DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
แมนจริงๆ! ผู้ชายทั้งแท่ง! ไม่เพียงแค่การเข้าห้องน้ำเท่านั้น ในทุกๆ เช้ายังต้องตื่นไปออกกำลังกายถึงจะเรียกว่าสุขภาพแข็งแรง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะผ่านเหตุการณ์ชำระล้างคราบสกปรกที่เป็นดั่งฝันร้ายเมื่อคืนไปได้เมื่อเย่ซวงลืมตาตื่นขึ้นมาก็ค้นพบทั้งน้ำตาว่า...จริงๆ แล้วชีวิตมนุษย์เราก็สิ้นหวังได้ขนาดนี้
สองสามีภรรยาแทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ได้แต่พลิกตัวไปมาไม่อาจข่มตานอนได้จนกระทั่งรุ่งสาง ทั้งสองไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นเช้ากว่าปกติ
ส่วนทางด้านเย่เฟิงความสามารถในการปรับตัวถือว่ายอดเยี่ยม ถึงเตียงหลับก็หลับเลย แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตใจแจ่มใส หลังจากนั้นก็เห็นหนุ่มหล่อหน้าตาซีดเซียวยืนต้มมาม่าด้วยความรันทดอยู่ในห้องครัวของตัวเอง
เย่เฟิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมายังคงสะลึมสะลือ มองเห็นใบหน้าของคนแปลกหน้าก็คิดว่ามีขโมยเข้ามาในบ้าน จึงยกกำปั้นขึ้นจะต่อยไป
ก่อนที่ปล่อยหมัดออกไปโชคดีที่หนุ่มหล่อหันหน้ามาก่อน ดวงตาที่คุ้นเคยทำให้เขานึกออกว่านี่คือพี่สาวแท้ๆ ของตนที่เพิ่งจะเปลี่ยนเพศไป
“เจ๊!?” เย่เฟิงตบใบหน้าเพื่อเรียกสติ แล้วก็ต้องตกใจ “เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมหน้าตาถึงได้โทรมแบบนี้เนี่ย”
“...” ร่างสูงไม่ได้ตอบรับแต่กลับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์สุดแสนจะลำบากที่ได้แต่เฝ้ารอให้ปฏิกิริยาการแข็งตัวในตอนเช้าของผู้ชายหายไป และยิ่งไม่มีทางบอกด้วยว่า ณ ตอนนั้นเธอต้องพบกับประสบการณ์ที่ขมขื่นเพียงใด “ไปทำเรื่องของแกนู่นไป”
สีหน้าเย่ซวงแสดงชัดถึงความกังวล แต่เย่เฟิงกลับรู้สึกสนุกขึ้นมา
เด็กนี่คิดไปถึงสถานการณ์ปกติที่ผู้ชายหลังตื่นนอนมักจะมี หลังจากนั้นก็หาสาเหตุได้ว่าทำไมสีหน้าของเย่ซวงถึงได้แย่แบบนั้น ที่สุดก็ลองเดาไปอย่างตื่นเต้นว่า “เจ๊ หรือว่าตอนเช้าไอ้นั่นมันแข็งขึ้นมา”
เป๊าะ...ตะเกียบในมือของเย่ซวงหักลง
“แบบนี้ถือว่าดีนะเจ๊ ร่างกายของเจ๊แข็งแรงปกติดี ...ก็ผู้ชายนี่เนอะ” เย่เฟิงเห็นท่าทีโมโหของร่างสูงใหญ่ก็ยิ่งรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งคน
เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนเพราะเขามันเป็นคนประเภทที่ชอบมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น แม้หนุ่มหล่อคนนั้นจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาเองก็ตาม
“อยากตายใช่ไหมถึงได้พูดแบบนี้” เย่ซวงเอาตะเกียบที่หักครึ่งทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี เหลือบไปมองเย่เฟิงอีกครั้งแล้วค่อยหยิบอีกคู่ขึ้นมา ก่อนจะก้มลงไปต้มมาม่าต่อ
จากความตื่นเต้นทำให้เย่เฟิงตื่นจากความสะลึมสะลือ เมื่อนึกถึงความแข็งของตะเกียบคู่นั้น
...หูยย แรงจะเยอะไปไหนเนี่ย!
เมื่อวานตอนที่คุยกัน เพราะว่าเรื่อง ‘เพศที่ยังไม่แน่นอน’ ทำให้ทุกคนช็อกกันมาก ทั้งนี้รวมเย่เฟิงด้วย คนในบ้านส่วนใหญ่เลยไม่ได้สนใจคำพูดอีกส่วนหนึ่งของเย่ซวง นั่นก็คือเรื่องหลังจากที่ได้รับดีเอ็นเอแล้วร่างกายและสมองของเธอจะพัฒนามากขึ้น
แต่เมื่อได้เห็นเย่ซวงหักตะเกียบด้วยมือเปล่าแล้ว เย่เฟิงก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วเจ๊ของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่คิด
...ก็ใช่ เมื่อวานดูจากซิกแพกแล้ว คงไม่ได้เอาไว้ดูเล่นสวยๆ แน่...
เย่เฟิงยืนคิดจนสติลอยไปยังไม่กลับมา จนเย่ซวงยกถ้วยมาม่าเดินสวนออกมานั่งกินที่โต๊ะ สักพักเขาจึงได้สติ
เย่เฟิงที่อยากจะรู้ความจริงเดินตามมาขอคำอธิบาย
“เจ๊! เจ๊ใหญ่จ๋า! พูดออกมาเถอะ เจ๊มีพลังพิเศษด้วยใช่ไหม” เย่เฟิงแย่งถ้วยมาม่าแล้วตักเส้นอย่างไม่เกรงใจ รีบกินและถามต่อว่า “อย่างเช่น มองทะลุ? อ่านใจ? หรือว่าหยุดเวลา อะไรอย่างนี้อ่ะ เทอมหน้าผมมีสอบวิชาสาขาเจ๊ช่วยไปดูข้อสอบล่วงหน้าให้ผมหน่อยได้ไหม”
เย่ซวงรู้สึกเพลียกับน้องคนนี้เหลือเกิน “นายดูหนังเยอะเกินไปหรือเปล่า ก็แค่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น สมองดีขึ้น ความจำดีขึ้น และเพศที่เปลี่ยน...ถ้านายชอบอยากลองเปลี่ยนกับฉันไหมล่ะ”
“เอาสิๆ เปลี่ยนเป็นผู้หญิงก็ไปอาบน้ำกับสาวสวยได้น่ะสิ” เย่เฟิงเป่าเส้นมาม่าอย่างเบิกบานใจ ต่อให้เปลี่ยนไปก็ไม่กลัว ดังนั้นจึงพูดอย่างปากเก่งว่า “แต่ว่าเห็นพี่เป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่ได้ดูแปลกอะไรตรงไหนนะ ผมเห็นบางคนมีระบบแนะนำนู่นนี่โผล่ขึ้นมาบ้างล่ะ มีความสามารถพิเศษบ้างล่ะ แต่ทำไมอันนี้กลับเหลือให้เราแค่เนี้ย?!”
ถ้าไอ้เด็กเย่เฟิงคนนี้ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของเธอล่ะก็ เธอคงจับเขาโยนออกจากหน้าต่างชั้นสามของบ้านแล้ว
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ตื่น ดูเหมือนทั้งสองจะเตรียมตัวเตรียมใจมาตั้งแต่อยู่ในห้องแล้ว พอเดินออกมาแล้วเห็นหนุ่มหล่อเย่ซวงกำลังพับแขนเสื้อเพื่อเก็บจานชาม ทั้งสองกลับไม่ได้ดูตื่นเต้นเหมือนกับเย่เฟิง แน่นอนว่าความสับสนก็ยังคงมีอยู่ แต่สับสนไปก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น เดี๋ยวก็คงชินไปเองนั่นแหละ
คุณนายเย่เข้าไปในครัวแล้วรีบทำอาหารอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่านี้ ส่วนคุณเย่ก็เดินตรงไปยังห้องรับแขกและนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะกระแอมเสียงเบาๆ เป็นนัยให้เย่ซวงมานั่งตรงหน้าตัวเอง
“ซวงซวง...” คุณเย่เรียกชื่ออย่างคุ้นเคยเหมือนที่เรียกมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่พอเงยหน้าไปมองใบหน้าหล่อเหลาดังเทพบุตรลงมาเกิดแล้วก็แทบจะสำลักน้ำลายและรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ “...คือพ่อจะเรียกว่า เสี่ยวซวง” ยังที่ดีตอนตั้งชื่อให้ลูกสาวตั้งได้ดี ถึงจะใช้เรียกผู้ชายก็ไม่ถือว่าแปลก ไม่งั้นถ้าเรียกพวกโหรวเอย หว่านเอย เจี่ยวเอยพวกนั้น คุณเย่แค่คิดก็กลัวแล้ว
“...” เมื่อคำเรียกที่ถูกเรียกมาตลอดระยะเวลา 24 ปีเปลี่ยนไป สีหน้าของเย่ซวงก็แปลกไป แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ให้ได้ “พ่ออยากจะพูดอะไรเหรอ?”
“พ่ออยากจะถามว่า ลูกคิดจะทำยังไงต่อไป” คุณเย่กระแอมก่อนจะถามกลับไป
“ต่อไป?” เย่ซวงก้มหน้าใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าหล่อเหลาขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “เพื่อที่หนูจะได้กลับไปเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม หนูคิดว่าจะต้องหาผู้ชายดีๆ สักคนมามีอะระ…”
“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก!!!” คุณเย่กระแอมอย่างแรงขัดจังหวะหัวข้อสนทนานี้ “ไม่ใช่เรื่องนี้...แน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็สำคัญอยู่ แต่ว่าลูก...ช่างเถอะ ที่พ่อจะถามจริงๆ ก็คือ ก่อนที่จะกลับไปเป็นผู้หญิง ลูกคิดจะทำยังไงกับชีวิตประจำวันและงานที่ทำอยู่”
สีหน้าของคุณเย่ดูเคร่งขรึมแต่ในใจนั้นน้ำตาไหลเป็นสายเลือดไปแล้ว
ปัญหานี้มันค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน รู้แบบนี้แล้วเขาให้ภรรยามาพูดแทนซะยังดีกว่า
เย่ซวงรู้สึกถึงความกังวลในคำถามของคนเป็นพ่อดี แต่พอได้ยินคำถามนั้นก็ยิ่งทำให้เธอเครียดขึ้นมา “หนูกำลังคิดอยู่ จะทำอะไรด้วยร่างกายนี้มันยากมากสำหรับหนู เมื่อวานหนูเข้าห้องน้ำหนูก็ลำบากใจมากพอแล้ว แล้วยิ่งเรื่องทำงาน หนูไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี ถ้าหนูต้องลางานตั้งสามวันเพราะหนูเป็นผู้ชาย ขืนเป็นแบบนี้ไม่ถึงเดือนต้องโดนไล่ออกแน่ๆ”
ในฐานะคนเป็นหัวหน้าครอบครัว แน่นอนว่าเขาคิดหาทางออกให้ลูกสาวของเขาไว้หมดแล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามานั่งคุยกับเย่ซวงอยู่ตอนนี้
แต่ถ้าให้พูดตามความจริงแล้ว เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เจอกันง่ายๆ แม้เขาจะมีประสบการณ์ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ถ้าจะทำจริงๆ ก็อาจจะยากอยู่
“งานที่ทำจำเป็นต้องเปลี่ยนนะ” คนเป็นพ่อตัดสินใจในประเด็นสำคัญก่อน “ลูกทำงานออฟฟิศ ถ้าหายไปนานๆ อาจทำให้คนอื่นสงสัยได้...แต่ถ้าเปลี่ยนงานแล้วจะไปทำงานอะไร เรื่องนี้ลูกก็ลองคิดดูเองแล้วกันนะ แค่กๆ ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ลูกก็ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ยังไงเสียนี่ก็เป็นร่างกายของลูกนี่นา ไม่ต้องไปอายอะไรหรอก”
“หนูจะพยายาม” เย่ซวงกัดฟันตอบรับคำของคนเป็นพ่อ
คุณนายเย่ยกอาหารมาตั้งที่โต๊ะพอดีกับที่บทสนทนาของพ่อลูกจบลง
คุณเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินไปล้างมือเตรียมมากินข้าว ส่วนเย่ซวงก็นั่งเศร้าอยู่บนโซฟากับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
ทุกคนต่างก็ชอบสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น ภาพชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา หลุบสายตาลงต่ำคิ้วเรียวเรียงตัวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความกลัดกลุ้มนั้นทำให้คุณนายเย่ใจสั่น เย่ซวงแค่นั่งอยู่เฉยๆ แต่กลับงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมัน ทำให้คุณนายเย่กินข้าวไม่ลง จึงเช็ดมือก่อนจะลุกเดินเข้าไปปลอบใจ ‘ลูกชายคนโต’
“ซวงซวง อย่าเสียใจไปเลยลูก ยังไงเสียอีกสามวันลูกก็กลับมาเป็นผู้หญิงอยู่ดี” คุณนายเย่ลูบหลังปลอบใจ “เดี๋ยวแม่จะพาไปซื้อเสื้อผ้านะ เรื่องอื่นเราค่อยว่ากัน”
“อืม” รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว เย่ซวงจึงเงยหน้าฝืนยิ้มให้เล็กน้อย พยักหน้าและกำลังจะอ้าปากพูด จากนั้น…
ภาพหนุ่มหล่อใบหน้าเศร้าสร้อยแต่แฝงไว้ด้วยความงดงาม ก็ทำให้คนเป็นแม่แทบจะเลือดกำเดาไหล
สีหน้ากังวลเผยขึ้นบนใบหน้าของเย่ซวง