DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 48
ตอนที่ 48
ฟางม่อที่ดำรงตำแหน่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงในต่างประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในระดับผู้บริหาร จึงพอมีช่องทางอยู่บ้าง
แต่ว่าความสามารถของเขาตอนนี้ก็แค่ช่วยหาช่องทางเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือ ฟางม่อสามารถช่วยชี้ทางสว่างให้กับเย่ซวงได้ และก็ยังเป็นตัวกลางช่วยแนะนำให้รู้จักได้เหมือนกัน แต่ด้วยตำแหน่งฐานะทางสังคมของเขายังไม่มีอิทธิพลมากพอต่อการตัดสินใจของคนอื่น ดังนั้นถ้าหากเย่ซวงอยากจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อระดับสูงของเฮดฮันเตอร์ล่ะก็ คงต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนนี้ฟางม่อได้พูดถึงไอวี่ลีก ซึ่งนี่ไม่ใช่ชื่อของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงเท่านั้นหรอก แต่เป็นชื่อขององค์กรสถานศึกษาทีมีชื่อเสียงในอเมริกาซึ่งเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยชั้นนำแนวหน้านั่นเอง
พันธมิตรไอวี่ลีกที่เก่าแก่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำแปดแห่ง รวมถึงฮาร์วาร์ดด้วย ตั้งแต่แรกเริ่มก็ปรากฏผู้ได้รับทุน Rhodes จำนวนมาก ส่วนไอวี่ลีกใหม่นั้นนอกจากจะหมายถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำแปดแห่งของอเมริกาแล้ว ไม่เพียงแค่เงื่อนไขของวิทยาลัยและความสำเร็จของนักเรียนอยู่อันดับต้นๆ เท่านั้น แม้แต่ในด้านรางวัลโนเบลและคุณภาพของศิษย์เก่าก็ยังชนะไปอีกยกหนึ่ง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง หรือนักธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงในอเมริกาต่างก็จบมาจากไอวี่ลีกทั้งนั้น...พอฟังถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนคงพอคาดเดาได้แล้วว่าพวกนี้มีตำแหน่งและเส้นสายขนาดไหน
คิดดูแล้วก็จะรู้ว่า ในมือของเพื่อนฟางม่อที่จบมาจากไอวี่ลีกคนนั้นจะต้องไม่ขาดทรัพยากรบุคคลเป็นแน่ อย่างน้อยในสายตาของฟางม่อ การจะทำให้เพื่อนคนนี้พอใจได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าคุณไม่ใช่ระดับท็อป เขาคงรู้สึกไม่ดีที่จะพาคุณเข้ามาในกลุ่ม...จะพาเข้ามาได้ยังไง
?! เมื่อถึงตอนพูดแนะนำตัวและทำความรู้จักกัน คนอื่นเป็นถึงผู้บริหาร นักวิจัย นักการเมือง แต่คุณเป็นแค่คนขายอาหาร ขายขนมปัง หรือขายเสื้อผ้าตามแผงลอยสามตัวสิบหยวน มันก็คงจะดูไม่ดี...
แน่นอนว่าถึงแม้ขั้นตอนการทำตัวให้เป็นที่ยอมรับจะลำบากอยู่บ้าง แต่ขอเพียงเข้าไปอยู่ในรายชื่อคนที่ได้รับการอนุมัติได้ ข้อดีนั้นก็ยังมีอีกเยอะ
เฮดฮันเตอร์ก็คล้ายกับเครือข่ายขนาดใหญ่ในแวดวงสังคมชั้นสูง หลังจากที่สามารถเข้าแวดวงนี้ได้แล้ว ก็เท่ากับว่าคุณจะได้รับงานมากมาย ขอแค่ความสามารถของคุณมากพอ เมื่อเวลาที่พวกลูกค้าต้องการคนที่มีคุณภาพสูง คุณก็จะได้รับการแนะนำ
ดังนั้นแม้ว่านี่จะไม่ได้เป็นบริษัทที่รับทำงานสารพัดอย่าง แต่กลับเป็นกิจการที่สอดคล้องกับความต้องการของเย่ซวง...เพียงแค่เธอได้มันมา
“...หนังสือรับรอง” เย่ซวงเกิดความลังเล และลำบากใจเล็กน้อย “เรื่องจะสอบอันไหนก่อนดี ผมขอกลับไปคิดดูก่อนนะครับ”
ฟางม่อพยักหน้ารับ เขาคิดว่ายังไงเย่ซวงก็ต้องได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน เพราะความสามารถสูง บวกกับหน้าตาของเย่ซวง แค่นี้ก็ได้คะแนนเพิ่มแล้ว สรุปแล้วในสายตาของฟางม่อ เย่ซวงเกือบจะเทียบเท่าได้กับฤๅษีระดับสูงอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ “จำไว้ว่าอย่าสอบของในประเทศ จะสอบก็สอบหนังสือรับรองอันที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลจะดีกว่า ระดับยิ่งยากก็ยิ่งดี ดีที่สุดคือเข้าสอบอันที่คนสอบหลายพันคนแต่ผ่านเพียงหนึ่งหรือสองคนอะไรแบบนั้น”
“...พี่นี่ประเมินผมไว้สูงจริงๆ” เย่ซวงแทบจะหมดคำพูด แม้ว่าเธอจะมีความมั่นใจในพลังการจำตอนนี้ของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่ากับฟางม่อเลย
นี่ควรจะพูดยังไงดี? คนนอกมองเห็นทักษะของตัวเองได้ชัดกว่า?! หรือว่าคนนอกมองได้แค่ผิวเผิน?!
ฟางเฟยที่นั่งฟังอยู่ตั้งนานก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่ยังไง เพียงแค่มองไปยังหน้าของพี่ชาย และอยากจะสร้างคะแนนความประทับใจต่อหน้าเย่ซวง ถึงได้ทนไม่พูดแทรกออกมา แต่ดูเหมือนตอนนี้พวกเขาจะพูดกันมาพอสมควรแล้ว ในที่สุดตัวเองก็ทนไม่ไหวพูดขึ้นมาว่า “พี่แนะนำให้มันรอบคอบหน่อยได้ไหม อยู่ๆ ก็จะให้ไปสอบอะไรต่างประเทศ มันจะไม่ยิ่งยุ่งยากเหรอ?”
เธอยังจำได้ว่าคำขอของเย่ซวงคือต้องการทำงานแต่ก็ต้องการอิสระ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือถ้าหากเย่ซวงได้ออกไปต่างประเทศปีหนึ่งแล้ว ตัวเองก็จะหาผู้ชายหล่อๆ มาเป็นอาหารสายตาไม่ได้กันพอดีน่ะสิ
ฟางม่อหันไปมองฟางเฟยครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเย่ซวงพร้อมกับยิ้มออกมา พลางพูดว่า “เส้นทางภายในของเฮดฮันเตอร์นั้นป่าเถื่อนมากนะ ที่ออกมาให้เห็นทั่วไปนั้นเป็นพวกระดับสูงก็จริง แต่ว่าในความเป็นจริงมีตำแหน่งหน้าที่อีกมากมายที่ไม่สามารถเอามาพูดเปิดเผยได้ แต่ก็ไม่ใช่งานไม่ดีหรืองานน่ากลัวอะไร แต่คำขอของลูกค้าจะค่อนข้างหลากหลายหน่อย...อืม พี่จะไม่พูดรายละเอียดมากนัก อันที่จริงพี่ก็ไม่ได้เข้าใจมากนักหรอกนะ รอให้คนคนนั้นมาดูนายก่อนแล้วกัน จากนั้นก็มาดูกันว่ามีโอกาสจะได้เข้าแวดวงนั้นไหม...เฟยเฟย เธอช่วยไปเอากุ้งล็อบสเตอร์มาให้พี่อีกสองสามตัวสิ อันนี้ย่างออกมาแล้วรสชาติใช้ได้เลย”
ฟางม่อตั้งใจพูดให้ฟางเฟยเดินออกไป แต่เย่ซวงไม่ได้คิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดเลย เธอกำลังคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวว่า หลังจากกลับบ้านจะต้องไปดูหนังสือรับรองที่ใช้ประโยชน์ได้ในอินเทอร์เน็ต แล้วก็ย่างเนื้อปลาที่อยู่บนตะแกรงไปอย่างกลัดกลุ้ม
ผ่านไปได้สักพักบรรยากาศก็เงียบลง เย่ซวงถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงเงยหน้าขึ้นมามองฟางม่ออย่างสงสัย แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่ตัวอย่างเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่...
“...” เมื่อฟางม่อมองเห็นสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของเย่ซวงก็ถอนหายใจออกมา แล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่น่าสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ จึงพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสี่ยวเย่ นายคิดว่าเฟยเฟยน้องของพี่เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ไม่ได้แย่ครับ ฐานะก็ร่ำรวย* หน้าตาก็ดี” เย่ซวงตอบกลับไป
ความสามารถ*ก็ดี หน้าตาก็ดี?! ความสามารถอะไร?!
ตัวฟางม่อเองก็เกิดอาการงวยงงขึ้น คิดไม่ถึงว่าจริงๆ แล้วนี่จะเป็นคำพ้องเสียงแต่คนละความหมาย แต่ถึงยังไงอีกฝ่ายก็กำลังชมน้องสาวของตัวเองอยู่ จะทำให้น้องตัวเองขายหน้าไม่ได้ จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วตอบกลับไปว่า “เฟยเฟยก็ไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหละ...จริงๆ แล้วนายเองก็ไม่เลวเหมือนกันนะ แต่นายดันมีแฟนแล้วนี่สิ”
“???”
“เอ่อ...พี่หมายถึง ดูแล้วเหมือนนายจะไม่ได้คิดอะไรกับน้องสาวของพี่ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปให้ความหวังน้องพี่เลย ไม่อย่างนั้นถึงตอนนั้นแล้วพวกเราจะอึดอัดเอาได้...นายเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม?!” ฟางม่อยิ่งพูดก็ยิ่งสับสน อ้อมไปอ้อมมาจนสุดท้ายเรื่องมันก็ยิ่งสับสนเข้าไปอีก นี่เป็นเรื่องเศร้าที่สุดของบุคคลยอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี ดังนั้นจึงต้องพูดอ้อมค้อมเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
เย่ซวงจ้องมองไปยังฟางม่อประมาณครึ่งนาที จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “...พี่หยุดยาแล้วเหรอ?!”
“...”
พูดจาอ้อมค้อมแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ได้การแล้วล่ะ ฟางม่อเกาหัวจนทรงผมเนี๊ยบดูยุ่งเหยิง ก่อนจะพูดเรื่องไม่คาดฝันออกมา “พี่หมายถึง นายไม่รู้สึกเหรอว่าเมื่อกี้นายทำดีกับฟางเฟยเกินไปน่ะ มันทำให้เจ้าตัวเข้าใจผิดเอาได้ง่าย!”
“แล้วมันทำไมเหรอ ทุกคนก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วเธอก็ยังเป็นน้องสาวของพี่ด้วย...เย้ย! พี่อย่าบอกนะว่าเธอแอบชอบผม?!”
เย่ซวงตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้องแล้ว
*ร่ำรวย กับ ความสามารถ ในภาษาจีนเป็นคำพ้องเสียงกัน