DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 49
ตอนที่ 49
เย่ซวงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีผู้หญิงมาชอบตัวเอง
ในเมื่อเธอเองก็เป็นผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งเหมือนกัน ในใจก็ยังมองตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด คบกับคนต่างเพศมาตลอดยี่สิบกว่าปี อยู่ดีๆ ก็จะให้ชอบเพศเดียวกันเนี่ยนะ?!
แต่ว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความอึดอัดใจของฟางม่อแล้ว เย่ซวงเองก็จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาที่ยากจะแก้ไขนี้อย่างตั้งใจ “แบบนี้นะ...เอ่อ ที่จริงผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เย่ซวงมีความรู้สึกแปลกๆ บวกกับความไม่สบายใจ กลัวว่าเขาจะเข้าใจว่าตนเองนั้นเล่นกับความรู้สึกของหญิงสาวจึงรีบอธิบายออกมาว่า “ผมกับน้องสาวพี่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกก็ตอนที่ส้นรองเท้าของเธอหักแล้วกำลังจะล้ม ผมเองก็ยืนอยู่ข้างๆ จะไม่ให้เข้าไปช่วยประคองได้ยังไง? หลังจากนั้นก็ตอนถ่ายโฆษณา...นี่ผมพูดจากก้นบึ้งหัวใจเลยนะ ทีมงานถ่ายทำทุกคนเป็นพยานได้ นอกเหนือจากงาน ผมกับน้องสาวพี่ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย สุดท้ายก็มาทานข้าวด้วยกันที่นี่ ครั้งนี้ผมก็มาขอร้องให้พี่ช่วย อีกอย่างเห็นแก่หน้าพี่ ผมจะไม่ทักทายก็ไม่ได้ ดังนั้นที่ผมคีบล็อบสเตอร์ให้...บ้าเอ๊ย! ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเธอจะเข้าใจผิดล่ะก็ แม่จะแกล้งเป็นผู้ชายเย็นชาไปแล้ว!”
เย่ซวงพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเจอกับฟางเฟยในร่างผู้ชาย จะให้อธิบายก็ง่าย แต่ที่ยากคือตัวเองดันไม่รู้ว่าไปล้ำเส้นตอนไหนเนี่ยสิ สุดท้ายก็เผลอพูดความในใจออกไปจนได้ ยังดีที่ฟางม่อคิดว่าเธอกระวนกระวายจนพูดผิด จึงไม่ได้สนใจประโยคสุดท้ายที่พูดออกไป
ที่จริงไม่ใช่แค่เย่ซวงที่กลัดกลุ้ม ฟางม่อเองก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน
ที่เขาพูดก็ไม่ผิดหรอก น้องสาวตัวเองส้นรองเท้าหักจนเกือบจะล้ม หรือตัวเองจะบอกว่าที่เขาไปช่วยมันเป็นเรื่องผิดเหรอ?
เวลากินข้าวแล้วคีบอาหารให้กับคู่สนทนานั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่บ้านของเสี่ยวเย่ก็ตาม แต่ในเมื่อเขาเสนอให้มาที่นี่ จะให้พูดจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพ ปกติแล้วเจ้าภาพก็จะชวนแขกมาดื่มเหล้าแล้วก็คีบอาหารให้ก็เป็นเรื่องมารยาทที่พบเห็นได้บ่อยๆ ...จะโทษก็คงต้องโทษที่หน้าตาของอีกฝ่ายนี่แหละ แค่โผล่ออกมาก็ทำเอาแทบสลบ เรื่องแบบนี้ตัวเองจะไปทำอะไรได้เล่า?!
มาคิดๆ ดูแล้วฟางม่อก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้าง เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรกับเย่ซวงได้ พูดจริงๆ แล้วก็เป็นที่น้องสาวตัวเองที่ไปชอบเขา โดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไง สุดท้ายก็ได้แค่จำใจปัดๆ มือแล้วก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะ ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับนายหรอก เป็นที่ตัวเฟยเฟยเองที่ไม่เข้าใจ...พี่ก็แค่บอกกับนายเท่านั้น ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยไปเจอโลกภายนอก ไม่ค่อยมีภูมิต้านทานเท่าไรหรอก ในเมื่อตอนนี้นายรู้แล้ว ครั้งหน้าก็ระวังอย่าทำให้เธอเข้าใจผิดก็แล้วกัน”
ในเวลาต่อมา เรื่องที่เหลือของเย่ซวงก็คือ อย่าทำตัวเซ่อโดยการไปคีบอาหารหรือเทน้ำผลไม้ให้คุณหนูฟางอีก เธอจึงทำท่าทางให้เหมือนกับที่คุยกับฟางม่อเอาไว้ โดยการมองไปข้างหน้าอยู่ตลอดแม้แต่หางตาก็ไม่ละไปมองที่นั่งข้างๆ ฟางม่อแม้แต่น้อย...ถ้าเกิดว่าไม่ระวังแล้วไปสบตากับคุณหนูฟางเข้า แล้วอีกฝ่ายคิดว่าตัวเองเล่นหูเล่นตาจะทำยังไงล่ะ!
แล้วการทานอาหารด้วยความระมัดระวังก็จบลงอย่างยากลำบาก เย่ซวงรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าการถ่ายโฆษณาทั้งวันเสียอีก ที่สำคัญคือความกดดันเนี่ยแหละ เจ้าชู้ไม่เลือกหน้านี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าชู้กับเพศเดียวกันเลย แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาแบบนี้มันก็ยากที่จะเลี่ยงล่ะนะ
“กลับไปพี่จะเอาเรื่องที่พูดกันวันนี้ไปคุยกับเพื่อนดู แต่ก่อนอื่นเขาจะดูเอกสารแล้วค่อยตัดสินใจว่าควรจะให้ผ่านเข้ารอบต่อไปหรือไม่” ก่อนที่จะบอกลา ฟางม่อไม่กล้าพูดกับเย่ซวงเลยแม้แต่คำเดียว ขณะที่ทานอาหารมื้อนี้ ฟางเฟยก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยที่ก่อนหน้านี้กับตอนนี้มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาเองก็กลัวว่าน้องสาวตัวเองจะไม่เข้าใจ
ในเมื่อพูดถึงปัญหานี้กับเย่ซวงไปแล้ว ฟางม่อเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่น้องสาวจะเข้าใจผิดอีก จึงถือโอกาสตัดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ “นายอยากจะทำงานด้านไหนก็ลองกลับไปคิดดูว่าจะสอบอันไหนเพื่อเอาใบรับรองไหนมาใช้ แต่ส่วนตัวฉันแนะนำให้สอบเอาใบขับขี่หรือใบผลทดสอบความสามารถทางภาษานะ นี่มันไม่ใช่ทักษะเฉพาะด้าน แต่เป็นทักษะพื้นฐาน”
ตัวอย่างเช่นเวลาทำงานกับลูกค้า แล้วจำเป็นต้องขับรถออกไปข้างนอก นายคงไม่ให้เจ้านายไปนั่งฝั่งคนขับ แล้วตัวเองก็นั่งสบายอยู่ข้างๆ หรอกจริงไหม?!
แล้วอีกอย่างถ้าเกิดลูกค้าจำเป็นต้องออกนอกประเทศแล้วต้องการให้นายติดไปด้วย คงไม่ใช่ทุกครั้งที่มีล่ามตามไปด้วยจริงไหม?!
ความเห็นของฟางม่อนั้นตรงประเด็นมาก ในความเป็นจริงไม่เพียงแค่เย่ซวงเท่านั้น แม้แต่พนักงานบริษัทส่วนใหญ่เองก็ต้องมีทักษะพื้นฐานทั้งสองด้านนี้ บริษัทเล็กๆ อาจจะไม่ได้ใช้เยอะขนาดนี้ แต่พวกการประกอบกิจการที่มีขอบข่ายแน่นอน ซึ่งพนักงานที่เลื่อนตำแหน่งส่วนใหญ่ก็มักจะมีทักษะทั้งสองอย่างนี้
เย่ซวงก็คิดว่าไม่ได้ยากอะไร ใบขับขี่ก็ใช้แค่ความจำกับการควบคุม ส่วนภาษาก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีก แค่ผ่านตาก็จำได้หมดแล้ว แค่ภาษาสองภาษาน่ะหมูๆ
“กลับไปผมจะไปสอบขับรถกับภาษาให้ผ่านก่อนแล้วกันนะครับ” เย่ซวงพยักหน้าแล้วโบกมือลาฟางม่อ “วันนี้รบกวนพี่ฟางแล้ว ถ้ามีข่าวอะไรรบกวนพี่แจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ ยังไงพี่ก็มีเบอร์ผมอยู่แล้ว ถึงผมไม่อยู่แฟนผมก็อยู่ ฝากเรื่องไว้กับเธอก็ได้ครับ”
พอพูดมาถึงตรงนี้เย่ซวงเพิ่งนึกถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่งออก ถ้าตัวเองจะสอบใบรับรองล่ะก็ ก็ต้องสอบทั้งสองชุด... ร่างผู้ชายหนึ่งชุด ร่างผู้หญิงหนึ่งชุด...มันคงไม่ยากไปกว่านี้แล้วล่ะ!
จบประโยคนั้นฟางม่อก็หันไปมองน้องสาวที่อยู่ข้างๆ เห็นฟางเฟยกำลังก้มหน้าเล่นมือถือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คำพูดของเย่ซวง เธอต้องได้ยินแน่นอน
ได้ยินประโยคเมื่อกี้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องเผลอไปคิดไม่ซื่อ...ฟางม่อหันกลับมาอย่างสงบเยือกเย็น แล้วก็ก้มหัวให้เย่ซวงเล็กน้อย คิดดูแล้วก็ถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยขึ้นมา “นายกับแฟนนายใช้มือถือคนละเครื่องไม่ได้เหรอ?!” ใช้เบอร์เดียวกันมันยากจะแยกว่าใครเป็นใคร
“ไม่ดีกว่าครับ เครื่องเดียวก็พอแล้ว” เย่ซวงยิ้มให้อย่างไม่ได้สนใจ
ต่อจากนี้เธอจะใช้เบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ติดต่อทางธุรกิจ จะเปลี่ยนเบอร์ให้มันเยอะแยะทำไม?! อีกอย่างเวลาที่ตัวตนหนึ่งหายไป ต่อให้มีเบอร์เดียวก็ติดต่อไม่ได้หรอก
อีกทั้งคนที่ไม่ได้สนิทก็ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากมาย ส่วนคนที่สนิทด้วยแล้ว...ถ้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเย่ซวงทั้งสองร่างแล้ว เธอก็ไม่คิดจะขอให้ปกปิดความลับของตัวเองไว้หรอก
เก็บความลับไว้ช่วงเวลาหนึ่งน่ะมันง่าย แต่เก็บให้ได้ตลอดน่ะยาก ถ้ามีเพื่อนที่สนิทกันมากจริงๆ วันหลังไม่ว่า ‘เย่ซวง’ คนไหนจะหายไป อีกฝ่ายก็คงจะสงสัยอยู่ดี ยังไงก็ต้องรู้เข้าสักวัน