DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 44
ตอนที่ 44
แน่นอนว่าเธอคงไม่ปล่อยให้เรื่องดีๆ ขนาดนี้หลุดมือไป
ถ้าจะพูดอย่างจริงจังล่ะก็ จริงๆ แล้วเย่ซวงก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าตัวเองทำงานอะไรกันแน่ ร่างชายของเธอก็ถ่ายโฆษณา ส่วนในร่างผู้หญิงก็เป็นที่ปรึกษาเรื่องการดูม้า แล้วยังไปช่วยคนพลอยได้ห้องมาอีก...แค่นี้ก็เป็นหลักประกันให้ตัวเองได้แล้ว
เนื่องจากการเปลี่ยนเพศนั้นจะเปลี่ยนทุกๆ สามวัน ดังนั้นงานที่ต้องออกไปทำข้างนอกจึงไม่อยู่ในตัวเลือก แต่ถ้าจะเดินทางสายงานอิสระ จากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว งานพิเศษของเย่ซวงก็ยังไม่ได้เน้นหนักไปที่งานไหน
“ดูม้าเมื่อไหร่เหรอคะคุณหร่วน? มีอะไรต้องการเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
เย่ซวงวางองุ่นที่อยู่ในมือลง แล้วดื่มน้ำให้ชุ่มคอ ควรใช้ร่างนี้ถามเวลาและรายละเอียดของงานให้แน่ชัดก่อน ถ้าเวลาไม่ลงตัวล่ะก็ ก็คงทำได้แค่ไปแนะนำร่างชายของตัวเองกับหญิงสาวตรงหน้า แล้วรับงานนี้ไปแทน ทั้งนี้ทั้งนั้นเงินค่าตอบแทนมากขนาดนี้ก็ดึงดูดเธออยู่ไม่น้อยเลย
“สุดสัปดาห์นี้ค่ะ” สาวน้อยน่ารักคนนี้ยิ้มจนเผยให้เห็นเขี้ยว ตากลมโตมองมาอย่างดีใจ คิดว่าเย่ซวงจะต้องตอบตกลงแน่ๆ “อันที่จริงเพื่อนที่พวกเรารู้จักหลายคนก็ลงแข่งขันนะ ไม่ใช่การแข่งขันทางการอะไรมากมายหรอก...แต่ก็แค่ไม่อยากจะแพ้ก็เท่านั้น เดี๋ยวพวกนั้นจะได้หน้ามากเกินไป” เมื่อพูดจบแล้วก็เหมือนกับจะคิดเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวไม่พอใจขึ้นมาได้ ทำให้สาวน้อยน่ารักอดไม่ได้ที่จะทำแก้มพอง
บนโซฟาข้างๆ ที่ไม่ห่างจากตรงนี้มากก็มีสาวๆ ที่ไม่ได้ไปเล่นไพ่นกกระจอกกำลังพูดคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีคนพูดกับสาวน้อยเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้ พอได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาว่า “ที่เธอพูดคือพวกคนแวดวงชั้นสูงที่ปักกิ่งใช่ไหม?! แต่ละคนเอาแต่มองข้ามหัวคนอื่น มองแล้วรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย...แต่ว่าอาซวงน่ะจะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ? ได้ยินมาว่าเขากำลังหานักขี่ม้าที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศมาด้วยนะ อีกทั้งม้าที่แข่งขันก็มาจากอังกฤษผ่านทางเครื่องบิน เป็นม้าที่นักขี่ม้าคนนั้นเลี้ยงมาจนโต ต่อให้เธอเลือกม้าที่ดีที่สุดมาให้พวกเราได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะสู้เขาไม่ได้หรอก”
คนในแวดวงชนชั้นสูงก็มีระดับสูงธรรมดา ระดับสูงยิ่งกว่า และระดับสูงยิ่งขึ้นไปอีก...เป็นพวกที่อยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิด จนทุกวันนี้พวกลูกคนรวยก็เป็นพวกที่น่านับถือและคนธรรมดาไม่อาจเทียบได้
ในสายตาของชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งอย่างเย่ซวง ฟางเฟยก็ถือว่าเป็นสาวสวยฐานะดีคนหนึ่งแล้ว แต่ว่าถ้าจะไปอยู่ในกระแสสังคมนั่นล่ะก็ เธอและพวกญาติๆ ที่สนิทของเธอก็อยู่ในระดับกลางถึงต่ำเท่านั้น
โดยเฉพาะปักกิ่งที่มีคนรวยและคนมีอำนาจมากมาย ถ้าไม่ระวังก็ต้องเจอเข้ากับพวกนี้บ้างแหละ พวกลูกคนรวยที่มาจากสถานที่แบบนั้น หากมายังเมืองแบบนี้พวกนี้ก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากอยู่เหมือนกัน
กิจกรรมการแข่งม้าครั้งนี้ ถ้าให้พูดตรงๆ ล่ะก็ เป็นการแข่งขันระหว่างแวดวงคนชั้นสูงในท้องถิ่นกับพวกปักกิ่งนั่นแหละ
แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่างานใหญ่จะไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร ในความเป็นจริงแล้วขอแค่คนจากปักกิ่งมาเท่านั้นแหละก็จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในแวดวงชนชั้นสูงเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เมื่อแพ้ก็จะโดนเยาะเย้ย เมื่อชนะก็จะรู้สึกได้หน้าได้ตา...แต่น่าเสียดายที่ทรัพยากรและการติดต่อสื่อสารต่างชั้นกัน โอกาสที่พวกคนในท้องถิ่นจะชนะนั้นจึงมีไม่มาก
ก็ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันม้าในครั้งนี้ เขาเป็นถึงนักขี่ม้ามือวางสิบอันดับแรกของโลก ม้าที่ใช้ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และมีประสบการณ์ในการแข่งขันมากมาย แล้วพวกในท้องถิ่นล่ะ แค่ได้แชมป์ระดับจังหวัดก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
“ปัญหาอยู่ที่พื้นที่สินะ” หลังจากเย่ซวงฟังเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดก็เข้าใจสถานการณ์ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความหดหู่ “ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ต่างก็เป็นมหานครระดับนานาชาติ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าบริษัทระดับโลกจะมาลงทุนก็คงจะต้องเลือกสองเมืองนี้...ส่วนเมืองซานหลินของพวกเราก็งั้นๆ หากหลังจากนี้อีกวันสองวันสามารถเจริญได้เทียบเท่ากับสองเมืองนี้จริงๆ ถึงเวลานั้นคงต้องพิจารณาเรื่องการพัฒนาทรัพยากร แล้วพาองค์กรไปสู่เวทีที่ใหญ่กว่า เวลานั้นแหละที่คนในท้องถิ่นจะสามารถเทียบเท่าคนในปักกิ่งได้...”
พูดก็พูดเถอะ แต่ว่าจากขอบเขตการพัฒนาทรัพยากรไปสู่ระดับประเทศ และจากระดับประเทศไปสู่ระดับโลกนั้นคงไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องเงินทุนในการทำธุรกิจแล้ว
เด็กสาวน่ารักก็ไม่ได้สนใจ เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงเท่านั้น และที่บ้านยังมีน้องชายที่รอรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวอยู่ จึงไม่ต้องคิดถึงปัญหาเรื่องนี้ “เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ยังไงเสียตอนนี้ก็ให้คนพวกนั้นได้ใจไปไม่ได้เป็นอันขาด...ต้องทำให้เขารู้ว่าพวกเราเป็นคนของที่นี่ ไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่ามาบ้านเขาก็ต้องตามใจเจ้าบ้านเหรอ! มาที่เมืองของพวกเราเพื่อพักร้อน แล้วยังทำตัวเด่นอีก กลัวคนอื่นไม่รู้หรือยังไงว่าเป็นคนรวยหน้าโง่น่ะ!”
เย่ซวงรู้สึกพอใจ เด็กสาวคนนี้ฝีปากใช้ได้เลยทีเดียว อันที่จริงแล้วตัวเองที่เป็นชาวบ้านธรรมดา เมื่อเห็นกลุ่มของสาวๆ พวกนี้แล้วก็คิดว่าเป็นคนรวยหน้าโง่เหมือนกัน แค่ไปดูม้าให้ก็จะให้ตั้งสี่หมื่นหยวน...
หลังจากปรึกษาตกลงกันแล้วว่าวันอาทิตย์จะไปดูม้า ต่อให้เป็นช่วงที่เปลี่ยนเพศ เย่ซวงก็จะตอบรับงานอย่างเร็วอยู่ดี
จากนั้นไม่นานก็กลับไปเล่นต่ออีกสองชั่วโมง หลังจากที่พวกสาวสวยกระเป๋าหนักเตรียมตัวจะทานข้าวกัน เย่ซวงก็ใช้สายตาบอกลาทุกคน
สำหรับเธอแล้วการมาเล่นเป็นเพื่อนก็ถือว่าเป็นงานเลี้ยงแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจว่าฟางเฟยชวนตัวเองออกมาทำไม แต่แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ ถึงยังไงก็ไม่ใช่คนในแวดวงเดียวกัน ต่อให้คุยกันได้ แต่ก็ต้องใช้ความพยายาม และยังทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจ อย่างน้อยก็ตัวเองคนหนึ่งนี่แหละที่รู้สึกแบบนั้น
สิ่งที่ทำให้เย่ซวงดีใจมากที่สุดเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะเป็นเรื่องงานวันอาทิตย์ ขอแค่คุณหนูพอใจ การจะได้เงินเท่าหนึ่งปีภายในวันเดียวก็ไม่ใช่ปัญหา
ก่อนที่จะไป คุณหนูฟางกลับไม่ได้ไปส่งเธอที่ประตู เพียงแค่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า “วันพฤหัสฉันมีธุระน่ะ ยังไงภาพลักษณ์ของเธอก็ใช้ได้ เรื่องงานโฆษณาเธอก็ไปสิ”
ฟางเฟยเข้าใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้โดดเด่นจริงๆ แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้เพื่อนของเธอยอมรับได้ และเอาชนะใจเพื่อนของเธอตั้งเยอะแยะ
แม้ว่าจะยังไม่รู้ภูมิหลังของครอบครัวก็ตาม แต่ก็ยอมรับความจริงเรื่องผู้หญิงคนนี้กับพี่เย่เหมาะสมกันไม่ได้อยู่ดี
เมื่อนึกถึงคำเตือนของฟางม่อก่อนหน้านี้ ฟางเฟยก็ตัดสินใจว่าจะไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวอีก จากนั้นก็เลิกทำหน้าตาบูดบึ้งไป
ตอนแรกเย่ซวงก็ตกใจ จากนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงโฆษณาอะไร จึงรีบยิ้มแห้งๆ แล้วตอบกลับไปว่า “วันพฤหัส...ฉันมีธุระน่ะค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย เธอไปถ่ายเถอะ”
จะบ้าเหรอ! จะพาตัวเองออกมาพร้อมกันยังไงทั้งสองร่างล่ะ?!
คุณหนูฟางเองก็ตกตะลึงไป ในที่สุดก็หันหน้ากลับมา แล้วมองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาว่า “เธอเชื่อใจฉันหรือว่าเธอเชื่อใจเขา?!”
“เอ่อ...” ฟังดูแล้วเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง?!
ในขณะที่เย่ซวงกำลังคิดแทบตาย คุณหนูฟางที่เห็นภาพเธอกำลังลังเลก็หันหน้ากลับไปหัวเราะ “ช่างเถอะ เธออย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”