคดีมาก! ทำงานไม่ทันไรก็ได้จับงานใหญ่มูลค่าสองร้อยปอนด์เสียแล้ว”
“งานหายากมากหรือครับ?”
ไคลน์ถามฉงน
ก่อนหน้านี้ กิจวัตรน่าเบื่อหน่ายของตนมีเพียงศึกษาศาสตร์เร้นลับ อ่านเอกสารโบราณ ซ้อมยิงปืน และตระเวนอย่างไร้จุดหมายระหว่างบ้านเวิร์ชและถนนกางเขนเหล็ก
“จากบันทึกของโอเรียนน่า บางสัปดาห์พวกเราก็ไม่มีงานเข้ามาเลย และถึงจะมี งานส่วนใหญ่มักได้รับค่าตอบแทนไม่ถึงยี่สิบปอนด์”
ลุงนีลล์ใช้มือลูบไล้ศิลาจันทราบริเวณข้อมือพลางถอนหายใจยาว จากนั้นก็หันไปมองไคลน์ด้วยสีหน้าคาดหวัง
“ถ้ามีงานหวานหมูแบบนี้เข้ามาอีก อย่าลืมแอบบอกฉันบ้างล่ะ!”
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินถ้อยคำดังกล่าว มันตัดสินใจถามตรงไปตรงมา
“มิสเตอร์นีลล์ คุณขัดสนเรื่องเงินอย่างนั้นหรือ? ได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละเท่าไรครับ? พอจะบอกกันได้ไหม ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นอะไร ข้ามไปได้เลยครับ”
ลุงนีลล์เอนหลังพิงโซฟาก่อนอมยิ้ม
“ไม่ใช้ความลับที่ต้องปิดบังสักหน่อย ฉันทำงานที่นี่มานานแล้ว รายได้รวมจากทั้งกรมตำรวจและโบสถ์ตกอยู่ที่สัปดาห์ละสิบสองปอนด์”
“สิบสองปอนด์ต่อสัปดาห์?”
ไคลน์โพล่งอย่างตกตะลึง
สัปดาห์ละสิบสองปอนด์ หนึ่งปีมี 52 สัปดาห์ หมายความว่าลุงนีลล์ได้รับเงินปีละกว่า 600 ปอนด์!
ย้อนกลับเมื่อครั้งไคลน์ได้อ่านหนังสือพิมพ์ทิงเก็นฉบับเช้า รวมถึงหนึ่งสือพิมพ์ทิงเก็นซื่อตรง ทั้งสองฉบับกล่าวตรงกันว่า ทนายความฝีมือเยี่ยมจะมีรายได้ราว 800 ปอนด์ถึง 1,000 ปอนด์ต่อปี
แต่นั่นหมายถึงทนายฝีมือเก่งฉกาจที่มีอยู่เพียงน้อยนิด!
สำหรับหัวหน้างานของเบ็นสัน รายได้ของมันตกที่ราวหกปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นงานที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว
“ค่าตอบแทนจำนวนไม่น้อย แถมพวกเรายังได้รับการละเว้นภาษี เยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”
ลุงนีลล์กล่าวอย่างมีความสุข
ไคลน์เคยได้ยินจากเบ็นสันว่า ชาวเมืองทุกคนต้องชำระภาษีประเภท E หากมีรายได้สูงกว่าสัปดาห์ละหนึ่งปอนด์
ถ้ามีรายได้ตั้งแต่หนึ่งปอนด์ถึงสองปอนด์ อัตราภาษีจะอยู่ที่ 3% สองปอนด์ถึงห้าปอนด์จะอยู่ที่ 5% ห้าปอนด์ถึงสิบปอนด์จะอยู่ที่ 15% และยี่สิบปอนด์ขึ้นไปจะอยู่ที่ 20%
นอกจากนั้น ไคลน์ยังเคยอ่านข้อมูลการจ่ายภาษีประเภทอื่นจากหนังสือพิมพ์ ภาษีประเภท A จะเกี่ยวข้องกับที่ดิน ที่พักอาศัย รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิดและค่าเช่า ส่วนประเภท B คือภาษีที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร ประเภท C คือภาษีจากผลกำไรพันธบัตรและกองทุนหุ้น ประเภท D คือรายได้เชิงพาณิชย์ทั้งหมด รวมถึงค่าจ้างจากการทำงาน
“เข้าขั้นน่าอิจฉาเลยครับ”
ไคลน์อมยิ้ม
“แต่ว่า…”
ลุงนีลล์เกาศีรษะ
“เงินจำนวนเท่านี้กลับไม่เพียงพอสำหรับผู้วิเศษอย่างพวกเรา โดยเฉพาะผู้วิเศษสายพิธีกรรมที่ต้องสิ้นเปลืองวัตถุประกอบพิธีทุกครั้ง ไม่ว่าจะใช้งานจริงหรือฝึกซ้อม”
“ทำรายงานขอเบิกไม่ได้หรือครับ?”
ไคลน์ขมวดคิ้วงุนงง แม้แต่นักเบิกตัวฉกาจอย่างลุงนีลล์ยังจนปัญญาเชียว?
ลุงนีลล์พ่นลมหายใจเหยียดหยัน
“มันก็เบิกได้บ้าง แต่มีข้อจำกัดอยู่ พวกเราไม่สามารถเบิกได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการฝึกซ้อมที่ฟังดูฟุ่มเฟือยเกินไป จำนวนวัสดุที่เบิกได้มักไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้เงินตัวเองจับจ่ายไปกับตลาดมืดใต้ดิน”
ไคลน์ตกตะลึง มันรีบเอ่ยปากถาม
“มีวัสดุพิเศษวางขายในตลาดมืดด้วยหรือครับ? ผมนึกว่าทางโบสถ์ไม่อนุญาตเสียอีก”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไคลน์อยากทราบวิธีครอบครองวัสดุพิเศษมาตลอด!
ในฐานะเจ้าขององค์กรเร้นลับที่เพิ่งตั้งไข่ได้ไม่นาน จะให้มันเบิกหรือหยิบยืมจากเหยี่ยวราตรีตลอดเวลาก็คงไม่เหมาะ
“ไม่มีทาง แต่ละโบถส์ใหญ่มิอาจควบคุมวัตถุดิบพิเศษเหล่านี้ได้หมด ในทางศาสตร์เร้นลับ มีวัตถุดิบจากธรรมดาหลายชนิดที่ปนเปื้อนพลังวิเศษไว้ในปริมาณเจือจาง แถมบางสิ่งยังมาจากสิ่งมีชีวิตหรือพืชพรรณทั่วไปในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่นพิษใบเฮมล็อค ใบมินท์ทอง และวาลนิลาราตรีซึ่งเป็นส่วนผสมของโอสถนักทำนายที่เจ้าดื่ม
“พวกมันจะไร้พลังพิเศษเมื่ออยู่ในธรรมชาติ แต่หลังจากนำไปผ่านกรรมวิธีต่างๆ อย่างถูกต้อง พลังพิเศษจะถูกรีดเร้นออกมาอย่างน่าประหลาด
“ไม่ว่าจะเป็นการผสม การปั่น การสกัด หรือการหมัก สิ่งเหล่านี้สามารถดึงความพิเศษของวัตถุดิบตามธรรมชาติได้ ทางโบสถ์จึงหมดสิทธิ์ออกมาตรการควบคุมโดยสิ้นเชิง”
ลุงนีลล์อธิบายลงลึกรายละเอียด
โดยไม่รอให้ไคลน์ไต่ถาม มันอธิบายต่อ
“นอกจากนี้ ไม่เพียงแก่นของสัตว์วิเศษเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ แต่ยังรวมถึงอวัยวะภายในที่เหลือด้วย ตัวอย่างเช่นหมึกลาวา นอกเหนือจากโลหิตที่เจ้าดื่มเข้าไป ยังมีลูกตา แผ่นหนัง หรือกระทั่งหนวดที่ยังมีพลังวิเศษในปริมาณเจือจาง อาจไม่สำคัญเท่าเลือด แต่ก็มีประโยชน์ใช้สอยแตกต่างออกไป
“ยิ่งเป็นวัตถุดิบเกรดต่ำ ปริมาณก็ยิ่งมีมาก ทางโบสถ์คงถึงคราวล้มละลายแน่ หากมัวแต่ทุ่มกำลังคนและเวลาคอยกีดกันการซื้อขายวัตถุดิบพิเศษ สิ่งที่พวกมันทำได้ดีที่สุดคือการป้องกันมิให้วัตถุดิบสำคัญรั่วไหลภายในท้องตลาด”
เมื่อกล่าวจบ ลุงนีลล์อมยิ้ม
“แต่ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่โบสถ์ไม่ยอมกวาดล้างตลาดมืิด ในสายตาเจ็ดโบสถ์หลัก การมีตลาดเหล่านี้ไว้ย่อมดีกว่าไม่มี ภายใต้สถานการณ์ที่องค์กรลับยังถูกจำกัดไม่หมดสิ้น ตลาดมืดคือแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยรวบรวมเบาะแสองค์กรนอกรีตเหล่านั้น นับเป็นแผนการที่ไม่เลว
“แต่แน่นอน เมื่อมีตลาดมืด ก็ย่อมมีการค้าขายผิดกฎหมายจำพวกวัตถุดิบเฝ้าระวังต้องห้าม สิ่งนี้เป็นของคู่กันที่มิอาจหลีกเลี่ยง หากไม่ใช่วัตถุดิบที่อันตรายจนเกินไป ในบางครั้ง พวกเราก็ต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินผ่านไปเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“และเป็นเพราะแต่ละโบสถ์คอยจับตามองซึ่งกันและกันตลอดเวลา ทุกโบสถ์จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวกวาดล้างอย่างผลีผลามสินะครับ”
ไคลน์คาดเดา
ลุงนีลล์พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเห็นด้วย แต่มันมิได้อธิบายเสริม
“ผมเป็นนักทำนาย ในอนาคตคงต้องฝึกฝนศาสตร์พิธีกรรมบ่อยครั้ง คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องซื้อวัตถุดิบด้วยเงินส่วนตัว คุณช่วยพาผมไปดูตลาดมืดที่ว่านั่นสักครั้งได้ไหมครับ?”
ไคลน์ขอร้องสมเหตุสมผล
ลุงนีลล์เริ่มแสดงท่าทีลังเล
“อันที่จริง กลุ่มลูกค้าหลักของตลาดมืดไม่ใช่พวกผู้วิเศษสักเท่าไร ส่วนมากเป็นขุนนางระดับสูงหรือไม่ก็พวกเศรษฐีที่หลงไหลศาสตร์เร้นลับ…
“ฉันมีหนี้สามสิบปอนด์ที่ต้องรีบจ่ายคืนโดยเร็ว คงยังแวะไปที่ตลาดมืดไม่ได้จนกว่าจะชำระหนี้เรียบร้อย”
“เข้าใจแล้วครับ…”
ไคลน์คาดไม่ถึงว่า ผู้วิเศษรายได้สูงอย่างลุงนีลล์จะมีหนี้สินติดตัว
ถัดมาครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกล่าวหลังจากไตร่ตรองสักพัก
“มิสเตอร์นีลล์ ผมให้ยืมเงินก่อนไหม? เพิ่งได้รับส่วนแบ่งมาสิบปอนด์พอดี”
“ฮะฮะ! ของแบบนั้นไม่จำเป็น ฉันจัดการปัญหาของตัวเองได้”
ลุงนีลล์พยุงตัวขึ้นจากโซฟาอย่างไม่รีบร้อน
“เฮ่อ… สังขารคือปัจจัยเดียวที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถเอาชนะ ร่างกายฉันเริ่มอ่อนเพลียหลังจากเข้าเวรตลอดทั้งคืน… เจ้าอย่าลืมทบทวนบทเรียนที่สอนไปด้วย อ่านเอกสารโบราณที่เตรียมไว้ให้ แล้วพรุ่งนี้จะมาสอนพื้นฐานของศาสตร์พิธีกรรม”
“ครับผม”
ชายหนุ่มลุกยืนพร้อมกับถอดหมวกคำนับ
…
เมื่อหัวหน้าอย่างดันน์·สมิทไม่กลับสำนักงานในช่วงเที่ยง ไคลน์ที่ว่างงานจึงทำทีเดินเตร็ดเตร่ค้นหาสมุดบันทึกอันทีโกนัสไปเรื่อยเปื่อย
ในฐานะที่ได้รับเงินสดจำนวนสิบปอนด์ ชายหนุ่มไม่รีรอสิ่งใดอีก ไคลน์รีบมุ่งหน้าไปยังสโมสรพยากรณ์ทันที
เงินค่าสมากชิกปีแรกอยู่ในมือของมันแล้ว!
เสียงกระซิบที่ได้ยินขณะเข้าฌานและเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณยังคงดังขึ้นเป็นครั้งคราว สร้างความหงุดหงิดกังวลไม่น้อย และนั่นยิ่งทำให้ไคลน์ต้องการรีบทดสอบเทคนิค‘สวมบทบาท’โดยเร็ว
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/