DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 45
ตอนที่ 45
เย่ซวงที่ไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูฟางก็กำลังหัวหมุน
ในเมื่อไม่เข้าใจก็ไม่เห็นจะต้องไปคิดเลย ผ่านไปสักพัก เมื่อเย่ซวงกลับถึงบ้านก็ได้ลืมคำพูดสุดท้ายของคุณหนูฟางไปจนหมดสิ้น
ไม่กี่วันต่อมาก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ไม่นานก็ถึงเช้าวันพฤหัส หลังจากที่ตื่นขึ้นมา หนุ่มรูปงามอย่างเฮียเย่ก็มาปรากฏตัวอีกครั้ง...
“ลูกชายของฉันยิ่งดูก็ยิ่งหล่อนะเนี่ย ได้แม่มาเยอะแน่นอน!” คุณนายเย่เตรียมอาหารมื้อใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็ชื่นชมภาพหนุ่มหล่อตรงหน้าที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่
เย่ซวงหยิบขนมปังก้อน แล้วก็จำใจเงยหน้าขึ้นมา “....แม่ ถ้าแม่เป็นแบบนี้อีก หนูจะคิดว่าเมื่อก่อนหนูถูกเก็บมาเลี้ยงนะ” อีกอย่างตอนนี้ตัวเองจะหน้าตาดีหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับแม่สักหน่อย หลักๆ ต้องยกความดีความชอบให้กับยีนของมนุษย์ต่างดาวต่างหาก...
เมื่อ ‘พี่ชายคนโต’ ปรากฏตัวออกมา วันนั้นเย่เฟิงก็จะหายตัวไปทันที ถ้าเป็นช่วงปิดเทอมก็จะชอบออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนตั้งแต่เช้า แต่ถ้าเปิดเทอมก็จะอยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัยไม่ยอมกลับบ้าน...ยังไงก็จะไม่ยอมกลับบ้านเด็ดขาด กลับไปก็เจ็บใจเปล่าๆ
เดิมทีครอบครัวเย่มีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่งก็ดีอยู่แล้ว ถึงแม้จะได้รับการดูแลที่ต่างกันก็ยังคิดได้ว่าเป็นเพราะเพศที่ต่างกัน
แต่ตอนนี้ล่ะ?! ลูกชายสองคน คนหนึ่งรูปหล่องดงามร่างสูงแถมสติปัญญาล้ำเลิศแล้วยังใช้ศิลปะการต่อสู้ได้ดีอีก ส่วนอีกคนหนึ่งไม่สูงไม่หล่อคะแนนก็ธรรมดา แถมยกข้าวสารยี่สิบกิโลก็หอบแฮกๆ แล้ว...ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะลำเอียง ใช่แล้วล่ะ เย่เฟิงเข้าใจเหตุผลที่ ‘พี่ชายคนโต’ ได้รับความนิยมชมชอบเป็นอย่างดี แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ในฐานะคนที่ถูกเปรียบเทียบก็ต้องรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง...
ตอนนี้ทั้งเย่ซวงและเย่เฟิงต่างก็รู้สึกเหมือนเมื่อก่อนตัวเองถูกเก็บมาเลี้ยงยังไงอย่างนั้น ในบ้านมีเพียงพ่อเท่านั้นที่ยังคงเผชิญหน้ากับแม่ได้ แต่ยังไงตอนนี้ทั้งคู่ก็แก่แล้ว เขาจึงไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยกับปัญหาการรักลูกไม่เท่ากันของภรรยาตนเอง
“วันนี้เสี่ยวซวงตื่นเช้าจังลูก ตอนบ่ายจะไปถ่ายโฆษณาเหรอ?!” คุณเย่ดูข่าวเช้าจบตามปกติก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ แล้วจากนั้นก็จับตะเกียบเตรียมตัวที่จะทานอาหารเช้า
“ใช่แล้วครับ” เย่ซวงยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มแล้วพูดต่อว่า “ถ่ายเสร็จเร็วก็จะได้เอาเงินมาพักผ่อนสักที พอกลับมาก็จะนอนอีกเยอะๆ เลย”
ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอ แต่ว่าวันนี้มีงาน ดังนั้นจึงต้องใช้น้ำเย็นล้างหน้าให้สดชื่นเพื่อไปทำงานต่อ
ยังดีที่เมื่อวานนึกได้ว่าตอนดึกจะต้องถูกยัดข้อมูลลงในหัวอีก ก่อนถึงเที่ยงคืนเธอจึงได้โอกาสงีบหลับไปสองสามชั่วโมง ดังนั้นวันนี้จึงออกจากบ้านไปพร้อมกับใต้ตาดำคล้ำ คนอื่นอาจจะคิดว่าเมื่อคืน ‘เขา’ ออกไปทำกิจกรรมยามค่ำคืนมาก็เป็นได้
“อื้ม งานสำคัญสินะ” คุณเย่พยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากรับถ้วยโจ๊กที่คุณนายเย่ส่งมาให้ก็กำชับต่อว่า “ทำงานเสร็จแล้วก็อย่าลืมขอให้เสี่ยวฟางชี้แนะเรื่องงานให้ล่ะ รีบตัดสินใจเสีย จะได้เตรียมตัวทัน”
นี่เป็นเรื่องก่อนหน้านี้ที่ได้คุยกันไว้แล้ว เย่ซวงจึงไม่ลืมอย่างแน่นอน เธอกินข้าวไปคุยกับคุณเย่ไป หลังจากที่ใช้เวลาทานอาหารเช้าพูดถึงสิ่งที่ต้องระวังแล้ว ไม่นานก็กินเสร็จ จากนั้นจึงเก็บของ แล้วออกจากบ้านไป
วันนี้ฟางม่อไม่ได้ไปที่คอนโดซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำ ยังไงเขาก็เป็นผู้จัดการ ถึงแม้จะไม่ได้ยุ่งทุกวัน แต่ก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก ในตอนแรกที่มาด้วยเพราะกลัวเพื่อนยังไม่ชิน แต่ถ้าต่อจากนี้ยังตามมาดูตลอด อย่างนั้นฟางม่อก็น่าจะว่างมากแล้วแหละ
...
“เย่ซวงอีกสักพักให้คิดว่าฟางเฟยเป็นภรรยาของนายนะ จำไว้เวลาอยู่ด้วยกันจะต้องเป็นธรรมชาติหน่อย แสดงให้เหมือนกับว่าได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ห้องนี้แล้ว...” ก่อนที่จะมีการถ่ายทำผู้กำกับก็หาเวลาอธิบายการเข้าฉากให้ทั้งสองคนก่อน หวังว่าไม่นานจะสามารถเข้าถึงบทบาทกันได้
“ผู้กำกับ...” เย่ซวงพูดออกไปราวกับปวดฟัน “เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ?! อันนี้ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆ”
ให้ผู้หญิงจินตนาการว่าตนเองมีภรรยา แล้วยังเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันปานจะกลืนกินแบบนั้นน่ะ...สำหรับเย่ซวงแล้วพล็อตแบบนี้มันออกจะน่าโมโหไปสักหน่อย
แต่ว่าฟางเฟยไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอจึงไม่เข้าใจความอึดอัดและความทุกข์ของเย่ซวง เมื่อได้ยินว่าเขาเมินเฉยตัวเอง จากหน้าที่เรียบเฉยก็แสดงอาการออกมา แล้วมองไปยังเย่ซวงด้วยสายตาเย็นชา “เธอลำบากใจเหรอ?!”
“...ไม่ใช่อย่างนั้น” เย่ซวงก็รู้ว่าการทำแบบนี้ดูจะเป็นการล่วงเกินอีกฝ่ายมากเกินไป หลังจากหัวเราะแห้งๆ แล้วก็รีบดึงผู้กำกับไปอีกด้านแล้วถามเบาๆ ว่า “ผู้กำกับคุณดูนี่สิ ผมคิดว่าเธอเป็นแม่ได้ไหมครับ?! ยังไงก็เป็นคนในครอบครัวเหมือนกัน...”
การวางบทแบบนี้ยังดีกว่าเป็นภรรยาของตัวเองเยอะเลย แม้ในใจตัวเองจะยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้
“...” วางบทว่าเป็นแม่คงง่ายขึ้นเยอะเลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้หน้าของฟางเฟยแล้ว?! น่าจะให้ป้าดูแลข้าวกล่องมาแสดงแทนตั้งแต่แรกก็จบ ประหยัดเงินดีด้วย... ผู้กำกับมองเย่ซวงด้วยความสงสัย “แล้วแต่เธอเถอะ ถ่ายออกมาดีก็พอ”
เย่ซวงที่ดีใจก็เดินไปหาคุณหนูฟาง แล้วพูดว่าแล้ว “คุณฟาง ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอก อีกสักพักเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
ฟางเฟยประหลาดใจอย่างมาก “ให้ฉันเป็นภรรยาได้แล้วเหรอ?! แล้วแฟนของนายล่ะ?”
“แค่ก! พวกเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องทำร้ายจิตใจกันเลย ถ่ายเสร็จแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” เย่ซวงพูดไม่ได้ว่าตัวเองจะมองเธอเป็นแม่ จึงทำได้แค่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างคลุมเครือ
แน่นอนว่าฟางเฟยไม่รู้ว่าคนที่ถูกทำร้ายจิตใจที่พูดถึงนั้นก็คือตัวเอง หลังจากได้ยินคำพูดของเย่ซวง สมองของเธอก็เห็นภาพเย่ซวงผู้หญิงทำหน้าเศร้าสลดไปในทันที “...ก็ได้ ถ้าเธอไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน”
นี่น่ะเหรอผู้ชาย? เมื่อมีโอกาสเล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราวก็ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ ต่อให้ไม่เคยมีประสบการณ์ก็ทำได้โดยสัญชาตญาณ?!
พูดในอีกแง่หนึ่ง ผู้ชายที่โดดเด่นอย่าง ‘เย่ซวง’ หากคิดอยากจะหากิ๊ก จะมีผู้หญิงสักกี่คนกันที่กล้าปฏิเสธ? แฟนของเขาก็ดูเชื่อใจเขามาก บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะมีค่าพอให้เชื่อ แต่ถ้าออกไปหากิ๊กครั้งสองครั้งแล้วยังเชื่อได้ แล้วถ้าเป็นสิบครั้งหรือร้อยครั้งล่ะ?!
ฟางเฟยก็ไม่รู้ว่าตนเองจะผิดหวังหรือว่าแอบดีใจดี เธอยืนอยู่หน้ากล้องด้วยจิตใจที่ฟุ้งซ่าน หลังจากที่รอให้ผู้กำกับให้สัญญาณ ก็เริ่มทำท่าอิงไหล่ใกล้ชิดกันกับเย่ซวงที่ระเบียงตามในบท
นี่คือแม่ นี่คือแม่แท้ๆ ของตัวเอง...เย่ซวงสะกดจิตตัวเองไปพร้อมกับพยายามจินตนาการให้ฟางเฟยเป็นแม่ของตัวเองไป จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนตอนกำลังขอค่าขนม ด้วยสายตายิ้มแย้มมองไปที่อีกฝ่ายอย่างสนใจและปรารถนา...
เมื่อฟางเฟยถูกสายตาเช่นนั้นจับจ้องมาก็รู้สึกตกตะลึง จนไม่รู้ตัวว่าหน้าของตัวเองเป็นสีแดงระเรื่อ แล้วสายตาที่ตื่นตระหนกก็รีบเบือนหนีไป