DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 7
ตอนที่ 7
หลังจากที่เดินออกจากบ้านมาได้สักพัก เย่เฟิงก็เริ่มรู้สึกกลุ้มใจ ในใจของเขาตอนนี้ก็คิดว่า ผู้หญิงที่มีแฟนหล่อก็คงจะต้องเคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเขาแน่ๆ ตอนที่เขาเดินอยู่บนถนนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ สายตาของพวกนั้นเอาแต่จับจ้องไปที่เย่ซวง ทั้งๆ ที่เขาก็เดินอยู่ข้างพี่ แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย...
มันช่างปวดใจเหลือเกิน!
คนคนนี้ที่แม้แต่เพศก็ยังปลอม ผู้หญิงพวกนี้เห็นอะไรในตัวพี่กันแน่นะ?!
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้หล่อมากมาย แต่เขากลับโมโหที่ตัวเองกลับจมหายไปเพราะใบหน้าอันหลอกลวงของเย่ซวง
สองพี่น้องต่างก็ทุกข์ใจกับรูปร่างหน้าตาตัวเอง แต่เพราะสภาพจิตใจของทั้งคู่ในตอนนั้นทำให้ต่างคนต่างขี้เกียจที่จะพูดมันออกมา พอเดินไปได้ประมาณสิบนาที เย่เฟิงก็ทนไม่ได้คิดจะพูดทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดนี้ แต่พอจะเปิดปากพูด อยู่ๆ เย่ซวงก็หยุดเดินกะทันหัน
“ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าคนนั้นจัง” เย่ซวงพูดขึ้นมาอย่างลังเล
เย่เฟิงกลอกตามองบน “เห็นอะไรอีกล่ะ?”
หลังจากนั้นเย่เฟิงก็มองตามสายตาเย่ซวงไปบนถนนไฟสลัวๆ มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ มีผู้ชายเมาหัวราน้ำยืนเท้ารถเก๋งกำลังอ้วกอยู่...มันก็ดูไม่ได้มีอะไรเพราะสมัยนี้คนที่ทำธุรกิจก็มักจะออกมาดื่มแบบนี้กันเป็นประจำ จะมีสักกี่คนกันที่ไม่ดื่ม?! ดื่มมาหนักก็แค่อ้วกออกมา แต่อ้วกออกมาพร้อมกับเลือดแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นกันบ่อยๆ
ปัญหาคือในเวลาดึกดื่นนี้ไม่ไกลจากเขามีแก๊งอันธพาลกำลังมองมาอย่างมุ่งร้าย ดูท่าแล้วพวกนั้นน่าจะกำลังเดินไปหาผู้ชายคนนั้น
“อาชญากรรม? มันจะปล้นกันนี่!” เย่เฟิงตาเบิกโพลงจ้องมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างตกใจ พอเข้าใจสถานการณ์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที เย่เฟิงดึงถุงเสื้อผ้าแล้วเร่งเย่ซวง “เจ๊ พวกเรารีบไปกันเถอะ! ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเราจะแย่เอานะ”
ใช่ว่าเย่เฟิงจะเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่สำหรับเราเขาคือคนแปลกหน้า มันไม่ใช่แค่เข้าไปช่วยแล้วเรื่องจะจบ...มันเคยมีข่าวที่คนไปช่วยหญิงชราที่ล้มกลางถนน แล้วดันกลายเป็นคนผิดต้องจ่ายค่าปรับ...จะมีใครคิดเอาเงินที่ตัวเองอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาหลายปีมาใช้เล่นเพื่อช่วยเหลือคนอื่นกันล่ะ?!
เย่ซวงเองก็รู้ว่ามาทำตัวเป็นคนดีตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร กำลังจะถือโอกาสตอนที่พวกนั้นไม่ทันสังเกตเห็นพวกเธอที่อยู่ฝังตรงข้าม หมุนตัวหลบตามน้องชายไป
คิดไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้พวกอันธพาลได้ล้อมรอบรถของหนุ่มขี้เมาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าเขาจะเมาหนักแค่ไหน เขาก็คงพอเหลือสติอยู่บ้าง ในตอนที่พวกอันธพาลกำลังจะลงมือเย่ซวงก็ได้เห็นใบหน้าของผู้ชายโชคร้ายคนนั้นพอดี เค้าโครงใบหน้าที่เผยท่ามกลางแสงไฟสลัว ด้วยความสามารถทางร่างกายที่เปลี่ยนไปนี้ก็ทำให้เย่ซวงจำใบหน้าที่อยู่ห่างไปยี่สิบกว่าเมตรนั้นได้ทันที
“บัดซบเอ๊ย!!!”
เย่ซวงสะบัดมือเย่เฟิงออก ก่อนจะหันไปบอกว่า “นั่นบอสของฉันเอง!”
จะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่ได้เป็นบอสธรรมดาแต่ก็เป็นบอสที่ใหญ่ที่สุด...เย่ซวงอยู่ในสาขาย่อยของบริษัทนั้นและในปีนี้เขาก็ลงมารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการ 'ฟางม่อ'
การศึกษาก็ดี เงินเดือนก็ดี ถือได้ว่าเป็นต้นแบบอัจฉริยะของคนสมัยนี้เลยก็ว่าได้ ที่สำคัญเขายังไม่ได้แต่งงาน...
แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นในสายตาของคนทั่วไป แต่ในสายตาของพนักงานหญิงในบริษัทโดยเฉพาะเย่ซวงนั้น ฟางม่อถือว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอย่างนี้พวกผู้หญิงในบริษัทก็เลยยกให้เขาเป็นหนุ่มน่าตามจับคนหนึ่ง
“บอสของพี่?!” เย่เฟิงก็ตกใจแต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองใบหน้าของเย่ซวงในตอนนี้แล้วก็หันไปมองผู้ชายที่ถูกล้อมอยู่ “...ไม่ต้องไปสนเขาหรอก ยังไงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าพี่เห็นแล้วไม่ช่วยน่ะ!”
อีกอย่างด้วยสภาพของพี่ตอนนี้ จะไปทำงานได้สักกี่วันกันเชียว?!
เย่ซวงไม่พอใจนิดหน่อย ถ้าเป็นคนแปลกหน้าก็ว่าจะปล่อยผ่าน แต่นี่เห็นคนรู้จักกำลังลำบาก ถ้าไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย
“ยังไงก็ไม่ได้!” เย่ซวงคิดดีแล้วก็สั่งเย่เฟิง “แกหลบไปนู่นเลย พี่จะเข้าไปดูสักหน่อย”
“จะไปดูอะไร!” เย่เฟิงกลุ้มใจหนัก เขาไม่ได้กังวลเหมือนเย่ซวง เพราะยังไงเสียคนคนนั้นก็คือคนแปลกหน้าในสายตาเขาอยู่ดี “พี่เป็นผู้หญิงยังจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยคนอีกเหรอ?! เขาดูแลตัวเองได้ ใช้เงินไกล่เกลี่ยกันก็จบแล้ว!”
พวกอันธพาลรู้จักที่จะเลือกสิ่งที่ดีและหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้ตัวเองลำบาก ยังไงเขาก็เป็นคนเหมือนกัน คงจะพอไกล่เกลี่ยกันได้...เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยอมแล้วเรื่องจบ ก็แค่ยอมไป พวกนั้นคงมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้
แต่ถ้าคนนั้นเกิดขัดขืนก็ถือว่าเขารนหาที่ตายเอง คงไม่ต้องให้พี่สาวเขาออกโรงเองหรอกมั้ง?!
ที่เย่เฟิงคิดไว้ไม่ผิด แต่เขาประเมินความโลภของพวกอันธพาลต่ำเกินไป
เย่ซวงที่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไป ฟางม่อถูกพวกอันธพาลบอกให้ทิ้งกระเป๋าเงินไว้...ปกติแล้วมันควรจะจบแบบราบรื่น แต่คิดไม่ถึงว่าพวกอันธพาลนั้นจะย่ามใจ ไม่ยอมแยกย้ายแต่กลับล้อมเขาหนักกว่าเดิม
เย่เฟิงไม่ได้ยินที่พวกนั้นพูดกัน แต่หูของเย่ซวงตอนนี้กลับได้ยินอย่างชัดเจน...
พวกนั้นคิดจะเอากุญแจรถอีกเหรอ?
เงินสดไม่กี่พันไม่สนใจแล้ว มันจะเอารถด้วย ฟางม่อไม่ได้ต่อต้านอะไร ได้แต่นิ่งราวกับดินปั้นที่ไม่มีความรู้สึก
เรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนั้น พวกนั้นมีกันตั้งหลายคน มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย บนถนนเส้นเล็กๆ นี้นอกจากสองพี่น้องแล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย ต่อให้มีก็คงไม่มีใครมาช่วยหรอก
สุดท้ายเย่ซวงก็ทนมองต่อไปไม่ไหวจึงคว้าคอเสื้อเย่เฟิงแล้วลากให้ไปหลบใต้กันสาดร้านค้าใกล้ๆ ส่วนตัวเองก็ถลกแขนเสื้อขึ้น เดินตรงไปยังคนกลุ่มนั้นพร้อมกับพูดว่า “พวกแกคิดจะทำอะไร!”
ฟางม่อและพวกอันธพาลเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจ ทุกคนคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำเรื่องกล้าหาญอย่างนี้ โดยเฉพาะในสถานที่แบบนี้เย่เฟิงแทบจะเป็นลมล้มไป สุดท้ายไม่มีทางเลือกก็ต้องวิ่งตามพี่สาวเข้าไป แต่ก็ถูกเย่ซวงกลอกตามองบนใส่
ในเวลานั้นพวกอันธพาลก็หันมามองใบหน้านิ่งๆ อันหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความโกรธใต้แสงไฟข้างถนน...และเป็นอีกครั้งที่ไม่มีใครเห็นเย่เฟิงที่อยู่ด้านหลัง
หนุ่มหล่อไม่ใช่แค่ใบหน้าที่โดดเด่น ความสูงก็เป็นอีกสิ่งที่โดดเด่น ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตรยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าจะพูดถึงความสูงปกติของผู้ชายในเมืองซานหลินแล้ว ก็แทบจะไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรด้วยซ้ำ พวกเขาจึงถูกข่มด้วยความสูง
เย่ซวงเดินเข้าไปใกล้ๆ บอสของตัวเองก่อนจะคว้าคอเสื้อของฟางม่อเหมือนกับที่คว้าเย่เฟิง และออกแรงผลักไปหาเย่เฟิง จากนั้นก็ใช้กำปั้นบดเข้ากับเสาไฟ
“แกรก”
ทำให้อันธพาล เย่เฟิงและซางม่อต่างตกตะลึง ความแข็งของปูนซีเมนต์นั้นถูกเย่ซวงบดขยี้ออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเต้าหู้ ก่อนจะค่อยๆ ปัดเศษในมือออกพร้อมกับพูดว่า “ใช้ถนนในการปล้นคนอื่นเหรอ?!”
เย่ซวงใช้น้ำเสียงเยือกเย็นพูดออกไปพร้อมกับมองพวกอันธพาลด้วยสายตาเหยียดๆ แล้วอยู่ๆ ขาของพวกอันธพาลก็สั่นขึ้นมาทันที
“อินทรี กรงเล็บอินทรี!” พวกที่คลั่งหนังกำลังภายในพูดขึ้นมา
เย่ซวง “...”
ฟางม่อที่ใกล้จะสร่างเมา เมื่อได้เห็นเงาที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกและได้สติคืนกลับมา