ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 26
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 28

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 27


ตอนที่ 27

การที่เย่ซวงต้องคอยไปปรนนิบัติคุณยายหลัว ไม่ได้เกี่ยวกับฟางม่อเลยสักนิด

ต่อให้น้องฟางจะสนใจในตัวเย่ซวงอยู่บ้างเล็กน้อย ต่อให้ฟางม่อจะอยากสนิทกับเย่ซวง...แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง นี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา

ดังนั้นถึงจะสงสัยและมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่ฟางม่อก็ไม่ได้ขอเรื่องเสียมารยาทอย่างการตามไปดู

แต่ถ้าเรื่องมันมาหาเองล่ะก็ นั่นก็เป็นอีกเรื่อง...

ทั้งคู่สบตากัน

โชคชะตาหรือความบังเอิญ?

หลังจากที่ผ่านไปสักพัก บุหรี่ในปากของฟางม่อก็ถูกหยิบมาไว้ในมือแทน แล้วบรรยากาศสุดแสนจะอึดอัดนี่ก็ถูกทำลายลง เมื่อเย่ซวงที่ประคองหญิงชราอยู่เดินเข้าประตูมา เขาจึงก้มหัวทักทาย “บังเอิญจังเลยคุณเย่”

เย่ซวงอึดอัดใจ ก่อนจะพูดว่า “ใช่บังเอิญจริงๆ ...”

คุณยายหลัวตาเป็นประกาย เมื่อเห็นการแต่งตัวที่ดูเป็นผู้ดีของฟางม่อ ก่อนจะหันกลับมามองสำรวจดูว่าที่ลูกเขย “เสี่ยวเย่ นี่เพื่อนของเธอเหรอ?”

จะมองความสำเร็จของผู้ชาย ไม่ได้มองที่ฐานะ และไม่ได้มองที่การศึกษา ที่สำคัญที่สุดคือ มองว่าเขาคบเพื่อนแบบไหน

โดยทั่วไปแล้ว เพื่อนฝูงที่คบเป็นตัวบ่งบอกระดับทางสังคม หลังจากที่ได้เป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มแล้ว ถึงจะเป็นการรับประกันได้ว่า คนคนนี้มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับคนในกลุ่มจริง ไม่อย่างนั้นแม้จะมีรูปร่างภายนอกจะดูดีแค่ไหน ก็บอกไม่ได้ว่านิสัยใจคอข้างในเป็นยังไง

นิสัยส่วนตัวของฟางม่อค่อนข้างจะเป็นที่น่าประทับใจ แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้คุณยายหลัวให้คะแนนความพึงพอใจสูงเป็นพิเศษ

ถ้าหาก ‘เพื่อน’ คนนี้ไม่ได้ถูกจัดฉากเอาไว้ล่ะก็ ดูจากฟางม่อแค่คนเดียว คุณยายหลัวก็รู้สึกว่าเสี่ยวเย่คนนี้คุ้มค่าที่จะเฝ้าดูต่อไป

เย่ซวงที่ถูกถามยังไม่ได้ทันได้พูดอะไร จากประสบการณ์อันโชกโชนของฟางม่อ ทำให้เขารู้ในสิ่งที่คุณยายหลัวคิด เพื่อช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ให้กับเย่ซวง ฟางม่อจึงช่วยพยักหน้าตอบรับ เพื่อทำให้คุณยายมองเย่ซวงในทางที่ดี “ผมกับคุณเย่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุณเย่ก็ได้ช่วยเหลือผมไว้หลายครั้ง และผมเองก็รู้สึกถูกชะตากับคุณเย่มาก ดังนั้นจึงนับได้ว่า พวกเราเป็นเพื่อนกันครับ”

เย่ซวงเข้าใจที่เขาสื่อ จึงรีบแนะนำให้คุณยายหลัวรู้จัก “นี่ฟางม่อครับ ผม...แค่ก! เขาเป็นเจ้านายของบริษัทที่เมื่อก่อนเย่ซวงเคยทำงานครับ”

คุณยายหลัวยิ่งพอใจฟางม่อเข้าไปอีก “เป็นหนุ่มที่มีความสามารถมากเลยนะเนี่ย”

หลังจากที่ทักทายกันไปสองสามประโยค คุณยายก็เข้าไปเดินเล่นในร้านคนเดียว เหลือแต่เพียงเย่ซวงที่ก่อนหน้านี้ถูกจับตามองอยู่ตลอด ซึ่งในที่สุดก็มีที่หายใจหายคอ แล้วจึงพูดคุยกับฟางม่อ

“ทำไมพาญาติของแฟนมาถึงที่นี่ได้เนี่ย?!” ฟางม่อถามด้วยความแปลกใจ หลังจากที่เห็นเย่ซวงเดินเข้ามาในร้านก็ได้แต่กลั้นหัวเราะ และพยายามทำเสียงให้เบาลงก่อนจะถามออกมาหนึ่งประโยค

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ใหญ่ดูเชิงว่าที่ลูกเขย แม้แต่ครอบครัวชนชั้นสูงก็ต้องมีความรักและแต่งงาน ฟางม่อก็ไม่ใช่คนโดดเดี่ยวเดียวดาย เขาเคยเห็นเพื่อนเขาเองหลายคนที่แต่งงานเร็ว ก็มักจะถูกบ้านแม่ยายเล่นแง่และกลั่นแกล้งเป็นปกติ

แต่บ้านแม่ยายนี้กลับพาลูกเขยออกมาข้างนอกแทน ปกติจะไปร้านอาหารหรือว่าไปห้างอะไรแบบนี้ เพื่อจะดูว่าลูกเขยจะเสียดายหรือไม่เสียดายเงินที่บ้านของฝ่ายหญิงใช้จ่ายไป หรือว่าเวลาซื้อของจะใช้เงินตัวเองออกให้หรือไม่ หลังจากเดินมาหลายที่จะรู้จักเอาอกเอาใจหรือดูแลแฟนสาวที่ใส่รองเท้าส้นสูงอยู่หรือไม่ เป็นต้น...แต่คุณยายหลัวกลับพาลูกเขยมาดูเชิงที่ร้านหนังสือภาพโบราณ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางม่อเจอแบบนี้

“ก็ไม่ได้ตั้งใจมาหรอก แต่ต้องโทษน้องชายของผม ไอ้เด็กปากพล่อยคนนั้นต่างหาก!” พอนึกขึ้นมา เย่ซวงก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์เอาไว้ “เขาคงกลัวคุณยายไม่พอใจผม แถมเมื่อวานก็พูดเอาไว้ชุดใหญ่...หวังดีน่ะไม่ผิดหรอก แต่ไม่นึกว่ามันจะโม้ไปถึงขั้นที่ว่า ผมเชี่ยวชาญศิลปะทุกแขนง...ตอนนั้นคุณยายท่านก็รู้สึกว่ามันจะสมบูรณ์แบบจนเกินไป วันนี้จึงตั้งใจมาดูผมเป็นพิเศษว่า เชี่ยวชาญอย่างที่โม้ไว้จริงหรือเปล่า”

ฟางม่อกะพริบตาปริบๆ รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งงาน แม้แต่การลองเชิงก็ยังไม่ผ่านเลย แต่เรียกเขาว่ายายแล้ว?!

พอคิดถึงความกลุ้มใจของน้องสาวตัวเอง ในตอนนั้นฟางม่อก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นคนโดนหักอกเองเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายเจอเรื่องไม่ดี เพียงแต่จะดูท่าทางกระตือรือร้นของเย่ซวง แล้วเอาความสนิทสนมระหว่างน้องสาวกับตัวเองและอีกฝ่ายมาเปรียบเทียบกันว่าอยู่ในระดับไหน...ซึ่งการเปรียบเทียบนี้จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพวกเรา นี่คงจะทำให้ไม่สบายใจอยู่บ้าง

ฟางม่อกระแอมเพื่อข้ามประเด็นเรื่อง ‘คุณยาย’ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “น้องชายคุณ? คือเด็กผู้ชายที่อยู่กับคุณในคืนนั้นใช่ไหม?”

“อืม ไอ้เด็กนั่นล่ะ!” เย่ซวงพยักหน้าหงึกๆ หลังจากคิดอะไรได้ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก “ที่จริงนั่นเป็นน้องของแฟนผมน่ะครับ เพียงแต่...ความสัมพันธ์ของเราเหมือนกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ผมก็เลยเรียกเขาว่าน้องจนชินปาก”

 

“...”

โอเค แม้แต่น้องชายเขาก็ดึงมาเป็นพวกได้แล้ว

 

ฟางม่อรู้สึกเสียใจที่เมื่อกี้ถามเรื่องนี้ออกไป ตอนนี้เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คุณยายหลัวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็กำลังเรียกหา “เสี่ยวเย่ มาดูตัวอักษรนี่สิ”

‘ผู้ชำนาญด้านศิลปะทุกแขนง’ ใบหน้าของเย่ซวงย่นด้วยกลัดกลุ้ม จึงเดินจากฟางม่อไป แล้วเดินเข้าไปหาคุณยาย

ฟางม่อได้แต่เดินตามเสียงนั้นไปด้วย พอมองไปก็เห็นคุณยายหลัวกำลังเปิดภาพตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันที่คัดลอกมาจากเทพแห่งอักษรหวังซีจื่อ* ในตอนนั้นก็มองไปที่เย่ซวงอย่างอดไม่ได้ที่จะยินดีให้กับความโชคร้ายของเย่ซวง

นี่เป็นลายมือที่คัดลอกมา ดังนั้นไม่ได้ให้มาประเมินราคาแน่นอน ดูท่าแล้วแปดสิบเปอร์เซ็นต์คือ ต้องการทดสอบความรู้ทางทฤษฎี ไม่แน่ว่า อาจจะให้เย่ซวงลองตวัดพู่กันเขียนดูก็ได้...โอ้ จะทำยังไงนะ ช่างน่าติดตามจริงๆ

“นี่คัดลอกมาจากหนังสือ

หลานถิงสวี่**

...โดยปรมาจารย์พู่กันจีน ซึ่งสำเร็จไปกว่าหกสิบถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว“เย่ซวงยังไม่ทันได้เปิดปาก ฟางม่อก็อดไม่ได้ที่จะอธิบายออกมา ทำให้เพื่อนที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีความรู้ในด้านศิลปะแขนงไหนเลยอย่างเย่ซวงต้องเงียบไป เขายังตั้งใจเพิ่มระดับความยากให้อีก”หลานถิงสวี่ของหวังซีจื่อถูกเรียกว่า เป็นรูปแบบการเขียนอักษรจีนหนึ่งเดียวในใต้หล้า การที่สามารถคัดลอกมาได้เหมือนขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...เสี่ยวเย่คิดว่ายังไงล่ะ?!”

 

ทำไมไม่เรียกคุณเย่แล้วล่ะ?!

 

เย่ซวงกลอกตาใส่คนนิสัยเสียที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น พร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมดูแล้วก็ไม่เลวนะ”

 

*หวังซีจื่อ นักเขียนพู่กันจีนเลื่องชื่อของจีนสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก

**หลานถิงสวี่ คือบทกวีที่ประพันธ์โดย หวังซีจื่อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด