ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 20
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 22

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 21


ตอนที่ 21

ไม่ว่าเย่ซวงจะคิดไว้แล้วหรือยังไม่ได้คิด อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดี

แต่เธอยังโชคดีกว่าพ่อแม่ของเธอตรงที่ก่อนจะต้อนรับญาติคนพิเศษที่มารุมดูลูกเขยบ้านเย่กันนั้น เธอสามารถใช้เหตุผลเรื่องงานมาช่วยปลีกตัวออกไปได้หนึ่งวัน

เมื่อจะออกจากบ้านในวันรุ่งขึ้น เย่ซวงก็โดนคนในบ้านมองด้วยความอิจฉา

“เฮีย หนีออกไปแบบนี้คนเดียวไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอ?!” เย่เฟิงกลุ้มใจมาก ในเมื่อเย่ซวงได้หนีออกไปแล้ว ตอนนี้เขาก็กลายเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้านเย่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ด้วยความสามารถส่วนตัวของเขา คงหนีได้เร็วกว่าเย่ซวงเสียอีก

“เด็กดี เรียกเจ๊สิ!” เย่ซวงเองก็กลุ้มใจเหมือนกันพร้อมกับตบเบาๆ ที่ตัวหมาน้อยเย่เฟิง ก่อนจะพูดออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง “ฉันว่า ถ้าฉันยังอยู่อาจทำให้คนแก่ตกใจกันได้ มันจะแย่เอา แกคิดถึงคุณยายที่อายุอานามก็ปาไปตั้งขนาดนั้นแล้วดูสิ...”

 

เรื่องอื่นที่จะพูด ก็กลัวว่าคุณยายหลัวจะตื่นตระหนกไปเสียก่อน

 

โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่บ้านนี้ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนหัวสมัยใหม่ ปกติจะกล้าโยนคำถามถามพวกเด็กวัยรุ่นอย่างเช่น สมัยที่เย่ซวงเข้ามัธยมใหม่ๆ ตอนกลับไปฉลองงานปีใหม่ที่บ้านคุณยายก็มักจะถูกคุณยายรั้งเอาไว้ โดยที่พ่อแม่เองก็ช่วยไม่ได้ จากนั้นคุณยายก็หัวเราะพร้อมกับถามเย่ซวงว่า ‘ซวงเอ๊ย มีแฟนกับเขาหรือยังลูก’

 

คนแก่คร่ำครึแบบท่านจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?!

 

สองสามีภรรยารู้สึกว่าลูกตนเองนั้นยังเด็กอยู่ ยังไม่ค่อยประสีประสา โดยเฉพาะเรื่องระหว่างชายหญิงยังคงเป็นเหมือนกับกระดาษขาวบริสุทธิ์อยู่

ยังไงเสียจนถึงตอนนี้เย่ซวงก็ยังไม่สามารถเข้าใจคุณยายได้สักที ความขรึมของท่านนั้นอยู่ในระดับที่ยากจะรับมือ ทำให้ยากที่จะปลีกตัวออกมาได้ แม้แต่พ่อแม่เองก็คงจะโดนเมินเช่นกัน แล้วมือแก่ๆ ก็จะคว้ามือเล็กๆ เอาไว้พร้อมกับหรี่ตาหัวเราะออกมา ‘พ่อหนุ่ม เธอกับเย่ซวงของเราไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?’ ...แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

 

หลังจากที่บอกลาคนในบ้านแล้ว เย่ซวงก็เรียกรถตรงไปยังบริษัทของฟางม่อ

 

แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้ถ่ายโฆษณาเช้าอะไรขนาดนั้น แค่อยากจะทำความเคยชินกับสถานที่ และลองแต่งหน้าก็เท่านั้น

แต่ว่าการแต่งหน้านั้นก็ใช้เวลาไม่น้อยเลย เพราะต้องแต่งให้ออกมาเข้ากับเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ ถ้าใช้เวลาถ่ายทำนาน ก็ต้องเตรียมเสื้อผ้ามามากกว่าหนึ่งชุด คงไม่มีดาราคนไหนอยากให้คนอื่นมาเห็นร่างกายและใบหน้าของตัวเองมีข้อด้อยกันหรอก บวกกับความเข้ากันของบุคลิกของแต่ละคนด้วย ดังนั้นการเลือกเสื้อผ้าและการแต่งหน้าก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง

 

น่าเสียดายที่สำหรับเย่ซวงแล้ว เรื่องพวกนี้มันไม่จำเป็นเอาเสียเลย

 

ฟางม่อมองไปยังเย่ซวงในชุดออกกำลังกายที่เปิดประตูเดินเข้ามาก็สามารถสะกดทุกสายตาในห้องแต่งตัวเอาไว้ได้ ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ นี่แหละคือเพื่อนที่ตัวเองให้การยอมรับ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็เป็นเป้าสายตาเสมอ

วันที่มาเซ็นสัญญากับบริษัทฟางม่อมีบางคนยังไม่เคยเห็นหน้าเขา แต่ตอนนี้ทุกคนก็ดูเหมือนจะพอใจกันแล้ว

เขาคิดว่าบอสใหญ่ทำงานโดยใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นใหญ่อยู่บ้าง ไม่ได้เชิญดาราดังๆ มาก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ควรจะหาคนที่มีประสบการณ์ในวงการมาถ่ายสิ...แต่เมื่อเย่ซวงได้เห็นตัวเองตอนนี้ก็เข้าใจได้เลยว่า ‘ประสบการณ์มากมาย’ นั้นเป็นแค่ความได้เปรียบของพวกที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่สำหรับคนที่ระดับต่างกันมาก...อย่างเช่นหน้าตา...ที่ต่างกัน พวกประสบการณ์อะไรนั่นไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด

“นี่คือพรีเซนเตอร์คนใหม่ของเรา” ผู้จัดการคนที่เย่ซวงเคยเห็นบนแท่นประชุมในบริษัทอยู่ไกลๆ เดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแดงฝาดยื่นมือออกมาหาเย่ซวงอย่างเป็นมิตร “ดีจริงๆ โฆษณาตัวนี้จะต้องดังเป็นพลุแตกแน่ๆ”

 

พรีเซนเตอร์?!

 

เย่ซวงยื่นมือออกไปจับด้วยสายตาสับสน พร้อมกับมองไปยังฟางม่อที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

ฟางม่อกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะแนะนำเย่ซวงให้ทุกคนรู้จัก “คนนี้คือคุณเย่ที่จะมารับงานถ่ายโฆษณาให้เรา ตามที่ระบุในสัญญาเขาจะมาถ่ายให้เราแค่หนึ่งตัว ส่วนเรื่องโปรโมตนั้น...เขาไม่ได้อยู่ในวงการนี้ เพียงแค่มาช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวเท่านั้นครับ”

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังแล้ว พวกเขาก็แทบอยากจะฉีกสัญญาทิ้ง พร้อมกับแสดงสีหน้าเสียดาย “ถ้างั้นคุณเย่อยู่วงการไหนล่ะ?! ถ้ามันไม่กระทบต่องานที่ทำล่ะก็ มาถ่ายโฆษณาควบอีกสักสองสามตัวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง! เอ๊ะ ไหนจะยังมีงานประชาสัมพันธ์อีก ไหนจะโปสเตอร์อีกล่ะ...”

“บริษัทของคุณยังจะทำโปสเตอร์ออกมาด้วยเหรอ?” ในที่สุดเย่ซวงก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหว ไม่ว่ายังไงเธอก็เคยทำงานที่นี่มานาน การวางแผนการประชาสัมพันธ์คอนโดใหม่นั้น ต่อให้ไม่ใช่เรื่องของแผนกตัวเอง ไปๆ มาๆ ก็ได้ยินข่าววงในจากคนในบริษัทมาไม่น้อย “โฆษณาเครื่องสำอางถึงจะทำโปสเตอร์ไม่ใช่เหรอ!”

 

ภายในห้องแต่งหน้าอึดอัดขึ้นมาทันที

 

ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการตกลงว่าจะทำโปสเตอร์กัน แต่คงเพราะนายแบบหล่อขนาดนี้ ใครจะไม่ถือโอกาสนี้ถ่ายโปสเตอร์โปรโมตลงในนิตยสารดังๆ กันบ้างล่ะ...

ฟางม่อเองก็ยุ่งอยู่กับการแก้ต่างให้ “โปสเตอร์น่ะช่างมันเถอะ ยังไม่ได้เตรียมแผนการไว้เลยด้วยซ้ำ...ใช่สิ” อยู่ๆ เขาก็หันมาทางเย่ซวงพร้อมกับแสดงสีหน้าขอโทษเหมือนรู้สึกผิดก่อนจะพูดออกไปว่า “อีกสักพักนางแบบที่จะร่วมงานกับคุณจะมาถึงแล้ว คุณจะไปลองเสื้อผ้าก่อนหรือจะแต่งหน้าก่อนก็ตามสบายเลย”

เย่ซวงที่ยังไม่เข้าใจเท่าไรนั้นก็ได้แต่เดินตามช่างแต่งตัวเข้าไปในห้องลองเสื้อ จนกระทั่งเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมฟางม่อถึงแสดงสีหน้าอย่างนั้น

เมื่อช่างแต่งตัวทำผมให้เธอเสร็จ ไม่นานนางแบบก็ผลักประตูเดินเข้ามา ตอนนั้นเองเย่ซวงก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

เจ้าของใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น คือฟางเฟยนั่นเอง เมื่อเธอเดินเข้ามา ก็เหลือบไปเห็นหน้าของเย่ซวงที่การแต่งหน้านั้นไม่มีความจำเป็นเลย เพียงแค่เซตผมนิดหน่อยก็ทำให้ดูดีมีระดับได้แล้ว รวมทั้งเสื้อเชิ้ตและกางเกงลำลองสีดำที่เข้าคู่กัน...

สีขาวดำเป็นสีที่เรียบง่าย แต่เมื่อสองสีนี้มาอยู่บนตัวเย่ซวงกลับดูสะอาดตาจนทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวสั่นไหว สีสันต่างๆ หายวับไป ราวกับใจกลางจักรวาลนี้มีเพียงเธอยืนอยู่ตามลำพังในนั้น

ฟางเฟยชะงักไปชั่วขณะ ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อ แต่ก็พยายามไม่แสดงสีหน้าออกมา “ก็...ก็ดูดีนิ!”

สายตาของฟางม่อมองมาทางนี้อย่างสับสน ในใจก็รู้สึกผิดกับเย่ซวง ถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้มีคนรักอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยากที่จะเปิดปากพูดกับน้องสาวตัวเอง...

 

ทำให้คนรักเขาแตกคอกันเป็นเรื่องไม่สมควรนะ!

 

เย่ซวงสับสนตกตะลึงไปหลายวินาที แล้วก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด

มิน่าล่ะ ฟางม่อถึงได้ทำหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น เพราะรู้ว่าน้องสาวของตัวเองจะตามมาถ่ายโฆษณาด้วยนี่เอง

หาเรื่องให้เธออีกแล้วไง...

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด