ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 23
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 25

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 24


ตอนที่ 24

ในสังคมสมัยนี้ ความรู้เป็นสิ่งที่ทั้งราคาถูกและล้ำค่า

สิ่งที่ล้ำค่าโดยปกติแล้วคงไม่ต้องพูดอะไรมาก ‘ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้’ เป็นคำพูดที่มีชื่อเสียงและทุกคนที่รู้จัก

และที่พูดว่ามันราคาถูกก็คงเพราะสังคมในปัจจุบัน การหาความรู้ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่เหมือนกับในสมัยก่อนที่ผู้ชายเท่านั้นถึงมีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือ และหนังสือเป็นของหายาก

คนในปัจจุบันขอแค่สนใจ ไม่ว่าจะแหล่งไหนก็สามารถหาทฤษฎีต่างๆ ที่ตัวเองอยากเข้าใจมาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ตและในหนังสือ ความรู้จึงเหมือนดอกไม้ที่สามารถเด็ดได้ตามทาง

แต่ว่า!!!

แม้จะมีช่องทางรับข้อมูลความรู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะสามารถเอามันไปใช้ประโยชน์และได้รับประโยชน์จากมันเสมอไป

ตัวอย่างเช่นเส้นแบ่งทองคำ โดยตำแหน่งยืนบนเวทีของพิธีกรรายการทีวี ปกติจะใช้วิธีการแบบนี้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนในวงการรู้

อีกตัวอย่างคือ การสะท้อนกลับและการหักเหของแสง นั่นก็คือขอบเขตความรู้พื้นฐานทางฟิสิกส์ที่ได้เรียนมาตอนมัธยมต้น...แต่ใครมันจะเอาความรู้พวกนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดกัน?!

สุดท้ายแล้ว ชีวิตจริงก็ไม่เหมือนกับในข้อสอบ ที่สามารถเอาเงื่อนไขของสิ่งที่ต้องการมาวัดหาค่า แล้วได้คำตอบออกมาอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังให้เวลาในการคิดเลขจนได้ผลลัพธ์สุดท้าย...แต่อันนี้เธอกลับสามารถใช้เพียงแค่สายตาประเมินออกมาได้อย่างคร่าวๆ และด้วยความสามารถในการคำนวณเลขออกมาได้ทันทีแบบนี้ จึงเป็นความน่ากลัวของเย่ซวง

ถึงยังไงผู้กำกับก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้เด็กคนนี้จะสามารถอธิบายมุมกล้องในเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างละเอียด อธิบายแล้วฟังขึ้น ไม่ใช่พวกที่จะพึ่งแต่ความโชคดีแล้วประสบความสำเร็จ แต่...แม้ว่าจะรู้ถึงรายละเอียดและวิธีการแล้ว ความสำเร็จด้วยวิธีแบบนี้ คนอื่นคงเลียนแบบเขาไม่ได้หรอก!!!

หลังจากลองถ่ายครั้งนี้จบลง เย่ซวงก็ได้รับสายตาที่ยากจะบรรยายจากผู้คนนับไม่ถ้วน ถ้าให้บรรยายออกมาล่ะก็ คงเหมือนกับสายตาเคียดแค้นของเด็กเกเรในโรงเรียนแบบเย่ซวงเมื่อก่อน...

“ได้ยินมาว่าวันนี้ตอนลองถ่ายทุกคนดูตกใจกันหมดเลย?!”

หลังจากเลิกกองแล้ว ฟางม่อก็ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาวางแผนมารับน้องสาวและเย่ซวงออกไปทานข้าวด้วยกัน

และหลังจากที่เขาได้เจอกับผู้กำกับ ก็ได้ยินเรื่องการลองถ่ายก่อนหน้านี้ที่เย่ซวงแสดงออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องพลังการคิดเลขที่น่ากลัวของเย่ซวงแล้ว ต่อให้เขาจะรู้ว่าเย่ซวงไม่ธรรมดา ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

หลังจากที่หมุนพวงมาลัยออกมามายังปากทาง ตอนที่ฟางม่อขับรถอยู่ในถนนใหญ่ ก็ได้มองไปที่กระจกมองหลัง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ผมคิดว่าพวกคนที่มีความสามารถมากแบบคุณ โดยทั่วไปแล้วจะไม่ค่อยเอาเวลามาสนใจคาบเรียนวิชาศิลปวัฒนธรรมเท่าไร”

“ปีนี้มีพวกจบปริญญาโทอยู่เต็มไปหมด ถ้าแม้แต่ความรู้ฟิสิกส์สมัยมัธยมต้นยังลืมไปหมด ผมคงสู้พวกเขาไม่ได้หรอก” เย่ซวงพูดถ่อมตัวออกมาโดยไม่คิด

ฟางม่อพูดไม่ออก คำพูดแบบนี้เขาควรตอบกลับยังไงดี?! ถึงนั่นจะเป็นความรู้สมัยมัธยมต้น แต่สามารถนำมาใช้ได้ถึงขั้นนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกก็คงอึ้งจนพูดไม่ออกแล้ว

เมื่อคิดถึงคนหลากหลายประเภทที่เคยรู้จักกันมา ฟางม่อก็ทำได้แค่ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา “ใช่สิ ยังไม่เคยถามคุณเลยว่าทำงานอะไร? วันนี้ผู้กำกับพูดถึงคุณเป็นพิเศษ เขาบอกว่าถ้าคุณเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงล่ะก็ อนาคตรุ่งแน่นอน ก็เลยให้ผมลองมาถามว่า คุณสนใจอยากจะเข้าวงการบันเทิงไหม”

ที่ฟางม่อพูดยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่ ที่จริงผู้กำกับไม่ใช่แค่ ‘พูดถึงเป็นพิเศษ’ ที่จริงแล้วอีกฝ่ายนั้นยังกำชับมาอย่างดีว่า อย่าปล่อยให้หลุดมือไป เหมือนกับกลัวว่า ฟางม่อจะโน้มน้าวไม่ได้

แน่นอนว่า ฟางม่อไม่ได้รับปากผู้กำกับ อย่างแรกความสัมพันธ์ของเขากับเย่ซวงไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น อย่างที่สองเกิดเพื่อนของตัวเองคนนี้ทำงานอะไรที่ไม่ธรรมดาล่ะ?!

ยังไงก็ตาม ฟางม่อเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า รูปร่างหน้าตาอย่างเย่ซวงนี้ จะเป็นเพียงแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

แต่เย่ซวงที่ถูกถามกลับมาแบบนี้ ก็คิดอาชีพที่สมเหตุสมผลไม่ออกเช่นกัน จึงย้อนถามกลับ “คุณลองทายดูสิ?”

“...”

ถ้าทายได้จะมาถามนายทำไม?!

 

เย่ซวงไม่ได้สนใจใบหน้าเอือมระอาของฟางม่อ จากนั้นสายตาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็พบกับป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกล จึงบอกให้ฟางม่อจอดรถ “เดี๋ยวๆ จอดให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์กลับไปเอง”

ฟางม่อตกใจเป็นอย่างมาก มองไปที่กระจกมองหลัง “กลับไปทำอะไร? ไปกินข้าวด้วยกันก่อนดีกว่า ก่อนที่คุณกับเฟยเฟยจะต้องทำงานร่วมกัน ควรทำความคุ้นเคยกันไว้ก่อน กินข้าวเสร็จเดี๋ยวผมขับไปส่งเอง”

แม้แต่ฟางเฟยเองก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะถูกฟางม่อขอไว้ไม่ให้พูดอะไรมาก หรืออย่างน้อยก่อนกินข้าว ก็ไม่ให้พูดอะไรออกมา ดังนั้นริมฝีปากที่เปิดขึ้นก็รีบหุบลงฉับพลัน ไม่นานนักใบหน้าที่ข่มความกลุ้มใจเอาไว้ ก็ทำได้แต่เบิกตาโพลง

เย่ซวงยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เธอยอมไปกินข้าวมื้อใหญ่ข้างนอกกับเจ้าพ่อ ยังดีกว่ากลับบ้านไปเผชิญหน้ากับคุณยายคุณน้าที่ยากจะรับมือ แต่ถ้าไปเจอคนที่บ้าน คงไม่มีทางหนีเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน

ถ้าคิดจะหลบออกมาครั้งนี้ แน่นอนว่าง่ายมาก แต่ก็กลัวว่าจะสร้างความประทับใจไม่ดีให้กับญาติผู้ใหญ่ทั้งสองคน หากอยากอยู่ที่บ้านญาติมิตรของตระกูลเย่ ในร่างผู้ชายต่อไป ก็ไม่ควรทำแบบนี้...

“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทานข้าวกับพี่ฟางนะ คือวันนี้ญาติผู้ใหญ่ฝั่งบ้านของคู่หมั้นผมจะมาที่เมืองซานหลิน เพื่อมาดูตัวว่าที่ลูกเขยอย่างผมโดยเฉพาะ” เย่ซวงไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองที่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างสองร่าง

แต่ในขณะที่เย่ซวงพูดอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับอย่างฟางเฟยที่มีสีหน้าที่โกรธเคืองอยู่ก่อนหน้านี้เลย เมื่อได้ยินเย่ซวงพูดว่ามีคู่หมั้นแล้ว ใบหน้ากลับแสดงความตกใจอย่างไม่อยากเชื่อออกมาทันที

เย่ซวงไม่ได้สังเกตเห็น แต่แน่นอนว่าฟางม่อสังเกตเห็น

แล้วในใจก็ดัง ‘ตุบๆ’ ตอนแรกฟางม่อตั้งใจจะรอให้น้องสาวของตัวเองค่อยๆ สังเกตเห็นว่า เย่ซวงไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษให้กับเธอ หรือหลังจากการทำงานร่วมกันครั้งนี้แล้ว พอได้เจอกันน้อยลงความรู้สึกก็อาจจะค่อยๆ จืดจางลงไป...เขาคิดไว้แบบนี้ แต่พอชวนให้มาทานข้าวด้วยกัน อีกคนก็ดันรีบกลับบ้านไปพบญาติผู้ใหญ่ของแฟนอีก...

หลังจากที่พูดคุยกันไปไม่กี่ประโยค ฟางม่อก็จอดรถส่งเย่ซวง ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ฟางม่อก็ไม่กล้ารั้งให้เธออยู่ต่อ

หลังจากที่เหลือเพียงสองคนพี่น้อง บรรยากาศภายในรถก็เงียบสงัด ผ่านไปสักพักฟางม่อก็ได้พูดทำลายบรรยากาศที่อึดอัดนี้ลง “รวมกับวันนี้ก็ได้เจอกันสองครั้งแล้ว เธอแน่ใจนะว่าชอบเขา?”

ถึงแม้ว่าฟางเฟยจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ความในใจนั้นก็ไม่อาจปิดบังฟางม่อได้ เดิมทีแล้วฟางม่อก็ไม่ได้อยากจะพูดออกมา กะจะรอให้เธอรู้เองแล้วยอมถอยออกมา ถึงตอนนั้นตัวเองจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อไม่ให้น้องสาวต้องรู้สึกอาย แต่ว่าเมื่อมาถึงตรงนี้แล้วจะไม่ยกขึ้นมาพูดให้ชัดๆ คงไม่ได้ เขากลัวว่าน้องสาวของตัวเองจะคิดไม่รอบคอบ แล้วทำเรื่องไม่ดีกับคนอื่นมากกว่า

“ใครชอบเขากันล่ะ!” จิตใต้สำนึกสั่งให้พูดออกมา ด้วยท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเดิม “หนู...หนูก็แค่อยากจะขอบคุณเขาเรื่องที่ช่วยหนูครั้งที่แล้วก็เท่านั้น!”

“...งั้นก็ดี!” ฟางม่อหันไปมองเธอนิ่งๆ ก่อนจะขับรถออกไป “พี่คิดว่าเย่ซวง เพื่อนคนนี้ก็ไม่เลวนะ หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสได้ไปมาหาสู่กันอีก น้องก็อย่าทำให้เขาลำบากใจอีกแล้วกัน”

คำพูดที่พูดออกไปนั้น คือเขายังอยากที่จะไปมาหาสู่กับเพื่อนคนนี้อยู่ ถ้าหากน้องตัวเองไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากเป็นไปได้ อย่างน้อยที่สุดแล้วเธอกควรที่จะปฏิบัติต่อเย่ซวงเหมือนกับเพื่อนคนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปคิดอะไร

ฟางม่อมองคนได้อย่างแม่นยำ อย่างน้อยเขาก็คิดว่า การมีเพื่อนอย่างนี้อยู่สักคน ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับสองพี่น้อง

อันดับแรกขอแค่ฟางเฟยไม่ดื้อรั้นก็พอ...

ฟางเฟยกัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วทำเสียง ‘หึ’ ออกมาเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด