DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 22
ตอนที่ 22
เพียงชั่วพริบตาเดียวเย่ซวงก็รับรู้ได้ถึงความเกลียดชังจากอีกฝ่าย
ครั้งที่แล้วตอนที่น้องสาวเขากับตัวเองเจอกัน เขาก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วนี่ เพิ่งจะได้เจอกับฟางเฟยด้วยร่างผู้ชายครั้งแรก เธอก็ดูเหมือนเกลียดชังกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด
คราวนี้ก็เช่นกัน?!
เย่ซวงเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี คิดดูแล้วก็รู้ว่าหากร่วมงานกันต่อไปคงได้มีปัญหาแน่นอน...ยังดีที่ถ่ายแค่วันเดียวก็เสร็จแล้ว!
ยังดีที่ถ่ายแค่วันเดียวก็เสร็จแล้ว...ฟางม่อเองก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
น้องสาวของเขายังมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม ในฐานะที่เป็นพี่ชาย แน่นอนว่าฟางม่อรู้ดี เพราะว่าเขารู้ดีนี่แหละ จึงไม่ได้ดูท่าทางการเข้าหาเย่ซวงของฟางเฟยเป็นพิเศษ
ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นแค่ผู้ชายที่ซื่อตรงและใจกว้างล่ะก็ คงจะเหมาะกับนิสัยของฟางเฟยไม่ใช่น้อย อย่างน้อยขอแค่เป็นคนปกติก็พอ...แต่เย่ซวงที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ดูยังไงก็เป็นผู้ชายที่ไม่คล้อยตามคนอื่น เขาคงไม่มีทางมองออกว่าฟางเฟยนั้นซ่อนความรู้สึกดีๆ เอาไว้ และเขาเองก็คงไม่มานั่งใส่ใจด้วย
ถ้าจะให้พูดก็คือ ทำไมคนแบบเย่ซวงจะต้องมาทนอยู่กับฟางเฟยด้วยล่ะ?! ในเมื่อเขาก็มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ให้เลือกตั้งเยอะ
เมื่อใช้วิจารณญาณของตัวเองคิดดู ฟางม่อก็คาดเดาอนาคตของทั้งคู่ได้ ถ้าเป็นตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็จะไม่เปลืองแรงไปยุ่งกับผู้หญิงที่ถึงแม้จะมีความรู้สึกดีๆ กับเรา แต่กลับทำในสิ่งที่เราสุดจะทนอยู่บ่อยครั้ง
ความมีหน้ามีตาของลูกผู้ชาย ไม่ได้มีแค่เรื่องการหยิ่งในศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ต้องทำให้คนรอบข้างเคารพได้ด้วย โดยเฉพาะกับผู้ชายที่โดดเด่นคนนี้ หากโดนหักหน้าหลายต่อหลายครั้งเวลาอยู่ข้างนอก ก็จะทำให้คนอื่นดูถูกเขาเอาได้ หากอยากจะเข้าสังคมหรือพัฒนาตัวเองในภายหลัง ก็คงเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย
นามบัตรของคนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เป็นแค่กระดาษแผ่นเล็กบางเพียงแผ่นเดียว แต่ยังเป็นศูนย์รวมของหลายๆ อย่างเช่นความน่าเชื่อถือ ความสำเร็จ ความนับหน้าถือตา เป็นต้น...
เมื่อมองเห็นใบหน้าของเย่ซวงที่มองมาอย่างตำหนิ ฟางม่อก็มั่นใจในการคาดเดาของตนเอง จากนั้นจึงกระแอมออกมาเบาๆ อย่างเคอะเขินก่อนจะก้าวเท้ามาสองสามก้าวแล้วอธิบายด้วยเสียงเบาว่า “เฟยเฟยเห็นว่าโฆษณาชิ้นนี้น่าสนใจ ก็เลยมาทำเล่นๆ คุณช่วยเข้าใจผมหน่อยนะ”
“...”
พูดอะไรไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ออกมาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ?!
สายตาของเย่ซวงบอกเป็นนัย ทำให้ฟางม่อยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้นไปอีก
แต่ในเมื่อเจ้านายที่เป็นคนให้เงินเปิดปากพูดออกมาแล้ว เย่ซวงก็คงจะพูดขัดอะไรไม่ได้ ฟางม่อเองก็ไม่คิดที่จะอธิบาย เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวอีก ในฐานะที่เย่ซวงเป็นผู้ถูกว่าจ้างจึงไม่มีตำแหน่งและคุณสมบัติอะไรที่จะไปต่อปากต่อคำกับเขา
ฟางม่อไม่อยากโดนลากเข้าไปยุ่งกับความรักสุดแสนเวียนหัวของน้องสาวตัวเอง เขาจึงพูดนิดเดียวแล้วก็รีบหลบออกไปก่อน
ส่วนเย่ซวงเองก็หมดทาง ได้แต่นั่งรอผู้ร่วมงานของตัวเอง นั่นก็คือสาวสวยนามว่าฟางเฟยที่กำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่นั่นเอง
“คุณเย่เดินเล่นในห้องได้ตามสบายเลยนะ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง อีกอย่างพวกเราจะต้องถ่ายกับฉากพวกนี้ด้วย” ตากล้องที่เห็นเย่ซวงยืนพิงกำแพงเลื่อนอ่านนิยายในมือถืออยู่อย่างเบื่อหน่าย ก็เดินเข้ามาพูดด้วยประโยคหนึ่ง
ปกติแล้วกระบวนการผลิตโฆษณาจะต้องมีบทละครและการกำหนดฉากเอาไว้แล้ว แต่ในกรณีของเย่ซวงจะเรียกว่ายังไงดีล่ะ แค่ยืนพิงกำแพงด้วยท่วงท่าสบายๆ ก็สวยงามราวกับรูปวาดแล้ว แม้แต่ทีมงานที่เห็นคนสวยคนหล่อจนชินตาแล้ว ก็ยังไม่อาจต้านทานความหล่อของเย่ซวงได้เลย การทำให้พวกเขาเป็นได้เช่นนี้ ก็แสดงว่าพวกเขาเห็นถึงเสน่ห์ของเย่ซวงแล้ว
และด้วยเหตุผลนี้ ผู้กำกับที่รับผิดชอบการถ่ายโฆษณาครั้งนี้ถึงได้มีความคิดแปลกๆ ออกมา
ยังไงเสียเนื้อหาของการถ่ายโฆษณาครั้งนี้ก็คือการแนะนำชีวิตในห้องใหม่ ไหนๆ แล้วก็ถ่ายฉากของเด็กหนุ่มคนนี้เพิ่มอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
ตอนถ่ายออกมาคงไม่ต้องพูดกับทั้งคู่ก่อน ต่อมาในส่วนของการตัดต่อนั้น แก้ไขนิดหน่อยก็นำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ของบริษัทได้
บางทีคนอาจจะดูเพราะตัวเอกของโฆษณา ถึงตอนนั้นกระแสการเข้าชมคงจะเยอะไม่น้อยเลย
น่าเสียดายที่นานทีจะมีนายแบบดีๆ แบบนี้ บวกกับรู้จากฟางม่อว่า อีกฝ่ายเป็นเพียงหน้าใหม่เท่านั้น ผู้กำกับจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เขาจะถ่ายให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนเรื่องการเข้าฉากของนักแสดงหญิง?! ไม่ต้องสนใจเธอหรอก ถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็มีคนเซทฉากให้เองแหละ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนกำหนดฉากและนักตัดต่อแล้วกัน
เย่ซวงที่อ่านนิยายอยู่เงยหน้าขึ้นมาอย่างมึนงง แล้วถามว่า “พิงเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ได้ใช่ไหม?”
โซฟานั่น ทีวีนั่น มินิบาร์นั่น ดูท่าจะแพงมาก...หากทำพวกนั้นเสียหายล่ะก็ ตัวเองคงไม่มีปัญญาชดใช้แน่นอน
ไม่แน่ว่าของพวกนี้อาจจะเช่ามาทั้งหมดก็ได้ ถ่ายเสร็จแล้วก็ต้องเอากลับไปคืนที่ร้าน ถ้าหากทิ้งรอยนิ้วมือหรืออะไรพวกนี้ไว้ เกรงว่าฟางม่อเองก็จะไม่รอด!
“ตามสบายเลย” ตากล้องเดินเข้าบอกให้เย่ซวงเลิกกังวล “ห้องนี้เป็นห้องที่เจ้านายของบริษัทตกแต่งเสร็จแล้วเตรียมเข้ามาอยู่ เพราะฉะนั้นคุณก็คิดซะว่าตัวเองเป็นแขกของเพื่อนก็พอ ยังไงเฟอร์นิเจอร์พวกนี้เขาก็ใช้เอง”
เย่ซวงโล่งใจขึ้นมา “พูดแบบนี้แล้ว ผมก็สบายใจ” พูดจบก็หย่อนตัวลงนั่งลงบนโซฟา แล้วยื่นขาออกมา ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ท่าทางขี้เกียจนั้นเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นจุดสนใจของบรรดาพนักงานหญิงรอบข้างที่มองดูอย่างเขินอาย
แม้แต่ฟางเฟยที่แต่งหน้าอยู่ไม่ไกล ก็อดไม่ได้ที่จะใช้กระจกแอบมองไปทางนั้น
แต่เย่ซวงกลับไม่ได้สนใจว่าคนรอบตัวนั้นแปลกไป เธอรีบออกมาที่บริษัทตั้งแต่เช้า หลังจากได้รับข้อความจากพนักงานต้อนรับก็รีบตรงมาที่ตึกใหม่ทันที มาถึงก็ไปแต่งหน้าแต่งตัว เมื่อกี้ก็กลัวว่าจะทำให้เฟอร์นิเจอร์ของเขาสกปรกเลยไม่กล้าไปหยิบจับอะไรเท่าไร เท่ากับว่าตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เธอยืนอยู่ตลอด...แม้ว่าร่างกายของเธอจะไม่ได้รู้สึกปวดเมื่อยแต่อย่างใด แต่ความเหนื่อยหน่ายใจยังคงมีอยู่!!