DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 28
ตอนที่ 28
เย่ซวงแค่รู้ว่าวันนี้คงไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้
เธอไม่รู้เลยว่าผู้ใหญ่บ้านเย่จะโหดร้ายกับว่าที่เขยคนใหม่ไปถึงขั้นไหน หลังจากฟางม่อที่ได้เตรียมใจไว้แล้วได้ยินน้ำเสียงของเย่ซวงที่หงอยลง คุณยายหลัวจึงพูดออกมาเล่นๆ ว่า “งั้นเสี่ยวเย่ลองมาเขียนหน่อยสิ ได้ยินเสี่ยวเฟิงบอกว่าเธอวาดภาพและเขียนอักษรได้อย่างดี”
“!!!”
ไอ้เด็กนั่นเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?
น้ำตาของเย่ซวงแทบจะไหลออกมาทันที ดูแลเย่เฟิงมาตั้งหลายปี ไม่คิดเลยว่าจะทำกันได้ลงคอ
คุณยายขาได้โปรดปล่อยหนูไปเถอะ เราครอบครัวเดียวกันจะมาทำร้ายกันเองทำไม...
ฟางม่อเกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่โชคดีที่ยกมือขึ้นมาปิดปากได้ทัน แล้วแสร้งทำเป็นไอออกมาเบาๆ ไม่ใช่ว่าเขาใจแคบ แต่เมื่อเห็นเพื่อนที่หน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติของตัวเองทำหน้าไม่พอใจก็อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้
ท่าทางตกใจเหมือนกับโดนฟ้าผ่าลงมายังไงอย่างนั้น
คุณยายหลัวที่ถูกสายตาไม่พอใจของเย่ซวงมองมาก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
เหมือนกับซวงซวงหลานสาวของเราที่ชอบทำหน้าตาแบบนี้เวลาไม่พอใจเลย...โอ้ แม้ว่าศิลปะจะไม่เหมือนกับที่โม้ไว้ แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดกับเด็กคนนี้จริงๆ ...
หลังจากคิดได้แบบนี้แล้ว คุณยายหลัวก็จะไม่คิดจะเล่นแง่อะไรให้มากมาย กะว่าจะแค่พูดกระตุ้นก็พอ ก่อนจะลากน้ำเสียงออกมาเชื่องช้า “ไม่เป็นไรจ้ะเสี่ยวเย่ เขียนอะไรออกมาสักสองตัวก็พอ พอดีว่าผู้อาวุโสของสมาคมศิลปะประจำจังหวัดก็อยู่ ให้พวกเขามาชี้แนะเธอดูดีไหม?!”
คุณยายหลัวยังนับว่าใจกว้าง แต่จริงๆ แล้วเธอก็กำลังคิดอยู่ว่าในเมื่อเย่เฟิงกล้าคุยโม้ขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าที่ลูกเขยจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรจริงๆ แต่อย่างน้อยแค่เขียนตามก็คงจะพอได้นั่นแหละ
ฟางม่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็กวาดสายตาไปด้านข้าง มองเห็นชายชราที่ดูคุ้นตาหลายคนยืนอยู่ไม่ไกล ดูท่าแล้วเมื่อกี้น่าจะอยู่ในห้อง ตัวเองจึงไม่ทันสังเกตเห็น แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมารวมตัวกันในวันนี้ได้
และ ‘คุณยาย’ คนนี้ก็ดูสวยสง่างามจริงๆ ถึงได้ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถตีสนิทกับคนเบื้องบนได้แล้ว?!
*ขอคำแนะนำได้...*ดูท่าคนยิ่งแก่ยิ่งมากประสบการณ์จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
ความคิดของฟางม่อสับสนไปหมด จึงไม่ทันเห็นสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือของเย่ซวง
คุณปู่เจ้าของร้านพิงอยู่ที่โต๊ะตัวยาวและกำลังลูบเคราอยู่ ได้มองมาที่เธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนด้านข้างก็มีคุณยายหลัวที่ยืนจ้องมองตาเป็นมันอยู่ ขณะที่เย่ซวงกำลังจับพู่กันก็รู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาดื้อๆ ...
“ดูการจับพู่กันของเธอแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว” พวกคุณปู่ทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ พูดติดตลกกับคุณยายหลัว และทำท่าชี้วิจารณ์เย่ซวง “พี่สาว เด็กนี่ฝึกมากี่ปีแล้ว? สมัยนี้มีเด็กไม่มากนักที่จะทำใจให้สงบได้แบบนี้ มีแค่พวกสูงวัยนี่แหละที่ทำได้ พวกเราก็หวังว่าจะใช้ทั้งชีวิตถ่ายทอดต่อไป...วางใจเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะแนะนำเด็กคนนี้เอง”
เย่ซวงเหงื่อไหลออกมาไม่ขาดสาย ท่าทางไม่ค่อยสู้ดีนัก ตอนนี้ร่างกายของเธอมีความสามารถในการประสานงานอย่างมหาศาล เพียงแค่มองการเคลื่อนไหวครั้งเดียวก็สามารถเลียนแบบได้แล้วแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าต้องขอบคุณยีนที่เพิ่มประสิทธิภาพนี้...แต่ปัญหาคือในความทรงจำที่ได้มาจากมนุษย์ต่างดาว กลับไม่มีเทคนิคการเขียนพู่กันอยู่เลย ต่อให้ร่างกายจะประสานกันแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือวัฒนธรรมบนพื้นโลก!
ไม่รู้ว่าเขียนออกมาแล้วจะใช้ได้ไหม ถ้าพวกคุณปู่เผลอล่ะก็ เธอจะรีบเดินไปหยิบสมุดลอกแบบ แล้วออกไปสแกนข้างนอกมาหนึ่งชุด
ก็แค่เงินหยวนเดียว
...
เดี๋ยวก่อน สแกนเหรอ?!
เย่ซวงที่โดนจ้องจนสติเตลิดเปิดเปิงก็มีสายตาเป็นประกาย ในที่สุดก็เจอทางสว่างแล้ว
พวกชายชราที่อยู่ข้างๆ มองเย่ซวงที่กำลังยืนสะบัดตัวไปมาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นก็พบว่าสายตาของเด็กนี่มีชีวิตชีวาขึ้นมา ก่อนจะสงบอารมณ์ใหม่อีกรอบ แล้วยิ้มตาพริ้มรอเย่ซวงลงมือเขียน
และแล้วเย่ซวงก็สงบจิตสงบใจลง พลันหันสายตาไปทางสมุดลอกแบบ แล้วสมองก็ทำงานด้วยความเร็วในทันที ก่อนจะเริ่มวิเคราะห์ความเล็กใหญ่ของกระดาษ แล้วเริ่มวางเค้าโครงตัวอักษร อย่างเช่น...
เมื่อฟางม่อได้สติกลับคืนมาก็สังเกตเห็นใบหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเย่ซวง ก่อนหน้านี้เขากำลังคิดหาวิธีช่วยชีวิตเพื่อนอยู่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดปากพูด เย่ซวงก็ได้เริ่มลงมือเขียนเสียแล้ว
เย่ซวงจุ่มหมึก ตวัดพู่กัน และจรดปลายพู่กันลงไป...น่าแปลกใจ!
เพียงแค่เย่ซวงขยับพู่กัน เกือบทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจกันไปหมด
ความรู้สึกอึดอัดใจนี้ไม่ใช่เพราะตัวหนังสือที่เธอเขียนออกมามันไม่สวย อันที่จริงตัวอักษรที่เย่ซวงเขียนออกมามันสวยมากต่างหาก ดูแล้วเหมือนกับหนังสือลอกแบบของหลานถิงสวี่ถึง ‘หกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์’ เมื่อมองแบบละเอียด...ก็คล้ายกันเลยทีเดียว
แต่ที่ทุกคนอึดอัดใจกันก็คือ ท่าทางของการเขียนตัวอักษรของเย่ซวงนั้นไม่ได้ตามใจตัวเองแบบนักเขียนอักษรพู่กันจีน แล้วก็ไม่ได้ดูเป็นระเบียบเหมือนพวกนักเขียนมือใหม่ มองดูแล้วก็เหมือนกับกำลังทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้น เธอมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมันมากเกินไป จนกระทั่งคิ้วเรียวยาวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย...
พวกคนชราต่างมองกันอย่างประหลาดใจ หลังจากที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็รู้สึกอึ้งไป
งานศิลปะต้องใช้อารมณ์ความรู้สึก พูดง่ายๆ ก็คือศิลปะและวิทยาศาสตร์มันไม่เหมือนกัน...แต่ที่เธอเขียนพู่กันอยู่นี้ มันเหมือนกับการทำการทดลองวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า นี่มันอะไรกันเนี่ย?!
เย่ซวงไม่ได้สังเกตเห็นว่าคนอื่นกำลังสับสนอยู่ ยังคงวาดภาพจากในสมองออกมาให้ได้สัดส่วน ทุกขีดทุกเส้นนั้นบรรจงเขียนลอกลงไปบนกระดาษอย่างงดงาม
หลังจากที่เธอหยุดเขียน ปาดเหงื่อเล็กน้อย แล้ววางพู่กันลง ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วพูดว่า “เสร็จแล้ว ทุกท่านโปรดชี้แนะด้วยนะครับ”
“...”
ชี้แนะอะไร?! ต้องแก้อะไร?!
ตอนนั้นเองฟางม่อก็ถึงกับหมดคำพูดไปเลย