DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 30
ตอนที่ 30
หลังจากเสียเวลาไปทั้งวัน คุณยายหลัวที่พาเย่ซวงกลับมาที่บ้านก็มีท่าทางสับสนและนิ่งเงียบไป
คุณนายเย่จับด้ามตะหลิวคิดมาครึ่งค่อนวัน แต่ก็งงงันคิดไม่ออกว่านี่หมายถึงพอใจหรือไม่พอใจกันแน่ จึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ออกมา “แม่ พวกแม่ออกไปเที่ยวกันมาทั้งวันเป็นยังไงบ้างคะ?!”
แม่คิดยังไงกับว่าที่หลานเขยคนนี้คะ?!
พูดออกมาให้ชัดๆ นะคะแม่...
คุณยายหลัวกวาดตามองเย่ซวงและหัวเราะเยาะอยู่เงียบๆ จากนั้นจึงมองมาที่คุณนายเย่ “...ช่างเถอะไม่ต้องพูดแล้ว” พูดมากเดี๋ยวน้ำตาจะไหลเสียก่อน
คุณยายอยู่มานานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกภูมิใจและขายหน้าในเวลาเดียวกัน คุณยายหลัวจะไม่ขอกลับไปเหยียบสมาคมศิลปะประจำจังหวัดที่ทั้งน่าเศร้าและน่าโมโหอีกเลย
แต่หากตัดเรื่องนี้ออกไป วันนี้คุณยายหลัวก็มีความประทับใจต่อเย่ซวงเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนเมื่อวานที่เพิ่งเจอกัน ตอนแรกคิดว่าความยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่มคนนี้มันเกินจริงไปหน่อย โดยเฉพาะหน้าตาที่คล้ายกับพวกแบดบอย...คงยากที่จะสนิทกันได้!!
คุณนายเย่กับเย่ซวงสบตากัน แล้วทั้งคู่ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
คุณยายหลัวกวาดสายตามาก็เห็นท่าทางของสองคนนี้ จึงเงียบไป “เอาเถอะ เรื่องของเด็กมันฉันขอไม่ออกความเห็น ให้พวกเขาคิดเอาเองเถอะ...แล้วน้องของเธอไปซื้อตั๋วกลับมาหรือยัง?”
ในที่สุดคุณนายเย่ก็สบายใจได้สักที ได้ยินคุณยายหลัวพูดแบบนี้เหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีก็ดี จึงรีบหัวเราะตอบกลับไป “ซื้อเสร็จนานแล้ว ก่อนหน้านี้ยังโทรมาบอกอยู่เลยว่าจะซื้อของกินเล่นอะไรสักหน่อย ไว้ติดไปกินตอนนั่งรถไฟ”
“งั้นก็ดี วันนี้เสี่ยวเย่ก็อยู่กินข้าวด้วยกันสิ บอกเองไม่ใช่เหรอว่าพรุ่งนี้เธอต้องรีบไป กินข้าวเสร็จก็รีบกลับไปพักผ่อนเสีย ยายจะไม่ขอให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
คำพูดของคุณยายหลัวเมื่อกี้เท่ากับว่า ว่าที่หลานเขยคนนี้ได้ผ่านการทดสอบแล้ว ต่อจากนี้จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นลูกเขยแบบทางการได้หรือไม่ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของหนุ่มสาวแล้วกัน เธอจะไม่เข้าไปยุ่งแล้ว
แม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยมากก็ตาม แต่ก็นับได้ว่าจัดการปัญหากับญาติฝ่ายนั้นได้แล้ว
อีกอย่างเรื่องที่น่าดีใจอย่างไม่คาดคิดก็คือ หลังจากที่คุณยายหลัวได้เห็นหน้าแบบนี้ของเย่ซวงด้วยตาตัวเองแล้ว ข้อเสนอของโอวเชี่ยนหรูก็คงจะต้องโดนปฏิเสธไปอย่างแน่นอน
อย่างแรกคือตัวเด็กเองก็ไม่ได้อยากเป็น ยังเรียนปริญญาโทอยู่ ฟังแล้วก็ดูมีอนาคต แล้วทำไมผู้ใหญ่จะต้องทำลายมัน ด้วยการเอาเหตุผลของตัวเองมาบังคับให้คนอื่นเข้าวงการบันเทิงด้วยล่ะ?!
ยังไม่ต้องพูดถึงเบื้องหลังในวงการนั้น แม้ว่าเส้นทางจะสดใสราบรื่นก็จริง หากตัวเด็กไม่ได้สมัครใจไป คนอื่นจะช่วยตัดสินยังไงก็ไร้ประโยชน์
อย่างที่สองก็คือความเห็นแก่ตัวของคุณยายหลัวเอง ด้วยรูปร่างหน้าตาแบบนี้ของว่าที่ลูกเขยก็ง่ายที่จะมีกิ๊กได้แล้ว ถ้ายังจะให้ส่งเข้าไปในวงการบันเทิงอีก...แล้วไปได้ดาราสาวสวยกลับมา หรือว่าไปเป็นเด็กเจ๊อะไรแบบนั้นล่ะ อย่างนั้นหลานสาวของตัวเองจะไม่เสียใจตายเหรอ?!
แล้วหญิงชราก็สั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้ตัดเรื่องนี้ออกไป แล้วถือโอกาสบอกโอวเชี่ยนหรูไปว่าพวกเราไม่ได้ดูถูกความคิดส่วนตัวของเธอ แต่หากตัวเด็กเองไม่มีความคิดแบบนี้ก็อย่าไปบังคับเขาเลย
โอวเชี่ยนหรูนับว่าเป็นคนกตัญญู เชื่อฟังผู้ใหญ่ ถึงแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก รีบตอบรับตกลงอย่างง่ายดาย ทำให้ความลำบากใจของเย่ซวงหายไปในที่สุด...
...
“คุณเย่ซวง?”
วันต่อมาหลังจากเปลี่ยนกลับมาเป็นผู้หญิงที่โรงแรมแล้ว บทเรียนจากครั้งที่แล้วทำให้เธอเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาเปลี่ยนด้วย เย่ซวงถือเสื้อผ้าผู้ชายเดินไปบนถนนเตรียมตัวที่จะกินข้าวเช้าก่อนกลับบ้าน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างลังเลมาจากข้างหลัง
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นบอสฟางม่ออยู่ในชุดออกกำลังกายออกมาวิ่งในตอนเช้าตรู่
“อรุณสวัสดิ์พี่ฟาง” เย่ซวงตอบรับคำทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ตอนแรกฟางม่อกลัวว่าจะทักผิด แต่เมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามามองก็โล่งใจ ยังไม่ทันที่เขาจะวิ่งเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากทักทายเขาก่อน ทำให้เขางงไปนิดหน่อย ‘พี่ฟาง?!’
“!!!”
ไม่ใช่สิ เย่ซวงร่างผู้หญิงไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้นนี่!!!
เย่ซวงตอบกลับอย่างรวดเร็ว ใบหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปเป็นการเคารพทันที “ขอโทษค่ะ ฉันเรียกผิด เอ่อ...เจ้านาย?!”
เรียกอย่างนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูก ตอนนี้เธอก็ลาออกแล้วนี่นา อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราสองคนมันเป็นแบบไหนกันแน่?! คนรู้จัก?!
และแล้วเย่ซวงก็คิดถึงปัญหานี้อย่างเคร่งเครียด ตัวตนทั้งสองของตัวเองไม่สามารถออกมาพร้อมกันได้ อาจจะเป็นเพราะว่าอีกร่างสนิทกันก็เลยรู้สึกสนิทไปด้วย...แบบนั้นหากเย่ซวงหนึ่งเจอกับคนรู้จักของเย่ซวงสองควรจะต้องทำตัวยังไงล่ะ?!
ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนิทนี่ลำบากใจจริงๆ จะเรียกแบบที่ตัวเองคุ้นเคยก็คงจะไม่น่าฟังเท่าไร โดยเฉพาะเวลาที่เป็นผู้หญิงก็ควรจะต้องรักษาระยะห่าง...
ขณะที่เย่ซวงกำลังสับสน สติของฟางม่อก็ได้กลับคืนมาแล้ว เขากลั้นยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่เป็นไรครับ...คุณเรียกผมว่าพี่ฟางตามเสี่ยวเย่ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“แหะๆ ...” เย่ซวงเกาหัว ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เพราะตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
เย่ซวงไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องนี้ จึงรีบเปลี่ยนบทสนทนา “พี่ฟางเรียกฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?!”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ฟางม่อเดินเข้ามาใกล้ๆ เย่ซวง พร้อมกับคว้าผ้าขนหนูที่พาดคอขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ลมหายใจอุ่นๆ หลังจากออกกำลังกาย ทำให้อุณหภูมิรอบข้างเย่ซวงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย “เมื่อวานได้ยินมาว่าเสี่ยวเย่ต้องไปวันนี้ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าจะมาส่งเขาซะหน่อย แต่โทรไปแล้วไม่มีคนรับสาย...แล้วบังเอิญมาเจอคุณพอดี ผมเลยอยากจะถามว่าเขาจะไปกี่โมง? ถ้ายังพอมีเวลา พวกเราไปกินข้าวกันก่อนสักมื้อไหม”
กินข้าว?! พวกเรา?!
เย่ซวงกะพริบตาปริบๆ แล้วทำหน้าเสียดายพูดไปว่า “คงจะต้องปฏิเสธน้ำใจของพี่ฟางม่อแล้ว ตอนนี้เขาไปแล้วค่ะ”
“ไปแล้ว?” ท่าทางที่กำลังเช็ดเหงื่ออยู่ ตกตะลึงไป “แต่ว่าทำไมไปเช้าแบบนี้ล่ะ แล้วเมื่อวานเขาก็ไม่รับสายผมอีก...” พูดไปได้ครึ่งเดียวก็นิ่งเงียบไป สายตาของฟางม่อเหลือบลงมามองข้างล่าง
เย่ซวงมองตามสายตาของอีกฝ่าย...
บ้าเอ๊ย!!!
“เสื้อผ้านี่...”
เย่ซวงอยากจะร้องไห้ออกมา ทำไมทุกครั้งที่เธอถือเสื้อผู้ชายจะต้องมีคนมาเห็นนะ?! “ถ้าฉันบอกว่ามันเป็นเสื้อที่เขาเปลี่ยนเมื่อวานแล้วให้ฉันเอากลับไปซักที่บ้านคุณจะเชื่อไหม”
“...” ฟางม่อเงยหน้าขึ้นมองเย่ซวงเงียบๆ พักใหญ่ หลังจากนั้นสายตาก็มองไปที่ตึกสูงตระหง่านตาด้านหลังเธอ บนบานประตูใหญ่มีป้ายตัวหนังสือสีทองกำลังส่องแสงสว่างในยามเช้าเขียนว่า ‘โรงแรม XX’
เย่ซวงหันกลับไปมองตาม วินาทีที่ได้เห็นป้ายนั้น น้ำตาก็แทบจะไหลออกมา