DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 9
ตอนที่ 9
จริง ๆ แล้วฟางม่อเป็นคนคอแข็งพอตัว นับได้ว่ายังดื่มไม่ถึงพันแก้วก็คงไม่ล้มพับ อย่างน้อยถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงเมาหัวราน้ำไปแล้ว
พูดอีกอย่างคือด้วยตำแหน่งฐานะของเขา โดยปกติแล้วจะมีไม่กี่คนที่กล้ารินเหล้าให้เขาดื่ม มีคนแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถทำได้ ด้วยตำแหน่งและคุณสมบัติของเขานั้นก็ทำให้ไม่สามารถเอาแก้วเหล้าเคาะโต๊ะแล้วตะโกนออกมาว่า ‘ดื่มให้สุด ๆ ไปเลย!’ ได้...เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ
ตามเหตุผลที่ว่ามาทั้งสองข้อนี้แล้ว ฟางม่อไม่เคยดื่มจนเมาแบบนี้มาก่อน
แต่ว่าคืนนี้ฟางม่อกลับมาอ้วกอยู่ข้างถนน สาเหตุจริงๆ แล้วไม่ได้เกิดจากการดื่มเหล้า แต่เป็นเพราะวันนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกมึนหัวเป็นพิเศษ แขนขาหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรง เหมือนจะเป็นไข้
ดูเหมือนวันนี้เขามีงานด่วนที่ต้องทำให้เสร็จ บวกกับลูกค้าที่สนิทสนมกันจะมาตรวจงานที่เมืองซานหลิน ไม่ว่าจะเพื่อบริษัทหรือเพราะเรื่องส่วนตัวก็ต้องไปรับด้วยตัวเองให้ได้...เขาถือว่าตัวเองยังหนุ่มร่างกายยังแข็งแรงทนทาน จึงกินยาไปสองเม็ด แล้วรีบออกไปทำงานทันที
งานที่ยุ่งทั้งวันบวกกับตอนกลางคืนที่ต้องไปดื่มเหล้าอีกหลายแก้ว...จากที่อาการไข้ไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่เมื่อฟางม่อเดินออกจากร้านอาหารเพื่อที่จะไปเอารถ สุดท้ายร่างกายที่ทนมาตลอดวันก็ถึงขีดสุด เมื่อเดินมาข้างๆ รถ เขาก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง สักพักหนึ่งเขาก็อ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย อาการเมาเริ่มหายไป กลายเป็นเหงื่อไหลเพราะความตกใจกลัวเข้ามาแทน...
...ไหนจะเจอกับเหตุการณ์แย่ๆ เมื่อกี้แล้ว อยู่ๆ ฟางม่อก็มาสลบไปอีก
สองพี่น้องที่เจอกับเหตุการณ์นี้ถึงกับตกใจ
“เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย?!” เย่ซวงแทบบ้า “เมื่อกี้ตอนถูกพวกอันธพาลล้อมไว้ตั้งเยอะไม่เห็นเป็นอะไร ทำไมพอฉันบอกชื่อกลับตกใจสลบไปเลยเนี่ยนะ?!”
เย่เฟิงกลอกตามองบน “เจ๊ เห็นชัดๆ เลยว่าเมา!”
เอาเถอะ เมื่อมองใบหน้าซีดเผือดของฟางม่อที่นอนอยู่บนพื้น รวมทั้งคิ้วของเขาที่ขมวดเข้าหากันเพราะความเจ็บปวดแล้ว...ถ้าดูจากอาการแค่ขนาดนี้แล้ว ปกติคนทั่วไปก็คงจะแยกไม่ออกว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะเมาเหล้าหรือว่าเป็นไข้
ไม่ต้องพูดถึงสองพี่น้องเลย เพราะทั้งคู่นั้นก็ไม่มีใครเคยเรียนแพทย์มาก่อน
หลังจากที่เย่ซวงคิดหนักก็พูดขึ้นว่า “เมาแล้วเหรอ?! บ้าเอ๊ย...รู้ว่าดื่มไม่ได้ก็อย่าดื่มเยอะสิ แล้วตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย หรือจะทิ้งให้นอนที่นี่ดี?!”
“เป็นความคิดที่ดีนี่ หลังจากนั้นก็รอให้ไอ้พวกอันธพาลนั่นกลับมาปล้นเขาอีกรอบน่ะเหรอ?” เย่เฟิงเบ้ปากพูด แล้วสายตาก็มองไปที่ ‘ศพ’ ที่กองอยู่บนพื้นแล้วพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจว่า “แบบนี้ก็ง่ายดี คราวนี้ไม่ใช่แค่กระเป๋าเงินกับกุญแจรถ แม้แต่เสื้อผ้าเขาพวกนั้นก็คงจะเอาไปจนหมด”
“ใช่สิ มือถือไงล่ะ!” สมองของเย่ซวงประมวลผลอย่างรวดเร็ว “ลองดูที่รายชื่อติดต่อของเขาสิ มีเบอร์ญาติพี่น้อง หรือแฟนสาวอะไรไหม...” เธอพูดไปก็ควานหามือถือไปด้วย
จะหามือถือไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาคือจะปลดล็อกหน้าจอยังไง เย่ซวงคิดแล้วน้ำตาก็จะไหล
ให้ตายสิ รหัสปลดล็อกอะไรล่ะเนี่ย?!
เรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องกลุ้มใจอย่างมาก
ผู้กล้าไปช่วยคนมาได้แล้วก็จะทิ้งเขาไว้ข้างทางแบบนี้เหรอ?!
แบบนี้ไม่ช่วยจะไม่ดีกว่าเหรอ
เย่เฟิงนั่งยองๆ อยู่ข้างฟางม่อไม่ปริปากพูดอะไร ก่อนจะเอานิ้วไปจิ้มฟางม่อพลางใช้ความคิด “ยังไงพี่ก็จะไปโรงแรมอยู่แล้ว ทำไมไม่พาเขาไปนอนด้วยสักคืนล่ะ?!”
เย่ซวงอยากจะเตะน้องชายแสนไร้เดียงสาที่คิดจะขายพี่สาวคนนี้ให้กระเด็นเสียเหลือเกิน “จะให้พี่สาวของแกไปนอนกับผู้ชายเนี่ยนะ หญิงโสดกับชายโสด...นี่แกคิดดีแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาน่ะ!”
“จะโวยวายทำไมเนี่ย ยังไงตอนนี้พวกพี่ก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่!” เย่เฟิงโบกมือปัดความรับผิดชอบ
แต่ยังไงเสียร่างกายของพี่สาวเขาตอนนี้ ผู้ชายธรรมดาๆ คงไม่มีทางทำอะไรได้อยู่แล้ว จะให้พูดก็คือต่อให้มีจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็ตาม คนคนนั้นจะต้องมีพละกำลังมากกว่าเจ๊ใหญ่ของบ้านเสียก่อน
เย่เฟิงเร่งเร้า “รีบ ๆ ตัดสินใจสักทีสิ จะให้นอนอยู่บนพื้นก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไร ถ้ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นเข้า เขาจะพากันคิดว่าเราเป็นคนทำร้ายเขาเอานะ”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เย่ซวงก็ไม่สามารถที่จะทิ้งคนเป็นๆ ไว้โดยไม่สนใจได้ ไม่ว่าเธอจะลังเลยังไง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ต้องพาเขากลับไปด้วยอยู่ดี แต่ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ เธอจะพาเขาไปที่ไหนน่ะสิ...
ตามที่เย่เฟิงพูดมาก่อนหน้านี้ เบอร์โทรติดต่อฉุกเฉินก็ไม่มี ในสภาพที่ตัวเองก็เหมือนคนไร้บ้านต้องระเห็จไปนอนโรงแรม ซ้ำยังจะต้องพาคนเมาอย่างฟางม่อไปด้วยอีกคน...นอกจากจะพาไปโรงแรมแล้ว ยังจะมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?!
สองพี่น้องตกลงกันได้แล้ว สรุปคือให้ฟางม่อไปพักกับเย่ซวงหนึ่งคืน “ดีเลย ผมกำลังอยากลองขับรถของเขาอยู่พอดี!” เย่เฟิงคันไม้คันมือด้วยความตื่นเต้น “ตั้งแต่ผมไปสอบใบขับขี่มา ยังไม่มีโอกาสได้ลองขับจริงๆ เลย ครั้งที่แล้ว พ่อก็บอกว่าเดือนหน้าจะซื้อรถใหม่เข้าบ้าน...ผมขอใช้โอกาสนี้ลองมือหน่อยละกัน กลับไปจะได้ไม่ทำรถคันใหม่เป็นรอย”
“...” เย่ซวงเงียบไป เธอไม่แน่ใจว่าควรจะบอกน้องดีหรือไม่ว่า รถใหม่ที่พ่อบอกว่าจะซื้อน่ะ คงไม่ได้ซื้อแล้วล่ะ...
ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร วันนี้ที่ออกไปทำบัตรประชาชนใหม่ตอนกลางวันนั่นไงล่ะ
บัตรที่ไปทำใหม่นั้นราคาไม่ใช่ถูกๆ ร้านนั้นเสนอราคามาหลายหมื่นหยวน เท่ากับว่าได้นำเงินหนึ่งในสามส่วนของเงินเก็บไปใช้หมดแล้วน่ะสิ
ทำไมเงินเก็บถึงได้น้อยแบบนี้เหรอ?! ก็ในบ้านมีแค่พ่อที่ทำงาน แถมยังต้องเลี้ยงลูกอีกตั้งสองคน เงินที่ต้องจ่ายให้กับการศึกษา ทั้งค่าเรียน ค่าหนังสือ ค่าแป๊ะเจี๊ยะ ค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้...ตั้งแต่เริ่มเรียนมาจนถึงตอนนี้ คิดว่าใช้ไปตั้งเท่าไรแล้วล่ะ มีเหลืออยู่แสนกว่าๆ ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
สำหรับอนาคตของลูกแล้ว...ไม่ต้องพูดถึงเย่เฟิง คุณเย่กับภรรยาได้ตกลงกันแล้วว่าลูกผู้ชายที่ดีต้องดูแลครอบครัว เมื่อโตขึ้นทำงานแล้วก็ต้องซื้อรถ ซื้อบ้านด้วยเงินของตัวเอง โตแล้วยังแบมือขอเงินพ่อแม่? แบบนี้น่าภูมิใจเหรอ?!
แต่เย่ซวง...ให้ตายสิ! ลูกผู้หญิงพอแต่งงานก็ต้องไปอยู่กับสามี พ่อแม่ไม่ได้ยุ่งด้วยแล้ว แต่ถ้าเกิดสามีดูแลภรรยาของตัวเองไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ก็จะเกาะผู้หญิงกิน?!
ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกชายหรือลูกสาว พ่อกับแม่ก็ไม่ได้รู้สึกกดดัน ถึงเวลาโตแล้วก็จะปล่อยให้พวกเขาออกไปสร้างตัวเอาเองหรือจะไปทำประโยชน์ให้กับสังคมก็แล้วแต่ เมื่อถึงเวลานั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ!
เมื่อสิ่งที่เย่เฟิงรอคอยกลับไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เย่ซวงก็กระแอมกระไอออกมาเพื่อเปลี่ยนประเด็นการสนทนา “รถของเขาก็อย่าไปยุ่งเลย มานี่ มาเปิดประตูรถให้หน่อย แล้วไปพยุงเขามาไว้ที่เบาะหลังด้วย”
เย่เฟิงเมื่อคิดว่าจะได้ขับรถของฟางม่อ ก็เกิดมีจิตใจเมตตารีบเข้าไปช่วยพยุงทันที
น่าเสียดายที่ร่างกายระดับมาตรฐานนี้กลับพยุงฟางม่อเอาไว้ไม่ไหว ร่างกายบอบบางของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีที่คิดจะช่วยพยุงหนุ่มเข้าฟิตเนตสร้างกล้ามเนื้ออย่างฟางม่อ...เมื่อเย่ซวงมองดูแล้วก็รู้สึกว่าอันตราย ร่างสูงใหญ่ของฟางม่อซบลงไปที่ร่างกายผอมบางของเย่เฟิง มองดูแล้วเหมือนจะล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่
สุดท้ายก็ทนดูต่อไปไม่ได้ เย่ซวงจึงถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินมาทางด้านหลังจากนั้นจึงคว้าแขนฟางม่อมาคล้องคอตนเอง แล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ผลักเย่เฟิงให้ออกห่าง “มาฉันเอง หลีกไป!”
จากนั้นเย่เฟิงก็มองเย่ซวงด้วยความตกตะลึง เพราะตอนนี้เย่ซวงกำลังอุ้มร่างสูงใหญ่ของฟางม่อขึ้นไว้ในอ้อมกอดราวกับอุ้มเจ้าหญิง แถมยังไม่มีท่าทางเหนื่อยหอบเลยสักนิด พร้อมทั้งเดินไปที่รถด้วยท่าทีสบาย
“...” ในตอนนั้นทัศนคติต่อทุกอย่างบนโลกของเย่เฟิงก็ได้ถูกทำลายจนย่อยยับ