DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 35
ตอนที่ 35
คุณนายเฉิน นามสกุลเดิมคืออัน มีชื่อว่าจื่อหนิง หลังจากที่แต่งงานออกไปก็ได้ใช้นามสกุลของสามี ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าคุณนายเฉิน
หากว่ากันตามธรรมเนียม ที่จริงแล้วเย่ซวงควรจะเรียกเธอว่า พี่อัน ไม่ใช่ พี่เฉิน
ในแวดวงสังคมชั้นสูง พี่อันคนนี้เกือบจะนับได้ว่าเป็นคนดังคนหนึ่งเลยทีเดียว
ว่ากันว่าเธอไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะเสียงร้องดังกังวานยิ่งกว่าเด็กอ้วน ตอนนั้นย่าและพ่อของเธอยืนอยู่หน้าห้องทำคลอด เมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังก้องลอดผ่านบานประตูบานหนาออกมาอย่างชัดเจน ก็พากันยืนยันในทันทีว่าเป็นเด็กผู้ชายแน่นอน ผลคือ...
นอกจากจะออกมาผิดเพศแล้ว วงโคจรชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตของอันจื่อหนิงก็เป็นไปตามที่หญิงชราได้สันนิษฐานไว้
ทั้งนิสัยหุนหันพลันแล่น ไม่สามารถทนต่อสิ่งที่ไม่ยุติธรรมได้ แถมยังชอบทำตามใจตัวเอง แม้ว่าพ่อจะใช้ไม้ไผ่ตีไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลูกสาวของตนได้
สมัยเรียนอนุบาลเด็กชายตัวอ้วนที่นั่งข้างๆ ไม่ชอบแครอทที่อยู่ในอาหาร จึงถือโอกาสตอนที่คุณครูไม่สนใจเททั้งหมดลงไปในชามของอันจื่อหนิง ในเวลาต่อมาก็ถูกอันจื่อหนิงเด็กสาวแสนน่ารักคว่ำชามลงบนหัวอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่ขึ้นชั้นประถม ตัวเองก็ได้รู้ว่าระหว่างเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมีการแบ่งเส้นโต๊ะไม่ให้ล้ำเขตกัน ใครก็ตามที่จะข้ามเส้นเหล่านั้นไป ต่างต้องได้รับการสั่งสอนอย่างรุนแรง อันจื่อหนิงเคยข้ามเส้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจครั้งหนึ่ง จึงโดนเพื่อนผู้ชายที่นั่งโต๊ะเดียวกันดึงผมเปียเป็นการเตือนไป หลังจากที่ตื่นนอนกลางวัน ทุกคนในห้องรวมทั้งคุณครูประจำชั้นต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กชายคนนั้น ผมของเขาถูกโกนจนแหว่ง....เห็นได้ชัดว่าคนที่โกนผมในตอนนั้น ทั้งไม่มีฝีมือ และยังไม่โตพอ
ต่อมาตอนอยู่มัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย... อันจื่อหนิงได้แบกรับชื่อที่มีความหมายว่า สุภาพที่คนในครอบครัวตั้งให้ด้วยความหวังดีไว้ แต่ด้วยลักษณะท่าทางกล้าหาญมุทะลุของเธอ ทำให้เธอมีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงในเรื่องของความแข็งแกร่ง
เนื่องจากตระกูลอันมีอิทธิพลมาก รวมทั้งเธอยังไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายอย่างพวกลูกคนรวยคนอื่นอีกด้วย ดังนั้นคนในแวดวงคนชั้นสูงจึงทำเป็นหลับหูหลับตาทำเป็นไม่เห็นข้อเสียของเธอ จนสุดท้ายก็ได้แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน...
พูดกันตามจริงแล้ว การที่สามีเลี้ยงดูเมียน้อยนอกบ้าน ถือเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้บ่อยในแวดวงสังคมชั้นสูง
ถ้าให้คนอื่นพูดล่ะก็ เรื่องแบบนี้จะผ่านไปอย่างคลุมเครือ ทั้งนี้ทั้งนั้นการแกล้งทำเป็นไม่รู้ย่อมมีผลดีกว่า ทุกคนเกี่ยวดองกันได้ก็เพราะการแต่งงาน ไม่ใช่เพื่อสร้างศัตรู ถ้าหากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเสียหมด ก็คงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
แต่อันจื่อหนิงไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น เธอรู้ดีว่าเพื่อการปรองดองของทั้งสองบ้าน เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยผ่านไป แต่ปัญหาคือ พื้นฐานของเธอมันแตกต่างจากคนอื่นมาก
ดังนั้นเธอจึงยังคงรักษาการแต่งงานที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ให้คงอยู่ต่อไปได้ และยังแสดงให้เห็นว่าสุดท้ายแล้ว ตนกับตระกูลเฉินก็ไม่ได้ตัดขาดกันเพราะเรื่องนี้ แต่ว่า... การจับชู้ให้ได้ก็ยังจำเป็นอยู่ จะให้ทำเป็นหูหนวกตาบอดคงไม่ได้
ในเมื่อกล้าที่จะมีเมียน้อย เมื่อถูกคุณนายจับได้ก็ต้องกล้ารับผลที่จะตามมา
...อันจื่อหนิงชอบเด็กสาวแบบเย่ซวงมาก
ไม่ใช่อะไร แต่เป็นความสามารถที่สอดคล้องกับรสนิยมของเธอมาก จิ้งจอกขี้ขโมยที่ภายนอกอ่อนปวกเปียกแบบนั้นมีดีตรงไหน?! ผู้หญิงถ้าถึงเวลาต้องทำก็ไม่แพ้พวกผู้ชายหรอก
หลังจากนั้นก็รีบเอาโฉนดที่ดินกับบัตรประชาชนของเมียน้อยส่งให้กับฟางม่อไปตามขั้นตอน จากนั้นก็คว้าไหล่ของเย่ซวงไว้ กะว่าจะตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการพาไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย จึงพาตรงไปบนถนนสายช้อปปิ้ง ตามหลังมาด้วยพวกที่มาช่วยจับสามี X และหญิงสาว O เพื่อเลี้ยงฉลองกัน ส่วนคุณชายเฉินและเมียน้อยก็ไม่กล้าทำอะไรอีก
ฟางม่อที่ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ได้แต่มองดูผู้หญิงมีเงินพวกนั้นเดินเชิดหน้าไป เดิมทีน้องสาวคนนี้ที่เป็นแฟนเพื่อนของตนก็มีพลังอยู่มากทีเดียว หากรวมเข้ากับแม่เสือที่แข็งแกร่งแห่งตระกูลเฉินแล้วล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน... แต่เขามีจุดยืนและความสามารถจะยับยั้งเรื่องนี้เหรอ?! ดูเหมือนว่าจะไม่มี คงทำได้เพียงแค่ปล่อยไป เอาเป็นว่าครั้งหน้าบอกเสี่ยวซวงหน่อยก็แล้วกัน
ฟางม่อจากไปอย่างไม่สบายใจนัก ส่วนเย่ซวงที่ไม่ต้องไปทำงานก็ว่างอยู่ ในขณะที่รอให้บ้านและที่ดินนั้นมาอยู่ในกำมือ ก็กะว่าจะไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ยังไม่ได้กินข้าว?!”
หลังจากที่ได้ยินเย่ซวงพูด อันจื่อหนิงก็รู้สึกประหลาดใจทันที “ไม่ได้กินข้าวแล้วทำไมเธอถึงดูคึกคักนักล่ะ? เพื่อจะได้มีแรงมาต่อล้อต่อเถียง ก่อนมาที่นี่พวกเราก็รู้ว่าจะต้องกินให้อิ่มมาก่อน”
“…” เย่ซวงเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เพิ่งจะส่งแฟนกลับก็บังเอิญเจอเข้ากับพี่ฟาง แล้วก็ได้ยินเรื่องที่เขาคุยทางโทรศัพท์พอดี ตอนนี้ฉันกำลังหาห้องอยู่ จึงไม่อยากเสียโอกาสไป...พี่อย่าถือสาเลยนะ!”
“ไม่เห็นมีอะไรน่าถือสา!” อันจื่อหนิงโบกมือเบาๆ อย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วพูดขึ้นมาตรงๆ ว่า “เป็นเรื่องปกติของคนเราก็เท่านั้น อีกอย่างต่อให้เพิ่มเงินก็ต้องขายห้องนี้ออกไปให้ได้ ไม่ใช่แค่เธอนะ ยังมีคนอื่นอีก...ให้คนของตัวเองยังดีกว่าให้คนนอก”
“แหะๆ พี่อันสุดยอดไปเลย” นี่เธอเป็นคนของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่?!
“แต่เฟอร์นิเจอร์ก็ถูกเราทำพังไปไม่น้อยเลย” อันจื่อหนิงคิดแล้วคิดอีกก่อนจะพูดต่อว่า “กำแพงเอย พื้นเอย คิดว่าคงต้องรื้อทำใหม่ยกใหญ่ ยังดีที่เรามีเวลาเตรียมตัวไม่มาก ไม่อย่างนั้นฉันคงจะหยิบเครื่องไม้เครื่องมือมาขุดท่อน้ำด้วยแล้ว...” ตอนแรกคิดว่าจะทำลายบ้านของจิ้งจอกขี้ขโมยให้เละตุ้มเปะ คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผัน...
หลังจากที่เย่ซวงได้ฟังประโยคนี้ก็หมดคำพูด สมัยก่อนเวลาคนเขาไปจับชู้กันก็มีด่าทอและทำลายข้าวของกันมากมาย แต่เธอยังไม่เคยเจอคนเด็ดขาดเท่าอันจื่อหนิงเลย
อันจื่อหนิงเองก็เสียดายอยู่บ้าง แต่คิดไปคิดมาก็ตาสว่างและฮึกเหิมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไร เมื่อกี้เธอก็ได้ช่วยเจ้าผู้ชายมักมากนั่นไว้ด้วยนี่! เขาเองก็ต้องตอบแทนบุญคุณเหมือนกัน กลับไปฉันจะให้เขาจ่ายค่ารื้อเฟอร์นิเจอร์ครั้งนี้เอง”
“...” คนของตัวเองอย่างนั้นสินะ...
เย่ซวงยิ้มเยาะก่อนจะพูดขอบคุณไป ก็เหมือนกับที่อีกฝ่ายพูด ยังไงเธอก็เคยช่วยเขาเอาไว้ เดิมทีคนพวกนี้ออกเงินแค่เล็กๆ น้อยๆ คงไม่ติดใจอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะได้แบบแต่งครบเลย ถ้าอย่างนั้นที่เธออยู่ที่นี่ก็เพื่อเรียกร้องขอความยุติธรรมเหรอ?!
แต่ว่า... “พี่อันพูดแบบนี้หมายความว่า พี่ได้ยินข่าวแล้วก็รีบรวมกำลังคนตรงมาหาเลยสินะ?!” จากนั้นเย่ซวงก็ถามต่อว่า “พี่ก็เลยไม่เช็กก่อนเลยเหรอ?! ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะ”
อันจื่อหนิงกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เด็กโง่ นั่นน้องชายฉันบอกเองเลยนะ มันยังมีเรื่องโกหกอีกเหรอ?!”
“แหะๆ ...” เย่ซวงเงียบปากลง
เรื่องของคนรวยกับคนธรรมดานี่มันต่างกันจริงๆ ถ้าเป็นตัวเองมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วเย่เฟิงรู้ข่าวลือก่อนล่ะก็ เจ้าหมอนั่นต้องใช้หมัดมาช่วยแก้แค้นให้ตัวเองเป็นแน่ คงไม่เอาเรื่องนี้มาบอกให้ตัวเองกังวลใจหรอก
มองย้อนกลับไป ถ้าน้องชายคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งคู่ คงไม่ทำอะไรขาดความรอบคอบแบบนี้ ทำไมต้องไปบอกพี่สาวนิสัยไม่ดีด้วยล่ะ?! หลังจากที่บอกแล้วก็ยังไม่มีการห้ามปราบและดูแลอีกฝ่ายเลย
น้องชายคนนี้มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าพี่สาวของตนจะไม่เสียเปรียบ?! หรือว่าเขาต้องการให้อีกฝ่ายหน้าหงาย?!
แค่คิดปุ๊บ เสียงโทรศัพท์มือถือของอันจื่อหนิงก็ดังขึ้น พอเธอยกขึ้นมารับ เสียงของฝ่ายตรงข้ามที่ดูมีอายุเล็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความโกรธก็ดังขึ้นมา “อันจื่อหนิง ได้ข่าวว่าเธอพาใครไปทำให้เฉินเหอลำบากใจอย่างนั้นเหรอ?!”
ได้ข่าวว่า?! ได้ยินใครพูดกัน?!
ดูมีลับลมคมในแฮะ...
เย่ซวงก้มหน้าลงเงียบๆ และยืนห่างออกไปเล็กน้อย พร้อมกับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าตนนั้นไม่ได้ยินอะไร