DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 20
ตอนที่ 20
ก่อนที่จะไปเซ็นสัญญา เย่ซวงก็ได้ไปเอาบัตรประชาชนใบใหม่มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าต้องเสียเงินทำบัตรไปหลายหมื่นหยวนอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่เมื่อคิดถึงชีวิตที่ยังต้องดำเนินต่อไปแล้ว ยังไงก็ต้องใช้เงินอยู่ดี...อย่าไปพูดถึงเรื่องในอนาคตเลย แม้แต่ตอนนี้ถ้าไม่มีตัวตนที่ถูกต้องล่ะก็ เมื่อกี้คงเซ็นสัญญากับฟางม่อไม่ได้แล้ว
แต่ก็ช่างเถอะ เพราะค่าใช้จ่ายทั้งเสื้อผ้าและบัตรประชาชนใหม่นั้น แค่เงินที่ได้มาตอนเซ็นสัญญาก็ตั้ง 240,000 หยวน เท่ากับว่าตอนนี้ได้เงินหนึ่งในห้าส่วนมาแล้ว
เงินจำนวนนี้ก็ทำให้เย่ซวงได้แก้ปัญหาเรื่องงานของเธอไปในตัว แม้ว่าจะลาออกไปชั่วคราวแต่ก็ยังได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายมาเต็มจำนวน...คิดว่าคงเป็นเพราะตอนที่เธอเป็นผู้ชายนั้นได้ให้ความช่วยเหลือฟางม่อไว้นั่นเอง
หลังจากที่เธอได้รับค่าตอบแทนแล้วเธอก็คงต้องย้ายออกไปหาที่พักใหม่ ถ้าเป็นไปได้ทางที่ดีที่สุดระหว่างนี้เธอควรจะต้องรับงานพิเศษไปด้วย...
คิดดูแล้วจากนี้เธอยังต้องวางแผนทำอะไรอีกมากมาย ก็เลยถือโอกาสไปจ่ายตลาดซื้อผักกลับไปที่บ้าน แต่ก็เลือกผักไปด้วยจิตใจที่ล่องลอย เมื่อพวกป้าๆ เห็นใบหน้าที่มืดมนกับจิตใจที่ล่องลอยของหนุ่มหล่อก็อดสงสารไม่ได้ ดังนั้นจึงแถมหัวหอมให้อีกหนึ่งกิโลด้วย เพื่อจะให้หนุ่มหล่อคนนี้ไม่แสดงสีหน้าที่ทำให้คนอื่นปวดใจแบบนี้
...แม้ว่าจะซื้อผักสดมาหลายโล แต่เย่ซวงก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นหัวหอมถุงใหญ่ ข่า กระเทียมที่ได้มาจากพวกป้าๆ อยู่ในมืออีกเยอะแยะ จึงเดินเข้าบ้านไปแบบไม่ค่อยเข้าใจ
ตกลงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?!
“เซ็นสัญญาเสร็จแล้ว?!” หลังจากที่ได้ยินเสียงที่หน้าประตูบ้าน คุณนายเย่ก็ยกหม้อขึ้นก่อนจะชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัวและเห็นว่ามือทั้งสองของเย่ซวงนั้นเต็มไปด้วยของจำนวนมาก จึงอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า “ไปซื้อผักอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ นี่ลูกยังจะหิ้วหัวหอม ข่า กระเทียมอะไรมาอีกเยอะแยะ? ผักพวกนี้เอามากินไม่ได้ มันได้แค่เพิ่มรสชาติ...”
“เขาให้มาฟรี” เย่ซวงวางถุงวัตถุดิบต่างๆ ลงก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อนอกและเปลี่ยนรองเท้า หลังจากตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจแล้ว เย่ซวงก็ปลดกระดุมแขนเสื้อออกพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะหิ้วถุงที่ซื้อมาแล้วเดินเข้าไปในครัว จากนั้นสายตาก็มองไปที่กระทะ “มะเขือเทศผัดไข่? ให้ผมทำเถอะ ผมอยากจะลองแสดงฝีมืออยู่พอดี”
“ลูกทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ?!” คุณนายเย่ตกใจมาก “แม่จำได้ว่าเมื่อก่อนลูกไม่ชอบเข้าครัว...หรือว่าความทรงจำของมนุษย์ต่างดาวถ่ายทอดเรื่องนี้มาให้ลูก หน้าตามันจะเหมือนกับอาหารบนโลกใช่ไหม”
“เหมือนๆ กันนั่นแหละ” เย่ซวงเดินไปคว้าตะหลิวมาจากมือคุณนายเย่ ก่อนจะเดินไปที่เตาแก๊สแล้วพูดว่า “วัตถุดิบไม่เหมือนกัน วิธีการทำก็แตกต่างกัน แต่หลักการส่วนใหญ่ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“?”
หลักการหมายความว่ายังไง?!
ดูเหมือนว่าเย่ซวงจะอ่านสีหน้าสงสัยของคุณนายเย่ออกจึงถือโอกาสอธิบายต่อ “ก็อย่างเช่นมะเขือเทศผัดไข่นี่ ดูจากกระทะของบ้านเราแล้ว ที่ดีที่สุดต้องเอียงตะหลิวให้อยู่ที่Xองศาแล้วพลิก ถึงจะช่วยรักษารูปร่างของไข่ไม่ให้แตกออกจากกันได้ และต้องเอาออกจากกระทะก่อนถึงจะใส่เกลือได้ เพราะว่าเกลือมีคุณสมบัติของเบสอ่อน อาจจะทำให้ผนังเซลล์ยับยั้งการแยกน้ำจนมะเขือเทศเสียหายได้ ดังนั้นถ้าเกิดใส่เร็วเกินไปล่ะก็ มะเขือเทศก็จะไม่ค่อยมีน้ำชุ่มๆ ออกมา อาจทำให้...แม่เข้าใจเรื่องผนังเซลล์ไหม? ก็อย่างเช่น O ของมนุษย์เรา หลังจากโดน X ของเบสอ่อนกัดกร่อนผนังเซลล์ก็จะทำให้เกิด...”
“หลบไปเลย!!!”
ไม่ทันที่เย่ซวงจะพูดจบก็ถูกคุณนายเย่ใช้ตะหลิวชี้ไปที่นอกห้องครัวด้วยความโมโห
วันนี้มันเป็นวันบ้าบออะไรเนี่ย ผ่านไปยากเย็นเหลือเกิน! ถ้าต้องให้มาฟังยายตัวดีอธิบายอีกล่ะก็ วันนี้ก็ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี?!
เย่ซวงเองก็พาลโกรธ เพราะเธอไม่ได้พูดโกหก แต่แค่พยายามจะอธิบายทฤษฎีกับแม่ตัวเอง และอีกอย่างความรู้พวกนี้ไม่ใช่ว่าเธออยากจะศึกษาเอง แค่หลับไปหนึ่งคืนก็รู้ขึ้นมาเอง...
เมื่อคุณเย่ที่ออกไปเดินเล่นข้างนอกกลับเข้ามาเห็น ‘ลูกชาย’ สุดหล่อนั่งอยู่บนโซฟาอย่างหดหู่ แล้วก็เหลือบไปเห็นภรรยาตัวเองในห้องครัวถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
“...เป็นอะไรไป?” คุณเย่ที่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นถามขึ้นมา
คนอยู่บ้านเดียวกันไม่ควรผิดใจกัน อีกอย่างเมื่อคืนภรรยาก็เพิ่งจะมาปรึกษากับตัวเอง แล้วสายตาก็มองไปยังลูกสาวที่ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ทั้งคู่ที่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ก็ได้ปรึกษากันว่าจะทำอาหารบำรุงให้ลูกสาวดีไหม เพื่อเป็นการชดเชยที่พวกเขาสองคนช่วยอะไรไม่ได้...แต่หลังจากที่เขากลับบ้านมา ทำไมท่าทีของภรรยาถึงได้เปลี่ยนไปจากเมื่อวานอย่างกับคนละเรื่องเลยล่ะ
คุณนายเย่เองก็ไม่ได้เป็นคนใจคับแคบ แล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้น แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ลูกสาวเปลี่ยนไปแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ที่ร่างกายของเย่ซวงเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าคนในบ้านไม่กลุ้มใจ เพียงแต่พยายามทำใจกว้างและมองโลกในแง่ดี เพราะไม่อยากทำให้คนที่บ้านรู้สึกกดดัน จึงทำท่าทางเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่...
ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงเหรอ?! อยู่ดีๆ ลูกสาวก็เปลี่ยนไป แล้วยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ในเมื่อไม่รู้จะช่วยยังไง จึงหลับหูหลับตาทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แล้วยังดีอกดีใจกันยกใหญ่ ‘โอ้โห ลูกสาวของฉันโชคดีเก็บของล้ำค่าได้’
...แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าผิดปกติจริงๆ
ถ้าจะพูดจริงๆ ล่ะก็ คุณนายเย่ก็แค่อยากจะหาที่ระบายแค่นั้น
ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณนายเย่จึงเก็บเรื่องเมื่อกี้มากลุ้มใจเพียงครู่เดียวก็สลัดทิ้งไป แต่หลังจากคุณเย่กลับมาก็อดไม่ได้ที่จะไปเล่าเรื่องตรรกะแปลกๆ ของเย่ซวงให้สามีฟัง...
หลังจากที่คุณเย่ฟังภรรยาเล่าถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นก็เงียบไป ชายวัยกลางคนทึ้งเส้นผมหนาๆ ของตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก “นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยคงต้องมีความผิดปกติแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะรู้ทฤษฎีมากเกินไป ทำให้พวกเขามองเรื่องต่างๆ แตกต่างจากคนทั่วไป...แม้ว่าเย่ซวงจะไม่ใช่นักวิจัยก็ตาม แต่เมื่อได้รับการถ่ายทอดความรู้จากมนุษย์ต่างดาว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมองอะไรต่างจากพวกเราไปบ้าง”
หลังจากที่คุณนายเย่สงบจิตสงบใจลงได้ คุณเย่ก็หันมาปลอบลูกสาวตัวเองว่า “เรื่องแบบนี้ต่อไปรู้ไว้ก็พอแล้ว พ่อคิดว่าช่วงแรกๆ ข้อมูลอาจจะเยอะหน่อย แต่วันข้างหน้ามันคงจะสร้างภาระให้สมองของลูกน้อยลงแล้วแหละ...ค่อยๆ ปรับตัวเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
เย่ซวงหยักหน้ารับด้วยความกลุ้มใจ หลังจากนั้นคุณเย่ก็ได้พูดเรื่องที่ทำให้สองคนแม่ลูกกลุ้มใจหนักกว่าเดิม
“ใช่สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ยายกับคุณน้าก็จะมาถึงแล้ว คิดกันไว้หรือยังว่าจะอธิบายยังไงดี”
“…”
ยังไม่ได้คิดเลย
!!!