DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 23
ตอนที่ 23
ในขณะที่ผู้คนกำลังแอบมองเย่ซวงอยู่นั้น ฟางเฟยก็แต่งหน้าเปลี่ยนชุดเสร็จพอดี
พูดจริงๆ ก็คือแต่งหน้าแค่นิดหน่อย เมื่อมองก็ดูธรรมชาติเหมือนกับไม่ได้แต่งเลย
แต่ยังไงก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเย่ซวงได้ ไม่ว่าจะมองกี่มุมก็ไม่มีจุดด่างพร้อยเลยสักที่ แม้แต่รองพื้นก็ไม่ได้ลง แค่จัดแต่งทรงผมก็เข้ากล้องได้เลย การแต่งหน้าแบบธรรมชาติไม่เพียงแต่ต้องปกปิดจุดด้อยบนใบหน้าของฟางเฟย แต่ยังต้องแต่งให้คนอื่นมองไม่ออกว่าแต่งหน้า ทำให้ความยากเพิ่มขึ้นทีละนิดละหน่อย...
เมื่อเย่ซวงเห็นก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้แต่งหน้าจริงๆ แต่ดูดีขึ้นกว่าเดิม คงต้องชมช่างแต่งหน้าเสียหน่อยแล้ว
เวลาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะถ่ายจริง ตามที่ฟางม่อได้กำชับไว้เป็นพิเศษคือ วันนี้ให้ลองแต่งหน้าทำผม และให้นายแบบนางแบบทั้งคู่ได้ทำความคุ้นเคยกันก่อน
สำหรับการกำชับนี้คงไม่ต้องพูดถึงว่า เพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือส่วนตัวมากน้อยเท่าไร ยังไงที่เขาจัดเอาไว้ก็ไม่มีตรงไหนมากเกินไป ปกติก่อนถ่ายต้องมีเวลาเตรียมตัวอยู่แล้ว...ในเมื่อคนจ่ายเงินอย่างบอสใหญ่เองไม่กลัวเสียเวลา แล้วคนอื่นจะกลัวอะไรล่ะ?!
แต่ทุกอย่างกลับไปได้ไม่ค่อยสวย ในตอนที่เย่ซวงและฟางเฟยทำความคุ้นเคยกันนั้น คนที่ดูอยู่กลับอยากจะเอามือกุมหน้าผาก และถอนหายใจออกมา...หนุ่มหล่อคนนั้นเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ทำไมกับน้องสาวคนนี้...
ผู้กำกับอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหว ในใจเองก็คิดว่า
มิน่าล่ะบอสถึงได้กำชับมาเป็นพิเศษ ว่าต้องให้ทั้งคู่ทำความคุ้นเคยกันก่อน
...ได้ทำความคุ้นเคยกันไม่นาน ด้วยการพูดคุยกันเพียงแค่สั้นๆ ไม่กี่ประโยค ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม น้องสาวคนนั้นก็ถึงกับบุ้ยปากให้หนุ่มหล่อ
“หรือว่าทั้งคู่จะลองไปทดสอบหน้ากล้องดูก่อน!”
มองดูแล้วการจะให้ทั้งคู่คุ้นเคยกันนั้นคงเป็นไปได้ยาก เห็นได้ชัดเลยว่าใบหน้าของหนุ่มหล่อกำลังกลุ้มใจ บรรดาพนักงานหญิงรอบๆ ก็อดไม่ได้อยากจะเข้าไปด่านางแบบสาวคนนั้น ผู้กำกับก็ทำได้แค่ให้คำแนะนำ “ยังไม่ถ่ายจริงนะ ผมแค่อยากจะดูพวกคุณเวลาอยู่หน้ากล้องก่อน”
ให้ทั้งคู่ได้ลองแตะเนื้อต้องตัวกันสักนิด คงไม่น่ามีปัญหาหรอกมั้ง?! หนึ่งก็เพื่อจะลองก่อนการถ่ายจริง สองก็เพื่อรับมือกับความเห็นแก่ตัวของบอสใหญ่...ผู้กำกับผ่านตานักแสดงมากฝีมือมาก็เยอะ ต่อให้ฟางม่อพยายามปิด แต่จากการกระทำของฟางเฟยที่คอยแอบเหลือบมองเย่ซวงอยู่ตลอด ความก็แตกแล้ว
คำแนะนำของผู้กำกับทำให้ทุกคนถอนหายใจออกมา เย่ซวงไม่เพียงถูกเหน็บแนมให้อึดอัดใจจนพูดไม่ออก แม้แต่คนเหน็บแนมอย่างฟางเฟยเอง ก็ไม่ต้องคิดหาหัวข้อสนทนาให้ปวดหัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเห็นอกเห็นใจของพนักงานที่มีต่อเย่ซวง พูดจากมุมของการทำงานอย่างเดียว การที่ความสัมพันธ์ของนักแสดงทั้งสองมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ นั้น ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น
หลังจากที่เช็กมุมกล้อง และสิ้นเสียงของผู้กำกับ ก็ถึงเวลาเริ่มลองถ่ายได้
เย่ซวงเงยหน้าขึ้นมามองตำแหน่งของกล้อง ก่อนจะละสายตาไปยังนอกหน้าต่างพึมพำราวกับว่าคิดอะไรอยู่ คนที่ถือสเลทอยู่ก็สงสัย คิดว่าเป็นเด็กใหม่คงตื่นเต้น เลยพูดปลอบออกมาสองสามประโยค “ไม่เป็นไร ผู้กำกับของพวกเราใจดี ยิ่งพวกเธอเป็นเด็กใหม่ด้วยแล้ว ต่อให้ฉากแรกถ่ายออกมาไม่ดีก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
หลังจากที่ในสมองได้สร้างภาพสามมิติเสร็จแล้ว เย่ซวงจึงได้สติคืนมา หันไปยิ้มให้กับคนหวังดีแล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ ผมแค่คิดเลขก่อนเท่านั้น”
คิดเลข?!
คนถือสเลทได้ฟังก็รู้สึกประหลาด ในใจก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ แต่เย่ซวงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ จึงพยักหน้ารับไม่ได้ถามรายละเอียดเพิ่มเติม หลังจากที่เริ่มแน่ใจว่าทั้งคู่เตรียมพร้อมแล้ว คนที่ตีสเลทอยู่ในฉาก ตีเสร็จก็รีบออกมาจากฉาก
...เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ทุกคนเปิดมุมมองความคิดใหม่
คนในวงการต่างรู้ว่า บางครั้งพวกนักแสดงที่ทั้งรูปร่างหน้าตาดี และฝีมือการแสดงก็เป็นที่น่ายกย่อง บางครั้งกลับไม่เป็นที่นิยม...จริงๆ แล้วโชคก็เกี่ยว แต่หลักๆ ก็คือไม่ขึ้นกล้องเอาเสียส่วนใหญ่
การขึ้นกล้องก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนในกล้อง จะต้องมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาของทุกคน
คนที่ขึ้นกล้อง ต่อให้เขาไม่ได้เป็นตัวเอก แต่ก็ทำให้ผู้คนจับตามองไปที่เขาได้ตั้งแต่แวบแรกอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกเหมือนว่า ทั้งจอนั้นเขาได้ดึงดูดสายตาของทุกคนไปไว้ที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
ในทางกลับกัน ถ้าหากนักแสดงไม่ขึ้นกล้อง ต่อให้บทพูดเยอะหรือออกกล้องบ่อย ผู้ชมก็จะมองข้ามเขาไป และไปมองตัวละครอื่นมากกว่า...ก็จะทำให้รู้สึกว่า ตัวเอกเหมือนกระดานฉากที่ไม่มีคนสนใจยังไงอย่างนั้น
ถ้ากระดานฉากมีบทพูดหรือออกกล้องเยอะกว่าเดิม ทีนี้ไม่ใช่แค่ไม่เด่น แต่จะขวางหูขวางตาไปด้วย ไม่ว่าจะมองยังไงก็รู้สึกขัดไปหมด ดูเป็นตัวละครหลักที่ออกมาอย่างไม่สมเหตุสมผล กลายเป็นตัวกระจอกงอกง่อยในฉากแทน...
แน่นอนว่ามีคนขึ้นกล้องจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะย่ำแย่มากจนถึงขั้นนี้ แต่คนที่เกิดมาเพื่อขึ้นกล้องโดยแท้จริงนั้นก็หาได้ยากเช่นเดียวกัน
นักแสดงรุ่นก่อนต้องผ่านการลับฝีมือจากผลงานการแสดงมากมาย ถึงจะค่อยๆ มีสัญชาตญาณแบบนี้ สัญชาตญาณที่ว่า ควรจะยืนอยู่ในตำแหน่งไหน สัญชาตญาณที่ว่า ในฉากควรจะแสดงออกมาแบบไหน...หลังจากที่มาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีแค่ปัญหาของการฝึกฝีมือการแสดงเท่านั้น แต่ยังเป็นมีเรื่องของการสั่งสมความสามารถและประสบการณ์อีกด้วย...
แต่ว่าตอนนี้ผู้กำกับที่อยู่หลังกล้อง กำลังตกใจกับการแสดงของเย่ซวง
แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดกล้องถ่ายจริงๆ จังๆ แต่พูดจากการมองผ่านเลนส์กล้องอย่างเดียวก็บอกได้ว่า คนที่อยู่หน้ากล้องตอนนี้ แสดงออกมาได้อย่างลื่นไหลและดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก ราวกับมีแรงดึงดูดให้ทุกคนจับจ้องไปที่ตัวเขา และไม่สามารถที่จะละสายตาออกมาได้เลย
ในตอนแรก ผู้กำกับคิดว่าคงเป็นเพราะหน้าตา แต่หลังจากดูต่อไปอีกสักพัก ก็เห็นว่า สายตาที่มองมานั้นดูเป็นธรรมชาติและตำแหน่งที่ยืนอยู่ก็ถูกต้องด้วย
หากไม่นับการแสดงที่ดูแข็งทื่อไปเล็กน้อย ก็แทบจะเทียบได้กับดารารุ่นก่อนที่สั่งสมประสบการณ์หน้ากล้องมาเป็นสิบๆ ปีได้เลย
ส่วนนางแบบสาวออกจะเหมือนเด็กใหม่มากกว่า เมื่อเทียบกับเย่ซวงแล้ว...ก็คือโศกนาฏกรรมที่มักจะถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง
“เก่งเกินไปแล้ว”
ผู้กำกับที่ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว รีบประกาศให้หยุดทันที และส่งรองผู้กำกับที่ใบหน้าไม่สมัครใจ ไปชี้แนะนางแบบ ส่วนตัวเองก็รีบไปยืนอยู่ข้างเย่ซวงทันที “พ่อหนุ่มเย่ เมื่อก่อนเคยไปแสดงละครที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า?”
เย่ซวงที่เพิ่งรับน้ำแร่มาจากพนักงานสาวก็ตกตะลึง “ไม่เคยครับ!” ตั้งแต่เรียนจบจนถึงตอนนี้ก็ได้แต่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ อย่าพูดถึงเรื่องถ่ายละครเลย แม้แต่เวทีเธอยังไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง
“งั้น งั้นตำแหน่งที่ยืนอยู่เมื่อกี้...” ผู้กำกับยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
หรือว่านี่จะเป็นพรสวรรค์ที่เขาร่ำลือกัน? **!
เมื่อเย่ซวงลองคิดดู ในที่สุดก็เข้าใจความหมายที่ผู้กำกับพยายามสื่อ “ที่คุณพูดถึงคือสัดส่วนทองคำ*ใช่ไหม?”
“ฮะ?!”
“พูดง่ายๆ ก็คือถ้านำฉากในเลนส์กล้องมานับเป็น 1 ส่วนล่ะก็ ตำแหน่งที่ 0.618 ก็จะเป็นตำแหน่งยืนที่ดึงดูสายตาคนได้มากที่สุด นี่เรียกว่าจุดแบ่งทองคำหรือว่าเส้นแบ่งทองคำ นอกจะมันจะเพิ่มเส้นแบ่งแสงและเงาแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของกล้องและ...” ขณะที่เย่ซวงกำลังตั้งใจอธิบายอยู่นั้นไม่ได้มีความหมายเชิงสั่งสอนแอบแฝงอยู่เลย “...ดังนั้นต้องพิจารณาถึงปัจจัยพวกนี้ด้วย หลังจากที่ลองสร้างโมเดลสามมิติดูแล้ว ก็จะสามารถเห็น...”
...
หลังจากที่ได้ฟังการบรรยายร่วมสิบนาที ผู้กำกับก็ได้เดินใจลอยออกไป แม้แต่การพูดแสดงความเกรงใจก็ลืมไปจนหมดสิ้น
รวมทั้งคนในวงการหนังที่อยู่ในห้องนั้น หลังจากที่ได้ยินที่เย่ซวงพูดมาทั้งหมด ทุกคนก็ดูเหมือนคนโง่ไปในทันที
ตอนนี้ทุกคนจึงคิดว่า เย่ซวงไม่ได้มีดีแค่หน้าตาเพียงอย่างเดียว พวกเขายังอยากรู้อีกว่า ผู้จัดการฟางม่อคนนั้นตกลงว่าไปขุดคนซาดิสม์นี่มาจากที่ไหนกัน?
* สัดส่วนทองคำ คือสัดส่วนที่เหมาะสมและสวยงามที่สุด