DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
แม้ว่าเย่ซวงจะไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อน แต่ด้วยคุณสมบัติของร่างกายเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะขู่คนได้แล้ว
เมื่อเห็นพละกำลังของเธอสามารถทำให้เสาไฟแตกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ว ก็เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครคิดจะลองดีกับเธอแน่ๆ ถึงท่วงท่าจะไม่ได้สวยงามอะไรแต่ก็มีพละกำลังมหาศาล...ถ้าให้พูดคือ ถึงแม้เธอจะมีฝีมือที่เงอะงะ แต่ด้วยกรงเล็บอินทรีเพียงอย่างเดียวที่แกว่งไปมั่วๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร
“จะทิ้งกระเป๋าไว้ดีๆ หรือจะจะทิ้งคนไว้ ก็เลือกเอาเองละกัน”
สายตาของฟางม่อก็ตื่นตะลึงไปด้วยความสับสน หนุ่มหล่อท่าทางสง่าผ่าเผยคนนั้นค่อยๆ ปัดเศษฝุ่นในมือออกเบาๆ หัวตาก็เหลือบไปเห็นพวกอันธพาลที่ถูกคำพูดแค่ไม่กี่คำทำให้ตัวสั่นไปหมด เหมือนคำประกาศิตจากสวรรค์จนทำให้ไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำออกไป ฟางม่อขมวดคิ้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับตัวผ่อนคลาย และสังเกตรอบๆ อย่างละเอียด ก่อนที่จะมองไปยังผู้ผดุงความยุติธรรมที่ดูเปล่งประกาย
ใช่แล้ว เปล่งประกายจริงๆ!
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน คำว่าเปล่งประกายมักเป็นคำที่มีไว้ใช้กับฟางม่อเท่านั้น จริงๆ แล้วเขาไม่นับว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด แต่ถ้าหากจะหยิบเอาด้านใดด้านหนึ่งออกมาพูด ก็พูดได้ว่าเป็นมนุษย์ระดับกลางถึงสูง แน่นอนว่าฟางม่อมีคุณสมบัติที่คู่ควร
รู้จักที่จะสู้และถอย มีความสามารถ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และเป็นคนนิสัยดี...ในสายตาของรุ่นพี่และคนที่อยู่ใกล้ๆ บางทีการมีด้านที่พิเศษโดดเด่นออกมาก็ทำให้เป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้าง หลังจากเป็นที่ตกตะลึงของผู้คนแล้ว ฟางม่อก็ยังคงเป็นที่รักของทุกคนอีกด้วย
ก็เหมือนกับนักเรียนบางคนได้คะแนนเต็มในวิชาที่ถนัด ซ้ำยังได้คะแนนบวกเพิ่ม แต่ฟางม่อกลับทำคะแนนสอบทุกวิชาให้อยู่ที่เก้าสิบคะแนน
นี่แสดงให้เห็นถึงนิสัยถ่อมตัวของเขา แต่ภายในจิตใจของฟางม่อก็ยังมีความหยิ่งอยู่บ้าง พูดได้ว่าเขายังไม่เคยเจอคนที่ตัวเองให้การยอมรับว่าเป็นเพื่อน หรือเพื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย
วันนี้กลับเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น อยู่ๆ ก็ได้เจอกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจได้
แต่ที่ฟางม่อไม่เข้าใจคือ หนุ่มหล่อตรงหน้าที่ถูกเขาชื่นชมอยู่ในใจคนนี้ กลับไม่ได้แสดงท่าทีสงบอย่างที่ควรจะเป็น
ถึงแม้เย่ซวงจะใช้สายตามองพวกอันธพาลแบบ 'พวกแกทั้งหมดมันพวกกากเดน คนมีปัญญาเขาไม่ใช้มือมาทำเรื่องสกปรกแบบนี้กันหรอก' อย่างโอหัง แต่ความจริงแล้วในใจเย่ซวงอยากจะกรีดร้องออกมา...ต่อให้กล้าหาญยังไงก็...
เอาเถอะ ไหนๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงแล้วนี่นะ
ตั้งแต่เล็กจนโตจะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ถืออาวุธพร้อมสู้กันล่ะ ยกตัวอย่างเช่น จิกหัว ตบหน้า คงไม่ต้องพูดถึง น้องชายก็คงแค่ยืนดูอยู่อย่างเดียว เย่ซวงต้องลงมือเองหรือนี่?!
ปัญหาตอนนี้คือคนเยอะเกินไป อีกทั้งเย่เฟิงกับบอสของเราที่ดื่มจนร่างกายไร้เรี่ยวแรง ก็ดูไม่น่าจะสู้ไหว
ดูยังไงตอนนี้ก็มีแค่เธอเท่านั้นที่จะข่มพวกนั้นได้ และแน่นอนว่าทุกอย่างตกมาอยู่ที่เธอ
ในใจของเย่ซวงนั้นช่างรู้สึกเคว้งคว้าง แต่สำหรับพวกอันธพาลแล้วกลับเคว้งคว้างมากกว่าเธอเสียอีก
เด็กวัยรุ่นไม่กี่คนตาค้างมองตรงไปยังเศษปูนซีเมนต์ที่ตกอยู่บนพื้นนั้น บางคนที่ไม่เชื่อ ก็แอบเอาเท้าไปเขี่ยๆ ดู หลังจากนั้นก็ไม่กล้าหายใจออกมาเลย
เย่ซวงหวังว่าวิธีนี้จะทำให้พวกอันธพาลล่าถอยออกไปได้ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ตอนนี้พวกอันธพาลอยากจะถอยออกไปแทบแย่ แต่ไม่กล้าที่จะเดินออกไปจากตรงนี้ต่างหาก
ในละครก็เคยสอนไว้ว่า ในการต่อสู้ คนที่มีฝีมือก็มักจะระเบิดกระบวนท่าใส่พวกตัวร้าย และถ้าเกิดว่าพวกเขาคิดหนีขึ้นมา ก็จะโดนคนที่อยู่ข้างหลังเขวี้ยงมีดบินใส่...เอาเถอะ หนุ่มหล่อคนนี้ก็คงไม่ชำนาญถึงขั้นใช้อาวุธหรอก แต่เขาสามารถทุบเสาไฟให้แตกได้ แค่นี้ทุกคนก็กลัวหัวหดแล้ว!
ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน แล้วอยู่ๆ บรรยากาศรอบตัวทั้งสองฝ่ายก็เงียบลง
ฟางม่อรู้สึกสงสัยนิดหน่อย ดูไม่ออกจริงๆ ว่าหนุ่มหล่อคนนั้นอารมณ์ไหน? แค่ไปจัดการให้พวกนั้นหนีไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนมากคนที่มีพละกำลังเขาไม่ใช้เหตุผลเข้าหากันหรอก
แต่เขากลับไม่ได้คิดจะลงมือจริงๆ และฟางม่อที่ถูกช่วยเอาไว้ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ดูเหมือนว่าสมองของพวกอันธพาลจะกลับออกมาจากจินตนาการอันเลวร้ายได้แล้ว ก่อนจะฟื้นกลับมาเป็นตัวของตัวเอง หลังจากนั้นก็ทำตามคำพูดที่หนุ่มหล่อได้พูดทิ้งไว้เป็นอันดับแรกคือ...ทิ้งกระเป๋าไว้หรือว่า...
แม่งเอ๊ย! ก็ต้องทิ้งกระเป๋าไว้สิวะ!
พวกอันธพาลที่ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วก็รีบใช้สองมือยืนกระเป๋าเงินคืนให้ฟางม่อ พร้อมกับส่งกระเป๋าเงินของตัวเองให้ไปด้วย เพื่อเป็นการขอบคุณที่ไว้ชีวิต จริงๆ แล้วพวกอันธพาลก็ไม่ได้อยากจะให้กระเป๋าเงินกับเย่ซวงเป็นการพิเศษหรอก แต่กลัวว่าเย่ซวงจะไม่พอใจ ลูกน้องอีกสองสามคนก็ล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงออกมาให้
ในขณะเดียวกันก็มีอันธพาลจำนวนหนึ่งที่ตื้นตันจนน้ำตาไหลนองเพราะได้เจอกับคนที่มีฝีมือแต่ไม่คิดจะลงไม้ลงมือ…
ฟางม่อก็รับกระเป๋าเงินกลับคืนมาอย่างเงียบๆ เพราะสถานการณ์มันเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก และในขณะเดียวกัน ผู้รับหน้าที่เก็บกระเป๋าเงินของพวกนั้นอย่างเย่เฟิงก็ได้แต่นิ่งเงียบ
หลังจากที่รอให้พวกอันธพาลล่าถอยออกไป สถานการณ์ร้ายๆ นั้นก็กลับคืนมาเป็นปกติ ฟางม่อเองก็เริ่มสร่างเมาแล้ว จึงค่อยๆ เท้ารถเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นมา มองไปยังเย่ซวงด้วยสายตาที่สนใจยิ่งขึ้น
ไม่เพียงแค่ฝีมือดี แต่รูปร่างหน้าตาก็ดีอีกด้วย และที่สำคัญจะยังมีใครบนโลกใบนี้ที่ถ่อมตัวไปมากกว่านี้อีกไหม
ไม่เลว หายากจริง ๆ
“วันนี้ขอบคุณพวกคุณทั้งสองคนมาก” ที่จริงแล้วฟางม่ออยากจะถามอีกฝ่ายว่าอยากจะให้ไปส่งที่โรงพยาบาลไหม แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากนั้นกลับเป็นไปในทางตรงข้ามแทน เขาเหลือบไปเห็นที่ฝ่ามือขาวละเอียดของเย่ซวงไม่มีแม้แต่รอยแดงปรากฏออกมาให้เห็น ก็ทำให้คำพูดนั้นถูกกลืนลงไปอย่างเงียบๆ
ฟางม่อเปิดประตูรถหลังคนขับและหยิบนามบัตรออกมาหนึ่งใบส่งให้อย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดว่า “เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว คิดว่าทั้งสองก็คงอยากจะรีบกลับบ้านแล้ว ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังผมขอนัดออกมาทานข้าวเพื่อเป็นการตอบแทน...นี่นามบัตรผม ด้านบนนี้มีเบอร์โทรศัพท์ของผมอยู่ ถ้าหากมีอะไรให้ช่วย ก็ติดต่อมาได้เลยนะครับ”
เลี้ยงข้าว?! ตอนนี้คงจะไม่ได้
ให้เงิน?! ก็จะดูหยามกันเกินไป
ระหว่างเลือกฟางม่อก็ลืมไปเลยว่าเย่ซวงนั้นรับเงินของพวกอันธพาลมาอย่างไม่มีความเกรงใจ ในใจมัวแต่คิดยกย่องเห็นเขาเป็นอัจฉริยะของคนในยุคนี้
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะก็ไม่ควรที่จะพาใครก็ไม่รู้ขึ้นรถไปด้วยในเวลาดึกดื่นแบบนี้ ถ้าเกิดกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ขึ้นมาล่ะ!
เมื่อเป็นเช่นนั้น “พวกคุณจะไปไหน ให้ผมไปส่งไหม” ข้อเสนอแบบนี้ก็คงต้องทิ้งไป...ถ้าดูจากหลาย ๆ อย่าง ฟางม่อเป็นคนที่ถ้าไม่รู้จักคนนั้นมาก่อน เขาก็จะรักษาระยะห่างและระวังตัวเป็นพิเศษ
เย่ซวงก็สับสนอยู่ครู่หนึ่ง บอสของเราเหมือนจะพูดไปจนหมดแล้ว ที่จริงแล้วเธออยากจะบอกว่า
ทุกคนในบริษัทมีเบอร์โทรศัพท์ของเขากันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมาให้นามบัตรกับฉันหรอก แต่ถ้าหากอยากจะแสดงความขอบคุณจริงๆ ก็เพิ่มเงินเดือน...
แต่พอคิดเรื่องร่างกายของตัวเองตอนนี้ เธอก็ได้แต่สะบัดหัวตัวเองไปมาแล้วตอบว่า “ไม่ต้องเกรงใจหรอก มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องนี่” เย่ซวงเผยยิ้มออกมาแต่ภายในใจเลือดแทบจะไหลออกมาเป็นหยดๆ
“ใช่สิ ผมชื่อฟางม่อ ขอถามว่าทั้งสองชื่อ...” ในที่สุดฟางม่อก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อไป เขาวางแผนไว้ว่าจะเอาชื่อของคนที่ช่วยเขาไว้มาตอบแทนในวันข้างหน้า
“...” เย่ซวงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ผมชื่อเย่ซวง...” ดูเหมือนว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเธอเพิ่งจะถูกบอสจับได้ว่าแอบเล่นเกมในบริษัทแล้วโดนตำหนิไปหยกๆ
ตอนนี้คนคนนี้ก็คงจำชื่อของเราไม่ได้หรอกมั้ง
“เย่...”
ฟางม่อยิ้มๆ เหมือนกับว่ามีอะไรจะพูด แต่น่าเสียดายที่เขาพูดออกมาได้คำเดียว แล้วก็หมดสติรูดลงไปกับรถ ไปกองอยู่ที่พื้นเสียอย่างนั้น