DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 26
ตอนที่ 26
เย่เฟิงที่ถือซีอิ๊วเดินกลับเข้ามา ก็ได้ยินเข้ากับคำพูดของคุณน้าพอดี ในเวลานั้นเขารู้สึกพูดไม่ออก
ถึงแม้ว่าเขาจะอิจฉาและชิงชังร่างกายของเย่ซวงตอนนี้อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินคนอื่นพูดเชิงรังเกียจแบบนั้น ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“เสี่ยวเฟิง กลับมาแล้วเหรอ?!” คุณยายหลัวมองเห็นเย่เฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตู ดวงตาเปล่งประกายโบกไม้โบกมือมายกใหญ่ “มาๆ เป็นเพื่อนยายคุยหน่อย พ่อหนุ่มนั่นอยู่กับพี่สาวแกมานานหรือยัง?”
หลังจากที่เย่เฟิงถูกเรียกชื่อ ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงถือซีอิ๊วขวดนั้นเดินบ่นพึมพำเข้ามา “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็ผมออกไปซื้อซีอิ๊วมา!”
หลังจากพูดจบก็โดนคุณน้าหลัวเขกหัวทันที “เรื่องของพี่สาวก็ไม่หัดเอาใจใส่!”
“...”
ก่อนที่เย่ซวงจะกลับมา ที่จริงคุณยายหลัวกับคุณน้าหลัวก็รู้ความเป็นไปมาบ้างแล้ว และทั้งคู่ก็ได้ฟังจากการเล่าของสองสามีภรรยา ซึ่งเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก จึงไม่ได้เก็บเรื่องของลูกเขยคนใหม่ไปคิดให้มากความ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่มองใบหน้าของเย่ซวงคนนี้แล้ว คนบ้านหลัวทั้งคู่ถึงได้เข้าใจคำพูดของคุณนายเย่อย่างลึกซึ้งที่ว่า ‘เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา’ สรุปคือหล่อถึงขั้นไหน...
ถ้าหากระดับธรรมดาล่ะก็ สาวแก่คนนี้ก็จะไม่พูดอะไรให้มากความ ในใจก็เพียงแค่ความพอใจ ไม่ได้มีความไม่ยินดียินร้ายอยู่ ยังไงก็คงไม่มีใครชอบมองคนที่เป็นมลภาวะต่อสายตาหรอก
แต่หากหล่อถึงขั้นทำให้คนตกตะลึงได้นั้น เรื่องมันก็จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลยน่ะสิ
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น
รูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ เขามาชอบพออะไรในตัวหลานสาวเรากันนะ?!
เพราะว่าคุณนายเย่รู้ว่าเย่ซวงทั้งสองคนเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้นจึงมีภูมิต้านทาน ‘เย่ซวง’ คนที่เจิดจรัสนี้บ้างแล้ว แต่คุณยายหลัวและน้าหลัวกลับคิดอะไรที่สมเหตุสมผลไม่ได้เลย
ตอนที่เย่ซวงกำลังยุ่งอยู่ในห้องครัว ผู้ใหญ่บ้านหลัวทั้งสองก็เลยถือโอกาสซักไซ้เย่เฟิง ล้วงข้อมูลของเย่ซวงอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง ยังดีที่บ้านเย่ได้ซักซ้อมตามที่คุณเย่กำชับไว้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงเก็บความลับเอาไว้ได้ จึงไม่ได้ทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป
แต่ก็มองออกว่าคุณยายกับคุณน้าดูเหมือนจะไม่ค่อยวางใจเท่าไร เขาเองก็ได้คิดเผื่อสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว เย่เฟิงจึงฝืนใจเอาเรื่องของ ‘ว่าที่พี่เขย’ มาโม้ จากหน้าตาไปจนถึงการศึกษา ก่อนจะลามไปถึงความสามารถ...ฝอยมากไป จนคุณนายเย่ที่อยู่ในห้องครัวต้องเรียก ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองชักจะโม้มากไปแล้ว
คุณยายหลัวและคุณน้าหลัวที่อยู่ในห้องรับแขก หันมาสบตากัน...
ยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่
“เขาทำให้เสี่ยวเฟิงชื่นชมได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าไม่สมบูรณ์แบบจนหาจุดด่างพร้อยไม่เจอล่ะก็ พวกเราก็อาจจะคิดมากเกินไป...” จิตใจของน้าหลัวร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ในใจลึกๆ ก็สงสัยว่าพี่สาวตัวเองนั้น อาจจะพ่ายแพ้ไปแล้วก็ได้...ดูท่าทางแบบนี้ ครอบครัวเย่ทั้งสี่คนคงจะถูกปราบจนอยู่หมัดแล้วล่ะ ต่อให้มีปัญหาอะไรก็คงมองไม่ออกหรอก
คุณยายหลัวยังคงคิดในแง่ดีอยู่ “ดูไปอีกสักพักเถอะ ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะดูดีเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จริงใจกับซวงซวงนะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมาสร้างภาพกับเรา อาจจะรักกันจริงๆ?!”
น้าหลัว “...”
ทำไมแม่ถึงได้เป็นคนหัวสมัยใหม่แบบนี้นะ ผมรับไม่ได้จริงๆ ...
คนในบ้านเย่เองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ตัวเย่ซวงที่คุณสมบัติเพียบพร้อมเกินไปแบบนี้ จะสามารถทำให้คุณยายหลัวและคุณน้าหลัวกังวลได้ หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จก็ได้พูดคุยกันจนฟ้ามืด อีกไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาพักผ่อนของคุณยายหลัวแล้ว
แน่นอนว่าคุณนายเย่ต้องนอนกับแม่ของตัวเอง คุณเย่ก็นอนกับคุณน้า ส่วนเย่เฟิงก็ยังได้นอนห้องของตัวเอง แต่เย่ซวง...เย่ซวงก็ต้องหลบออกไปนอนที่โรงแรมอีกครั้ง
โธ่เอ๊ย! ดูท่าแล้วคงต้องรีบหาบ้านย้ายออกไปสักที
เป็นแบบนี้ต่อไปใครจะรับไหว?! ออกไปนอนโรงแรมวันเว้นวัน ค่าใช้จ่ายก็เยอะ แต่นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือ เวลาจะทำอะไรมันไม่สะดวก...
เย่ซวงที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อบอกลา เมื่อสวมรองเท้าเสร็จกำลังจะเดินออกไป คุณยายหลัวก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“เสี่ยวเย่จ๊ะ” คุณยายหลัวยังคงไม่คุ้นกับการเรียก ‘เสี่ยวซวง’ แบบนี้ เหมือนกับเป็นการเรียกหลานสาวของตัวเองยังไงอย่างนั้น “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีธุระอะไร ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนยายหน่อยสิ”
เย่ซวงชะงักไปชั่วขณะ ดูเหมือนเธอจะมองออกว่า ใบหน้าเหี่ยวย่นที่แสดงความอ่อนโยนออกมานั้น แฝงไปด้วยความกดดัน “...พรุ่งนี้ตอนกลางวันผมต้องไปช่วยเพื่อนถ่ายโฆษณาครับ ตอนบ่ายหลังเลิกกองแล้วผมจะแวะมารับคุณยายนะครับ”
แม้ว่านี่จะเป็นคุณยายแท้ๆ ของตัวเองก็ตาม แต่เธอจะกล้าผิดใจเหรอ? เย่ซวงไม่มีทางเลี่ยง แต่พอคิดดูแล้วก็รู้ว่า วันพรุ่งนี้จะต้องถูกดูเชิงอย่างแน่นอน แต่สาส์นท้ารบนี้ จะไม่รับก็ไม่ได้...
คุณยายหลัวพยักหน้ารับอย่างพอใจ ต่อให้คุณนายเย่อยากจะพูด ก็ทำได้แค่เงียบ แล้วส่งเย่ซวงเดินจากไป
หลังจากที่เดินออกมาจากประตู ในหมู่บ้าน ก็มีสายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน เย่ซวงรู้สึกได้ว่า หน้าผากของตัวเองเย็นเฉียบ พอลองยกมือขึ้นสัมผัสดู ก็พบว่าเหงื่อไหลอยู่เต็มหัว
นี่ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนถูกครูประจำชั้นเรียกเข้าห้องพักครูเสียอีก
พอคิดไปคิดมา เย่ซวงก็ล้วงหยิบมือถือกดโทรออก เมื่อฟางม่อรับสายก็พูดว่า “พี่ฟางครับ ที่พี่พูดมาก่อนหน้านี้ที่ว่า โฆษณานั้นมีฉากที่ต้องตัดต่อ มันมีฉากตอนเย็นกับตอนกลางคืนไหมครับ”
ฟางม่อที่กำลังดูหนังเป็นเพื่อนฟางเฟยที่กำลังกลุ้มใจอยู่ในบ้าน เมื่อเห็นว่าเย่ซวงโทรมาก็รีบมองไปที่ฟางเฟยก่อน แล้วจึงเดินหลบออกมาเข้าห้องนอนของตัวเอง แล้วกดรับสาย
หลังจากที่ได้ฟังคำถามที่แฝงความหมายอื่นของเย่ซวงจบ ฟางม่อก็พูดไปว่า “มีถ่ายตอนเย็น แต่ว่าถ้าจะถ่ายตอนกลางวันล่ะก็ ต้องปิดไฟให้มืดสนิท เดี๋ยวนี้เวลาจะถ่ายฉากตอนเย็น แค่เอาฉากหน้าต่างตอนเย็นมาวางก็ใช้ได้แล้ว...นายมีอย่างอื่นต้องทำเหรอ?!”
ฟางม่อไม่ได้พูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการเพิ่มฉากหน้าต่าง จากที่เขาดูแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องยกขึ้นมาพูด
แล้วอีกอย่าง น้ำเสียงกลุ้มใจของเพื่อนใหม่ในสายที่เขาได้ยินนั่นอีก “อืม พรุ่งนี้ผมต้องพา...คุณยายของแฟนผมออกไปข้างนอกน่ะ อีกอย่างวันมะรืนนี้ผมก็ต้องไปแล้ว เลยจัดเวลาให้ได้ถึงแค่ตอนบ่าย”
ทันใดนั้นฟางม่อก็กลุ้มใจขึ้นมาเหมือนกัน ให้เขาพูดแบบเห็นแก่ตัวเลยก็คือ ถ้ารู้ก่อนว่า จะมีเหตุผลแบบนี้ล่ะก็ เขาคงตอบปฏิเสธไปตั้งแต่แรกแล้ว
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ตัวเองออกเงินช่วยเรื่องความรักของน้องสาว แต่อีกฝ่ายกลับเอาเวลาไปดูแลแม่ยายของตัวเองเสียอย่างนั้น
“คุณไม่ต้องเปลี่ยนเวลาให้ผมเป็นพิเศษหรอก ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ล่ะก็ เอาไว้วันพฤหัสหน้าผมจะกลับมาอีกสองสามวัน ถึงตอนนั้นถ่ายซ่อมก็คงไม่กระทบอะไรใช่ไหม?!” เย่ซวงรู้สึกว่า การที่ตัวเองทำงานให้คนอื่น แล้วยังทำให้เขายุ่งยากอีก มันดูจะเกินไปหน่อย คิดได้อย่างนี้ จึงเสนอแผนนั้นขึ้นมาอีกอย่าง
ฟางม่อเงียบไปครู่หนึ่ง คิดว่า ถ้าต้องเร่งทำงานแบบนี้ สู้ไปทำงานวันหลังจะยังดีกว่า อีกอย่างวันนี้น้องสาวของเขาก็เพิ่งถูกโจมตีเข้าจังๆ เผื่อเวลาให้พักใจสักสองสามวันก็ดีเหมือนกัน “...เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ก็ยังไม่ต้องถ่าย ยังไงก็ไม่ได้เช่าสถานที่ไว้ เลื่อนไปถ่ายวันพฤหัสหน้าทีเดียวเลยเป็นไง?”
หลังจากตกลงกันเรื่องงานเสร็จ ก็คุยเล่นกันต่ออีกสองสามประโยค ก่อนจะวางสายแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ฟางม่อเงยหน้าสบตากับฟางเฟยที่มองตรงมาพอดี “พี่ มีงานต้องทำเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องงาน” ฟางม่อยิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โซฟา คิดไปคิดมา “พรุ่งนี้พี่มีธุระ เลื่อนถ่ายงานออกไปเป็นพฤหัสหน้าแทนนะ”
“...”
พี่มีธุระแล้วเกี่ยวอะไรกับการถ่ายโฆษณา?! พี่ไม่ได้เป็นคนมาถ่าย...
ฟางเฟยกวาดสายตามองแล้วคิดว่า พี่ชายคงพยายามทำให้เธอสบายใจ ก่อนจะเบ้ปากแล้วเบนสายตากลับไปมองจอทีวี “ก็ได้”