DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 29
ตอนที่ 29
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ลายมือบ่งบอกนิสัยของคนเขียน
เพราะนักเขียนมีนิสัยที่แตกต่างกัน ดังนั้นตัวอักษรที่เขียนออกมาจึงมีสไตล์การเขียนที่แตกต่างกันออกไปไม่มากก็น้อย
มีทั้งคนที่เขียนแบบตามใจตัวเอง มีทั้งคนที่เขียนแบบเรียบง่าย และก็มีคนที่เขียนแบบอลังการ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะมีนักเขียนพู่กันจีนที่แปลกใหม่หรือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาเท่าไร แต่ทว่ายังไม่มีคนที่สามารถเขียนออกมาได้...เหมือนเปี๊ยบ?!
ใช่แล้ว เหมือนเปี๊ยบยังไงล่ะ!
ในตอนที่เย่ซวงนำพู่กันจุ่มลงในหมึก ก็ไม่ได้มีท่าทางการเขียนลื่นไหลคล่องแคล่วเหมือนอย่างนักเขียนพู่กันทั่วไป แต่กลับดูเหมือนกำลังทำการทดลองที่ต้องใช้ทั้งความถูกต้อง แม่นยำ และพิถีพิถัน...
เวลาที่คนอื่นใช้พู่กันเขียนตัวอักษรก็คือการคัดลายมือ ส่วนเย่ซวงแค่ใช้พู่กันเขียนตัวอักษรออกมาได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว
อันที่จริงแล้ว นั่นเป็นการร่างภาพมากกว่า
ในสมองของเย่ซวงได้ทำการแบ่งกระดาษเขียนพู่กันออกเป็นเส้นแนวตั้งแนวนอนจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็เอาตำแหน่งของตัวอักษรทุกขีด ทุกเส้น แม้กระทั่งจุดสีดำหนึ่งจุดจากกระดาษต้นแบบ คัดลอกมาไว้ที่กระดาษอีกแผ่นในตำแหน่งเดียวกัน
ให้พูดตรงๆ ก็เหมือนกับที่ฟางม่อประเมินนั่นแหละ จริงๆ แล้วนี่เป็นเหมือนกับการพิมพ์อย่างหนึ่ง
เพียงแต่การพิมพ์ของเย่ซวงนั้นยุ่งยากกว่าหน่อย เครื่องพิมพ์ของคนทั่วไปคือการพิมพ์ออกมาด้วยแท่งแปรง แต่ของเธอใช้แปรงเขียนออกมาตามลายมือทีละตัว...
การทำแบบนี้ต้องใช้การทำงานของสมองที่ว่องไวอย่างต่อเนื่อง จึงต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจึงต้องใช้สมาธิมากเป็นพิเศษ มิน่าล่ะฟางม่อและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ ถึงได้ดูอึ้งไป
ถ้าหากตอนนี้มีคนเอาแผ่นที่เธอเขียนกับต้นฉบับเดิมมาวางเทียบกัน ก็จะเห็นได้ว่าอันนี้กับต้นฉบับอันเดิมเอามาซ้อนทับกันได้อย่างพอดี
เมื่อเย่ซวงถ่อมตัวขอคำแนะนำออกไป ฟางม่อก็เงียบทันที ส่วนชายชราอีกไม่กี่คนก็หัวเราะออกมา
“...อัจฉริยะอายุน้อย” ชายชราคนหนึ่งที่เงียบอยู่นานได้พูดออกมา ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ ทำให้เธอต้องพูดทำลายความเงียบนั้น “งั้นคุณปู่เขียนตัวอักษรให้ผมดูหน่อยนะครับ”
เย่ซวงเดินออกจากข้างโต๊ะไปอย่างว่าง่าย เพื่อหลีกทางให้คุณปู่เดินเข้ามา หลังจากนั้นคุณปู่ก็ก้มหน้ามองกระดาษ
ให้ตายสิ!
นี่มันคล้ายกันเลยนี่!!
สายตาที่กำลังรอคำชมของเย่ซวง ทำให้ชายชราทำตัวไม่ถูกและรู้สึกลำบากใจ “...รูปร่างของตัวอักษรถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ดูท่าแล้วพ่อหนุ่มน่าจะตั้งใจฝึกฝนมาพอสมควร”
แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เขียนครั้งแรกก็ถูกชมซะแล้ว...เย่ซวงฉีกยิ้มกว้าง หนุ่มหล่อรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที “ท่านชมผมเกินไปแล้ว”
“...”
เด็กที่เขียนได้เสมอต้นเสมอปลายแบบนี้พบเห็นได้ยาก ชายชราอยากจะแนะนำเพิ่มเติมก็รู้สึกพูดยากนิดหน่อย แต่ถ้าไม่พูดก็คงจะอัดอั้น และรู้สึกผิดกับตัวเอง ดังนั้นเขาจะพูดเพื่อเป็นการแนะนำคนรุ่นน้อง จึงได้พูด ‘ประโยคขัดแย้ง’ ออกมา “ถึงแม้ว่ารูปร่างของตัวอักษรนี้จะใช้ได้ แต่ที่เธอเขียนออกมามันดูแข็งทื่อไปหน่อย แล้วก็ขาดความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองไป”
“...”
ความคิดสร้างสรรค์ เรื่องที่คลุมเครือขนาดนี้...
เย่ซวงเงียบไป “...ช่วยเปลี่ยนวิธีพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ได้ไหมครับ?”
ชายชราก็เงียบไปเช่นกัน แล้วทำหน้าเหมือนคนท้องผูกที่อยากจะด่าออกมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะด่าออกมายังไงดี “...พูดง่ายๆ ก็คือยังมีปัญหาเรื่องการลงน้ำหนักมือ ทุกคนมีลายมือที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ตัวอักษรของบางคนมีความหมายที่ลึกซึ้ง ตัวอักษรของบางคนมีความประณีตงดงามราวกับดอกไม้ที่ปักไว้บนเส้นผม ส่วนบางคนกลับดูมีพลัง...ลองดูตัวอักษรตัวนี้ หากดูแค่รูปร่างอย่างเดียวอาจดูเหมือนกัน แต่ตัวอักษรของต้นฉบับตวัดปลายอักษรได้อย่างสวยงาม และลงน้ำหนักได้อย่างดี เห็นได้ชัดว่าดูทรงพลัง แต่ตัวอักษรของเธอ...”
มันดูอ่อนปวกเปียกเกินไป
ชายชราก็รู้ว่าจะต้องไว้หน้ารุ่นน้องกันบ้าง บวกกับพ่อหนุ่มนี่น่าจะผ่านการฝึกเขียนมาบ้าง การที่เขียนได้เหมือนขนาดนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้แล้ว
เพื่อไม่เป็นการทำร้ายจิตใจกันมากเกินไป ชายชราจึงกลืนคำพูดสุดท้ายนั้นลงคอไป แต่ถึงยังไงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็เข้าใจสิ่งที่ชายชราต้องการจะสื่อทั้งหมด
น่าเสียดายที่ถึงแม้ชายชราจะหวังดี แต่จะเสียก็ตรงที่เย่ซวงเป็นคนเข้าใจอะไรยาก...หากไม่พูดเรื่องนี้กับเธอตรงๆ เธอก็คงจะไม่เข้าใจความหมาย
ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือว่าจะโง่จริงๆ ยังไงสถานการณ์ก็เป็นแบบนี้แล้ว เย่ซวงจึงครุ่นคิดตามคำใบ้ของชายชรา และมองไปที่ส่วนสำคัญ จากนั้นจึงเริ่มเอาตัวอักษรทั้งสองแผ่นมาเทียบหาความต่าง
ลงน้ำหนักได้อย่างดี?!
หมายความว่าตัวเองต้องลงน้ำหนักให้มากขึ้นใช่ไหม?!
ใช้แรงมากสีหมึกก็จะยิ่งเข้มสินะ มิน่าล่ะสีตัวอักษรของต้นฉบับถึงได้ดูเข้มกว่าของตัวเอง
หมายความว่าอย่างนี้สินะ?!
ชายชรากำลังรอให้เด็กคนนี้รู้สึกตัวอยู่ แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้ฉลาด แต่ก็ไม่ได้โง่ไปซะทีเดียว หากเข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด ตอนหลังเดี๋ยวไปโม้...ไม่สิ ตอนหลังเดี๋ยวไปคุยกับเพื่อนเก่าจะได้เอาไปเล่าได้ และแล้วเย่ซวงก็เข้าใจได้ตามที่คาดไว้ จึงก้มหัวลงไปแก้ตัวอักษรใหม่อีกรอบและเริ่มวิเคราะห์ความเข้มอ่อนของตัวอักษร...
ตัวนี้จะต้องเติมลงไปอีก ตัวนั้นจะต้องวาดเพิ่มไปอีก เขียนทับลงไปบนตัวอักษรให้ดูเข้มขึ้น ราวกับดูออกว่าคนเขียนลงแรงหนักเบาเปลี่ยนไปตรงไหนบ้างอย่างนั้น
หลังจากนั้นเพียงสิบนาที เย่ซวงก็ได้ทำการแก้ไขจนเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเชิญชายชราที่เคารพมาชมผลงานอีกครั้ง
ชายชราเงียบแล้วก้มหัวดูอีกครั้ง...
ลงน้ำหนักได้อย่างดี
ดูทรงพลัง และทรงอานุภาพ...กับผีน่ะสิ!!!
ชั่วพริบตาเดียวความคิดของชายชราที่มีต่อเย่ซวงก็ได้เปลี่ยนไป