DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 25
ตอนที่ 25
คุณนายเย่ไม่ยอมรับว่า ตัวเองตอนสมัยวัยรุ่นนั้น มีชื่อเสียงในด้านการใช้อำนาจบาตรใหญ่ภายในบ้าน
แต่ถึงแม้จะยังคิดวิธีดีๆ ในการรับมือกับคุณยายหลัวและน้าหลัวไม่ออก แต่ก่อนที่เย่ซวงจะกลับบ้าน คุณนายเย่ก็แอบโทรมาบอกเย่ซวง จึงได้รู้ถึงแนวทางการรับมือกับครอบครัวฝ่ายแม่ของเธอ
ตามที่คุณนายเย่บอกมาก็คือ หลานสาวเป็นคนในครอบครัว ดังนั้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่นับว่าเป็นการเสียมารยาท ต่อให้คนที่บ้านไม่รู้เรื่องอะไรก็จะช่วยกันปกป้อง เพื่อไม่ให้ลูกโดนมองว่าไม่ดี อีกทั้งคงไม่เอามาพูดต่อหน้าเย่ซวงผู้ชายเยอะหรอก
จากที่พูดมาคือ คนในบ้านเย่ได้บอกกับพวกน้าหลัวเอาไว้แล้วว่า ช่วงนี้เย่ซวงออกไปทำงานต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่ในเมืองซานหลิน ไม่ว่าผู้หลักผู้ใหญ่จะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ เดี๋ยวเปลี่ยนเพศกลับมาก่อน ค่อยหาทางถูไถเอาก็ได้ ยังไงก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอหรอก
ส่วนฐานะลูกเขยของเย่ซวงคนนี้ ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แค่ตอนทานข้าวทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังต่อหน้าครอบครัวหลัวก็พอ...ด้วยรูปร่างหน้าตาของ ‘เขา’ ในตอนนี้ บวกกับเย่ซวงในร่างเดิมที่รู้ว่าคุณยายและน้าหลัวชอบหรือไม่ชอบอะไร เรื่องเล็กแค่นี้จะเอาไม่อยู่เหรอ?!
สุดท้ายทุกคนก็ได้ข้อสรุปแบบงงๆ ยังไงก็ไม่ใช่นักสืบ ถึงแม้ว่าจะมีบางจุดที่ทำให้ทางนั้นไม่พอใจ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร...จริงๆ คือก่อนหน้านี้คนในบ้านเย่สติแตกกันไปเอง จึงทำให้รู้สึกว่าเรื่องมันยุ่งยาก...
แต่ยังไงก็ตาม คุณนายเย่ต้องการบอกเพียงอย่างเดียวคือ ให้ลูกพยายามแกล้งทำเป็นเด็กดีก็พอ คนบ้านหลัวที่เห็นว่า เย่ซวงของเราไปทำงานไม่กลับบ้าน ก็คงทำได้แค่รู้สึกเกรงใจลูกเท่านั้นแหละ คงจะไม่ดึงดันให้ลูกออกมาพร้อมกันทั้งสองร่างหรอก
ถ้าเกิดปัญหาวุ่นวายรับมือไม่ไหว ก็แค่รอให้ร่างกายกลับมาเป็นเย่ซวงผู้หญิงก็พอ ไม่ว่าร่างผู้หญิงจะสร้างความไม่พอใจให้บ้างนิดหน่อย ก็ไม่ส่งผลกระทบด้านลบอะไร แต่ในทางกลับกันถ้าเป็นร่างผู้ชายทำ ก็ยากที่จะเรียกความประทับใจคืนมา...
หลังจากคุณนายเย่ปลอบใจแล้ว ในที่สุดเย่ซวงก็ค่อยๆ คลายความตื่นเต้นภายในใจลง จึงมีความกล้าที่จะกลับไปบ้านตัวเอง
เพียงแต่เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน และกำลังจะยกมือขึ้นไปเคาะประตูทั้งสองบาน คุณยายหลัวก็รีบออกมาต้อนรับเย่ซวงด้วยความตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในทางกลับกันนั้นน้าหลัวค่อนข้างจะสงบเสงี่ยม
เย่ซวงเดินเข้าประตูมาอย่างตกใจ หลังจากเปลี่ยนรองเท้าจนเดินไปนั่งที่โซฟา และทักทายกับสองแม่ลูกบ้านหลัวไปสองสามประโยค ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์กับท่าทางเมตตาและอ่อนโยนที่ดูจะมากเกินไปของคุณยายสักเท่าไร สุดท้ายทนไม่ไหวจึงยกผลไม้ขึ้นมาบนมือ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างเข้าไปขอความช่วยเหลือจากแม่ในครัว
“แม่ มีบางอย่างแปลกไป” เย่ซวงใช้โอกาสตอนที่ปอกผลไม้ พูดเสียงเบาเพื่อบอกบางเรื่องให้คุณนายเย่ฟัง “หนูรู้สึกว่าประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เอามาใช้กับวันนี้ไม่ได้แล้ว คุณยายเคยยิ้มด้วยท่าทางอบอุ่นแบบนี้กับหนูซะเมื่อไหร่?! แล้วไหนจะน้าหลัวอีก วันนี้ดูจะขี้เกรงใจเกินไปหน่อย...”
“...เป็นเพราะแม่ไม่ดีเอง” คุณนายเย่พึมพำ ก่อนจะตอบกลับด้วยความเจ็บปวด “ตอนแรกคิดแต่ท่าทางที่คนบ้านนั้นทำกันเป็นปกติ เลยลืมคิดถึงกรณีแบบนี้ไปเลย...นั่นเป็นการลองชั้นเชิงของคุณยายกับน้าของลูกน่ะ แม่คิดว่า เป็นเพราะทั้งคู่ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับลูกในร่างนี้มาก่อน ทำให้ตั้งตัวไม่ทัน บวกกับมีเวลาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานด้วย แม่จึงอยากให้ลูกลดการป้องกันลงสักครั้ง แล้วคอยดูท่าทีของพวกเขา จากนั้นก็เก็บข้อมูลมาให้เยอะที่สุด”
เย่ซวงตกใจเกือบจะทำผลไม้หลุดจากมือ “ที่บ้านของคุณยายทำงานใต้ดินกันหรือยังไง?”
“พูดเรื่องบ้าอะไรออกมาน่ะ” คุณเย่ที่ใช้ข้ออ้างมารินน้ำ ก็เข้ามาเพื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่คุณยายและคุณลุงดันได้ยินเข้าพอดี จึงจ้องเขม็งมา
“ว่าที่ลูกเขยคนใหม่มาบ้านก็แบบนี้แหละค่ะ นึกถึงปีนั้น ฉันน่ะ...แค่กๆ!” คุณนายเย่พูดขึ้นให้พวกเขาได้ยิน จากนั้นก็หันกลับมา “ช่างเถอะ ไม่พูดต่อก็ไม่เป็นไร สรุปคือ ตอนนี้พวกเขานับลูกเป็นคนของเราเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นการถูกถามเรื่องของตัวเองกับครอบครัวมันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องที่จะโดนถามก็จะเกี่ยวกับเรื่องงาน ครอบครัว หรือความคิดเรื่องแต่งงานอะไรประมาณนี้...”
ถ้าไม่ใช่เพราะเวลาไม่พอล่ะก็ คุณเย่คงจะให้เย่ซวงมาซ้อมท่องคำตอบก่อน
“ครอบครัว...” เย่ซวงมองไปทางพ่อแม่ด้วยความลำบากใจ
จะบอกว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้า ก็ดูเหมือนจะเป็นการสาปแช่งพ่อแม่ตัวเองไปสักหน่อย แต่ถ้าต้องปั้นเรื่องญาติคนอื่นมาล่ะก็ อย่างแรกคือ มันจะกลบเกลื่อนไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อย่างที่สองคือ ไม่ได้อยากพูดเรื่องของพ่อแม่มากเกินไป
“เด็กกำพร้าแล้วกัน!” คุณเย่เปิดปากพูดออกมาก่อนอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะโบกมือพูดว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาคิดให้ยุ่งยากมากความอะไร...เรื่องงานฉันก็คิดไว้ให้แล้ว กลับไปก็ให้บอกว่าตัวเองยังเรียนปริญญาโทอยู่ ยังไงเสียวิชาวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับลูกในตอนนี้ ต่อจากนี้จะสอบจริงๆ ก็ยังได้”
คุณเย่เองก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่มีความละเอียดรอบคอบพอตัว นักศึกษาปริญญาโทน่ะ ถ้ามีคาบเรียน ก็มักจะไม่มีเวลาออกมาเจอกัน นี่ถือเป็นเรื่องปกติ บวกกับเรื่องที่ไม่มีงานทำชั่วคราว อย่างนี้รับรองว่าคุณยายหลัวจะไม่เร่งให้เย่ซวงกับแฟนรีบหมั้นกันแน่ๆ ...จะหมั้นกันได้ยังไง?! การงานก็ไม่มีเป็นหลักเป็นแหล่ง ตอนนี้จบแค่ปริญญาตรีมา หางานดีๆ ทำไม่ได้หรอก ในทางตรงกันข้าม มีตั้งหลายคนไป ที่ประวัติการศึกษาสูง แต่กลับไม่ได้เรื่อง รอให้ครอบครัวมาเลี้ยงอย่างเดียว
แต่ถ้าเรียนสูงๆ ได้ ก็นับเป็นตัวยืนยันความสามารถของว่าที่ลูกเขย การจะให้เลิกกันนั้นคงเป็นไปได้ยาก...ตอนนี้เมื่อพูดถึงอาชีพต่างๆ ก็มีความเสี่ยงกันทั้งนั้น ยังไงจบปริญญาโทก็ดีกว่า คงหางานได้ไม่ยากเท่าไร...
ในขณะที่เย่ซวงกำลังจำข้อมูลสำคัญของว่าที่ลูกเขยที่จะต้องถูกซักถามอยู่ในห้องครัวนั้น คุณยายหลัวและคุณน้าหลัวก็กำลังกระซิบกระซาบกันเบาๆ ในห้องรับแขก
“เด็กคนนี้หล่อไปหน่อยหรือเปล่า” คุณยายหลัวรู้สึกไม่ค่อยวางใจ หลานสาวตัวเองก็ถือว่าหน้าตาสะสวยประมาณหนึ่ง คุณยายคิดไปต่างๆ นานา ถึงอนาคตที่ไม่เข้ากันของทั้งคู่ “นี่ถ้าตอนหลังเกิดมีเมียน้อยสองสามคนขึ้นมา สภาพจิตใจของซวงซวงจะไม่แย่เอาเหรอ?!
น้าหลัวเองก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มว่า “ที่พูดมาก็ใช่นะแม่ แต่ว่าพี่เขาฉลาดจะตาย ผมว่าถ้ามีปัญหาจริงๆ พี่เขาคงจะรีบมาช่วยจัดการให้แล้ว...หรือไม่ก็พวกเราอย่าเพิ่งเอาหน้าตามาตัดสินกันเลยดีกว่า ยังไงหน้าตาแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเด็กนี่ซะหน่อย...”