DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 42
ตอนที่ 42
ปากก็พูดว่าเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ทางธุรกิจ แต่เมื่อเย่ซวงมาถึงจริงๆ ก็รู้ว่าอะไรที่เรียกว่า การพูดไปเรื่อย
บนโต๊ะในห้องส่วนตัวเต็มไปด้วยขนมเม็ดแตงโมกองอยู่ และถุงชอปปิงน้อยใหญ่ก็กองอยู่บริเวณรอบๆ กำแพง ส่วนบนโซฟาก็มีภาพของสาวที่นั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน...นี่เรียกว่างานเลี้ยงสังสรรค์ทางธุรกิจงั้นเหรอ?!
“...”
เย่ซวงเบ้ปาก เธอไม่เข้าใจว่าฟางเฟยตั้งใจเรียกตัวเองมาทำไม
ถ้าจะคุยเรื่องส่วนตัว ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น แถมตอนที่เป็นผู้หญิงก็ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
ถ้าจะคุยเรื่องงานแบบนั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ก่อนที่จะลาออกเย่ซวงเป็นลูกน้องของฟางม่อก็จริง แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฟางเฟยเลย พอหลังจากที่ลาออกก็ยิ่งไม่ได้เกี่ยวกันเลย
เมื่อกี้ฟางเฟยเอาเรื่องของพี่ชายออกมาอ้าง แล้วเรียกร้องให้เย่ซวงมาที่นี่ให้ได้
เย่ซวงรู้ว่านี่เป็นการล่อลวง อีกทั้งคำโกหกของอีกฝ่ายก็ยากที่จะปฏิเสธได้ เพราะว่าประโยคนั้นจึงไม่มีทางเลือก...
คนที่มีไพ่ตายเยอะก็ยิ่งได้เปรียบยังไงล่ะ
แต่ฟางเฟยก็แทบไม่ต้องใช้ไพ่ตายในมือให้เยอะเลย เพียงแค่เปิดปากพูดคำว่า ‘เงินค่าโฆษณา’ ก็เพียงพอที่ทำให้เย่ซวงยอมจำนนแล้วล่ะ...
เย่ซวงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วยกมือขึ้นนวดขมับของตนเองโดยไม่ได้สนใจฟางเฟยที่กำลังหวาดกลัวว่าคนจะจับได้แต่ก็ยังทำท่าทางแบบไม่ได้สะทกสะท้าน แล้วจึงพูดออกไปตรงๆ ว่า “ฉันจะไม่ถามเหตุผลหรอก แต่คุณอยากจะให้ฉันทำอะไร?!”
ยังดีที่เป็นกลุ่มผู้หญิง ถ้าหากในห้องเป็นผู้ชายทั้งหมดล่ะก็ เธอคงเดินออกไปจากที่นี่แทบจะทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาแน่นอน
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฟางเฟยวางแผนอะไรไว้ก็ตาม แต่ยังดีที่สถานการณ์ไม่ได้เกินจากที่เย่ซวงคิดเอาไว้
พื้นที่ห้องมีประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร ราวกับว่าจองไปเกือบครึ่งหนึ่งของชั้น และสถานที่ตั้งก็อยู่ที่ชั้นสิบสองของห้องพักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองซานหลิน ปกติคนที่จะมาที่นี่ได้ร้อยทั้งร้อยต้องรวยพอตัว
กลุ่มสาวสวยก็ล้อมวงนั่งดื่มชาเล่นไพ่กันอยู่ภายในห้องรับรอง ตอนที่เย่ซวงและฟางเฟยเดินเข้าประตูมาจึงไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ไม่นานก็มีคนเงยหน้ามองตรงมาทางนี้ ไม่นานนักทุกสายตาก็มองมาทางเย่ซวงอย่างพิจารณาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ไม่มีข้อเรียกร้องอะไรหรอก” สีหน้าของฟางเฟยไม่เปลี่ยน แต่สายตาไม่ได้ดูถูกอะไร เพียงแค่เหยียดริมฝีปากลงเล็กน้อย แล้วพาเย่ซวงเดินเข้าไปพร้อมกับกระซิบว่า “อย่าทำฉันขายหน้าก็พอ”
“...”
เมื่อนั่งลง พวกสาวๆ ก็รีบเบนสายตาหนีทันที ถึงยังไงคนพวกนี้ก็เป็นผู้ดี แม้จะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหนก็ห้ามลืมภาพลักษณ์ของตัวเองเด็ดขาด
ที่ทุกคนเอะอะกันตอนแรกนั้น ก็แค่อยากจะรู้ว่าเจ้าของรหัสลับในมือถือของฟางเฟยคือใครก็เท่านั้นเอง และตอนนี้ก็ได้เห็นเย่ซวงที่ยีนผสมผสานไปแล้วช่วงหนึ่งซึ่งมีผิวขาวสะอาดเรียบเนียน รูปร่างอ่อนช้อยมีเสน่ห์ดึงดูด และหน้าตาก็ไม่เลว แต่ยังไม่ถึงขั้นตกตะลึงเท่ากับร่างชาย
อีกทั้งเย่ซวงผู้ชายยังได้ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมหลายตัวที่คุณนายเย่พาออกไปซื้อเผื่อไว้เพื่อไม่ให้ขายหน้า แต่เย่ซวงผู้หญิงกลับได้ใส่แค่เสื้อผ้าธรรมดา...ดังที่กล่าวมานี้ สาวๆ จึงผิดหวังที่รูปลักษณ์ภายนอกของเย่ซวงนั้นดูไม่เหมือนจะ ‘ไม่ธรรมดา’ เลย
“นี่คือเพื่อนของฉันเอง...” คุณหนูฟางที่เดินมาถึงกลุ่มสาวๆ ก็แนะนำเย่ซวงให้กับทุกคนด้วยใบหน้าเฉยชา และเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็ต้องชะงักไป...
บ้าเอ๊ย! ผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไรนะ?!
แน่นอนว่าในสายตาของทุกคนนั้นคิดว่านี่เป็นการตั้งใจหยุดทิ้งช่วง ยกตัวอย่างเช่น ส่วนที่ต้องการเน้นย้ำให้คนอื่นสนใจประมาณนั้น จึงไม่มีใครคิดว่าคุณหนูฟางไม่รู้แม้แต่ชื่อของ ‘เพื่อน’ ที่ตัวเองเป็นคนพามา...
เย่ซวงก็ช่วยรักษาหน้าไว้ให้โดยพูดออกไปว่า “สวัสดีทุกคน ฉันชื่อเย่ซวง”
“...” ในสายตาของฟางเฟยแสดงความสงสัยออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติ “อืม ในเมื่อรู้จักกันแล้ว งั้นพวกเธอก็คุยกันเถอะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่างามโดยไม่แยแส
ทุกคน “...”
เย่ซวงเข่าแทบทรุด...คุณเธอก็แนะนำคนอื่นให้ฉันด้วยสิ!
เย่ซวงไม่รู้ว่าที่ฟางเฟยออกไปนั้น เป็นเพราะว่าจิตใจเธอว้าวุ่นไปหมดแล้วต่างหาก
เบอร์โทรของผู้ชายที่ทำให้ใจเต้นเพียงนิดเดียวก็ถูกกลุ่มญาติรู้เข้า สุดท้ายก็เลยต้องโทรไปแต่แฟนสาวของเขากลับรับสายพอดี นี่จึงเป็นเรื่องน่าอึดอัดอย่างแรก
การที่ไปเรียกแฟนสาวของเขาออกมาอย่างงงๆ นอกจากจะเพื่อจัดการกับกลุ่มญาติตัวปัญหาแล้ว ฟางเฟยเองก็อยากจะรู้ด้วยว่าเธอมีดีตรงไหน แต่สุดท้ายไม่เพียงแค่กลุ่มญาติจะคิดว่าเย่ซวงไม่มีจุดเด่นอะไร เธอเองก็รู้สึกว่าไม่มีจุดเด่นเหมือนกัน...น่าขายหน้า คนแบบนี้มาทำให้ภาพลักษณ์ของฟางเฟยป่นปี้ไปหมด นี่จึงเป็นความอึดอัดอย่างที่สอง
อย่างที่สามนั้นไม่นับว่าเป็นความอึดอัด เพียงแค่ความไม่พอใจเล็กน้อยก็เท่านั้น จุดสำคัญอยู่ที่ทั้งสองคนดันชื่อเย่ซวงเหมือนกันนี่สิ...ฟางเฟยยิ่งรู้สึกไม่พอใจเข้าไปอีก ทั้งยังรู้สึกไม่เป็นธรรมนิดหน่อย...นี่แสดงว่าพวกเขาเป็นพรหมลิขิตของกันและกันอย่างนั้นเหรอ?! แม้แต่ลงทะเบียนเปิดบัญชีก็ยังเป็นชื่อเดียวกัน...
ด้วยความที่หลายๆ อารมณ์รวมกันจนสับสนไปหมด ฟางเฟยจึงรู้สึกว่าตัวเองควรไปสงบจิตสงบใจสักพัก
ฟางเฟยออกไปได้ไม่นาน กลุ่มญาติก็อึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะต้องต้อนรับแขกที่มาใหม่ยังไงดี หลังจากคิดดูแล้วก็มีคนหนึ่งยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “เล่นไพ่นกกระจอกเป็นไหม?”
...คนรวยจะไม่ชอบผูกมิตรกับคนธรรมดา ไม่ใช่เพราะดูถูกอีกฝ่าย แต่หลักๆ คือเข้ากันไม่ได้
ความเข้ากันไม่ได้นี้สามารถพบได้ในหลายสถานการณ์ อย่างเช่นตอนทุกคนออกไปเดินเล่นในห้าง กำลังในการซื้อก็ต่างชั้นกัน ของที่เธอชอบ คนนั้นก็ซื้อไม่ได้ ของที่คนนั้นชอบ เธอก็ดูถูก...แล้วอีกอย่างคือหัวข้อสนทนา ไม่ว่าทายาทลูกผู้ดีจะเหลวแหลกยังไง แต่เพราะแวดวงสังคมที่อยู่ทำให้ได้ยินได้ฟังมาหลายอย่าง จึงมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าคนธรรมดา อย่างเช่นในกลุ่มของตัวเองคุยกันเรื่องฐานการลงทุน การขี่ม้า กอล์ฟ เรือสำราญ และงานเลี้ยงบนเรือสำราญ เป็นต้น จะให้ชาวบ้านธรรมดารับได้ยังไงล่ะ?!
นี่ก็พูดไม่ได้ว่าแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหวหรอก อย่างน้อยก็แตกต่างเหมือนกับนกกับปลา...ในเมื่อรู้ว่าพูดเรื่องเดียวกันไม่ได้ ยังดึงดันจะไปคบคนธรรมดาทำไม สุดท้ายรังแต่จะทำให้ต่างคนต่างอึดอัดกันเสียเปล่า
แต่เมื่อกลับมาในสถานการณ์ปกติ ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เจอกับคนธรรมดา ทุกคนก็จะไม่ทำท่าทางขับไสไล่ส่งให้เขาลำบากใจ
มิตรภาพระหว่างผู้ชายอยู่ในวงเหล้า และมิตรภาพระหว่างผู้หญิงก็อยู่ในวงไพ่นกกระจอก นี่เป็นวิธีการทำความรู้จักกันที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรวยและคนจน ในเมื่อฟางเฟยเดินออกไปแล้ว กลุ่มญาติจะไม่พูดอะไรกับเย่ซวงเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัด ก็เหลือแต่ต้องหากิจกรรมบันเทิงที่ทุกคนชอบเล่นกัน...แน่นอนว่าเรื่องชิปที่ใช้ในการเล่นพนันนั้นคงไม่ต้องพูดถึง มิเช่นนั้นหากดูจากจำนวนเงินที่พวกสาวๆ เล่นกันแล้วนั้น ก็เท่ากับว่ารังแกคนน่ะสิ...
เย่ซวงยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาปิดไว้ ด้วยความสามารถในการจำของเธอตอนนี้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อลองคำนวณดูแล้วเปอร์เซ็นต์ในการชนะก็ถือว่าสูง ในช่วงที่เล่นไพ่อยู่จะพูดคุยกันสักหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา ใครสั่งให้เธอความจำดีล่ะ
หลังจากที่ฟางเฟยเข้าห้องน้ำไปเติมเครื่องสำอางแล้วออกไปเช็กบิลที่เคาน์เตอร์เสร็จ กลับมาก็ต้องตกใจก็เมื่อพบว่าภายในห้องเย่ซวงกับพวกญาติตนเองเข้ากันได้ดีราวกับปลาได้น้ำยังไงอย่างนั้น...
“ห้าแถว! ...ซวงซวงเธอได้ไพ่ตองแล้ว ครั้งนี้ออมมือให้หน่อยสิ” ญาติคนหนึ่งทิ้งไพ่ลงไปหนึ่งอันพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่ารองพื้นXXตัวนี้ไม่เลวเลยนะ ฉันใช้แล้วรู้สึกว่ามันไม่หลุดเลย แล้วก็เป็นแบรนด์ของต่างประเทศด้วย จะให้ไม่ดีได้ยังไง?”
“น็อก!” เย่ซวงก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “แค่ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่าใช้สารเกินมาตรฐาน ไม่หลุดง่ายแน่นอน...ครั้งหน้าถ้าพี่หลิวสนใจจะเอาไปตรวจก่อนก็ได้ อันนี้ใช้ไปนานๆ จะทำลายผิวได้นะ”
พี่สาวอีกคนหนึ่งก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่อย่างตื่นเต้น “พวกเธอรู้จัก XX ใช่มั้ย ดาราคนที่เพิ่งดังได้ไม่นานมานี้น่ะ งานเลี้ยงที่บ้านตระกูลหลี่คราวที่แล้ว ฉันเห็นเจ้าบ้านเต้นรำกับเขา นี่เป็นการตกหลุมรักหรือว่าคิดจะเลี้ยงเด็กกันแน่นะ?”
เรื่องซุบซิบนี้ดึงดูดให้คนเข้ามาร่วมสนทนากันอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่หรอกมั้ง ฉันจำได้ว่าครอบครัวหลี่เหมือนจะวางแผนจะแต่งงานกับครอบครัวหวังนะ หรือว่าคนที่จะหมั้นไม่ใช่คุณหนูหลี่แต่เป็นคุณชายหลี่เหรอ?”
เย่ซวงไม่เข้าใจเรื่องราวภายในบ้านคนรวยเท่าไรนัก แต่ก็ยังคงพูดแทรกไปอีกว่า “ถ้าหากมีคนชอบ XXX คนนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทำศัลยกรรมมาทั้งหน้า สัดส่วนของกระดูกก็ผิดไปจากปกติ กรามด้านล่างอย่างน้อยก็ถูกเหลาไปแล้วกว่าหนึ่งส่วนสาม...”
“จริงเหรอเนี่ย?!!!”
กลุ่มสาวๆ เหล่านั้นตื่นเต้นขึ้นมา
คุณหนูฟาง “...”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?!