DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 19
ตอนที่ 19
สังคมในยุคปัจจุบันได้เข้าสู่ยุคที่ผู้คนมีอิสระทางความรักกันแล้ว อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ความรักเหมือนอาหารจานด่วนนั่นแหละ
ถ้าให้คุณเย่พูดล่ะก็ เรื่องความรักของลูกสาวที่บ้านก็ไม่เคยทำให้เขาต้องกังวลใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างแรกคือ ยุคสมัยมันต่างกัน เรื่องส่วนตัวแบบนี้หากเอามาใส่ใจมากเท่าไรทุกคนก็จะยิ่งรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นอิสระ
อย่างที่สองคือ เงื่อนไขในการเป็นคู่รักคลุมเครือเกินไป ต่อให้เอามาใส่ใจก็ยากที่จะแยกคู่รักออก...
ยกตัวอย่างเช่น ชายโสดหญิงโสดออกไปกินข้าวดูหนังกันสองต่อสอง หากเป็นเมื่อ 20 ปีก่อนนี่ก็เรียกว่าคู่รักแล้ว แต่ในปัจจุบันมีความเป็นไปได้หลายอย่าง สองคนนั้นสามารถเป็นได้ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ทั้งหมดทั้งมวลคือความคลุมเครือ...สรุปแล้วไม่สามารถดูจากกิจกรรมระหว่างคนต่างเพศสองคนเพียงอย่างเดียวมาตัดสินว่าเป็นคู่รักกันได้ นอกจากเสียแต่ว่าสถานที่ทำกิจกรรมของพวกเขาจะอยู่ที่ห้องพักของโรงแรม...
อีกอย่างคือ ต่อให้ตกลงคบกันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกจะคบกับคนนั้นไปโดยตลอด ตราบใดที่ยังไม่แต่งงานก็จะเปลี่ยนคนรักไปอีกสักสองสามคนถึงจะตัดสินใจได้
ดังนั้นเมื่อคิดถึงเรื่องความรู้สึกที่เปลี่ยนไปได้ตลอด ตอนนี้พวกผู้ใหญ่จึงขี้เกียจที่จะมาคอยติดตามปัญหาความรักของวัยรุ่นแล้ว คนรักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมายังไงก็แล้วแต่เธอ เมื่อถึงเวลาแต่งงานพามาให้ที่บ้านรู้จักก็แล้วกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังสามารถพูดได้ว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว แต่การแต่งงานกลับเป็นเรื่องของทั้งสองบ้าน ทีนี้เรื่องการรวมตัวกันของเครือญาติก็จะตามมาด้วย...
ดังนั้นเพื่อความเข้าใจตรงกันของทั้งสองฝ่าย โอวเชี่ยนหรูจึงต้องส่งข่าวให้ทางบ้านน้าหลัวทราบ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำนั้นก็ถือว่าไม่ผิด
ไม่ใช่ว่าเคยพามาเจอพ่อแม่แล้วเหรอ?!
ไม่ใช่ว่าว่าที่แม่สามีเคยซื้อเสื้อผ้าให้ว่าที่ลูกเขยแล้วเหรอ?!
คงไม่ใช่ว่าเคยออกไปค้างแรมข้างนอกกันมาแล้วนะ?!
…ในเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเธอแน่นแฟ้นกันขนาดนี้แล้ว ถ้าพูดว่ายังไม่ได้วางแผนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ใครจะเชื่อ? หากยังไม่รีบจัดงานแต่งอีก แสดงว่าลูกสาวถูกหลอกกินแล้วไม่ใช่เหรอ?
ตามที่ว่ามานี้ ในเมื่อวางแผนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แน่นอนว่าจะต้องรีบประกาศญาติที่รู้จักให้ทราบ คงจะไม่ต้องรอให้ใกล้ถึงวันดื่มเหล้ามงคลถึงจะให้ญาติๆ ได้ยินเองว่าจะมีหลานเขยหรอกนะ?!
เย่ซวงไม่เหลือโอกาสให้แก้ตัวแล้ว สายตามองไปยังโอวเชี่ยนหรูที่เรียกญาติฝั่งคุณนายเย่มารวมตัวกันอย่างหมดหนทาง
คุณยายกับคุณน้าตระกูลหลัวกำลังว่างอยู่พอดี จึงตกลงกันว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะมาที่เมืองซานหลิน เพื่อรอเจอว่าที่หลานเขย...
“คิดไว้แล้วหรือยังว่าอีกสองสามวันนี้จะอธิบายยังไง?” หลังจากที่คุณนายเย่ทราบการมาของแม่และน้องชายของตนในวันเสาร์อาทิตย์นี้แล้ว เธอจึงจำใจต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ จากนั้นก็หันไปปรึกษาเย่ซวงที่กำลังรู้สึกแบบเดียวกันว่า “ญาติบ้านนี้มักจะชอบมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ ต่อให้วันแรกหลบไปได้ แต่ก็หลบได้ไม่เกิน 15 วันอยู่ดี...แต่ถ้าจะให้พูดความจริงกับพวกเขา ก็เกรงว่าคนรู้เยอะจะยิ่งวุ่นวาย แม่คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ลูกย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”
ไม่เพียงแค่สองแม่ลูกตระกูลหลัวที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้ แม้แต่เพื่อนบ้านเองก็...เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้มีหนุ่มหล่อเดินเข้าออกบ้านเย่อยู่บ่อยครั้ง บวกกับเมื่อเช้าลูกสาวจอมโง่ดันใส่เสื้อผ้าผู้ชายกลับมาอย่างหน้าชื่นใจบานอีก...
ที่จริงตอนที่แม่ไปซื้อกับข้าวก็ได้ยินข่าวลือไม่ดีมาเหมือนกัน แต่กลัวจะทำให้ทุกคนในบ้านไม่สบายใจจึงไม่ได้บอก
แต่ถ้าหากเรื่องนี้ยังคงแพร่ออกไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ไม่ใช่แค่สายตาของญาติและเพื่อนฝูงที่มองมาเท่านั้น แม้แต่ความลับของลูกสาวก็ไม่รู้จะแตกเมื่อไหร่ ต่อให้ครอบครัวเราจะปิดบังความลับของลูกสาวไว้ได้อย่างดี แต่ในสายตาทุกคนที่เห็นมีผู้ชายคนหนึ่งเข้าออกบ้านของตนเป็นประจำ แน่นอนว่าคงจะเลี่ยงการนินทาไม่ได้...
“แม่ ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจจะทิ้งหนูแล้วเหรอ?!” เย่ซวงโศกเศร้าอย่างหาที่ใดเปรียบ
อันที่จริงแล้วเธอก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ในสภาพแวดล้อมที่มีคนรู้จักเยอะ มันไม่สะดวกที่จะเก็บความลับของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้คุณนายเย่ไม่พูดออกมา ไม่ช้าก็เร็วเรื่องที่เย่ซวงต้องย้ายออกไปก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เย่ซวงก็คงจะไม่ต้องดั้นด้นไปรับงานพรีเซนเตอร์โฆษณาของฟางม่อหรอก... ตอนนี้จะไปหางานที่มั่นคงทำก็ไม่ได้ ไหนจะค่าเช่าห้องอีก... อย่างน้อยเงินค่าตอบแทนหกหลักก็น่าจะพอใช้ช่วงที่ตกงานสักสองสามปีนี้แหละ!
แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ ก็ห้ามไม่ได้ที่จะรู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย
คุณนายเย่ยกมือขึ้นตบท้ายทอยเพื่อเรียกสติเย่ซวง “พูดอะไรไร้สาระ! ถ้ายังมีกะจิตกะใจคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ล่ะก็ มาช่วยกันคิดว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะไล่คุณยายกับน้ากลับไปยังไงดีกว่า!”
“…” จริงด้วย ปัญหานี้น่ากลุ้มใจกว่า...
สองแม่ลูกตระกูลเย่คิดกันแทบตายก็คิดวิธีไม่ออก จนสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไป
ยังไม่ทันที่สองแม่ลูกจะตัดสินใจวิธีรับมือได้ โอวเชี่ยนหรูก็เสร็จงานที่นี่แล้ว เธอจึงทำได้เพียงรู้สึกเสียดายที่ต้องรีบไปอีกเมืองหนึ่งต่อ
และแล้ววันศุกร์ก็ถึงเวลาเปลี่ยนร่าง ความหล่อเหลาของคุณเย่ซวงได้กลับมาอีกครั้ง และอย่างแรกที่เขาทำหลังเปลี่ยนร่างคือ โทรศัพท์ไปตกลงเรื่องการถ่ายโฆษณาและเรื่องสัญญากับฟางม่อ
และเวลาเซ็นสัญญาบ่ายโมงวันนี้ ฟางม่อก็ได้บอกว่าจะทำการเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาใหม่ แน่นอนว่าเปลี่ยนไปไม่มาก ก็แค่จากเดิมที่พูดถึงการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในคอนโดของเย่ซวง เปลี่ยนเป็นพูดถึงชีวิตในรังรักของคู่แต่งงานใหม่แทน โดยที่เย่ซวงต้องแสดงคู่กับนักแสดงหญิงอีกคนหนึ่ง...
ต่อให้นักแสดงเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคน ค่าตัวของเขาก็ไม่ได้ลดลง เย่ซวงจึงไม่ติดขัดอะไร แล้วหลังจากนั้นเขาก็โดนฟางม่อถามเรื่องส่วนตัวอีกมากมาย
เนื่องจากเย่ซวงผู้หญิงชินกับเรื่องนี้เสียแล้ว ทำให้ไม่รู้สึกแปลกเลยสักนิดเมื่อโดนเพศตรงข้ามถามข้อมูลส่วนตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อก่อนหน้าตาของเธอก็จัดว่าอยู่ในระดับธรรมดาถึงดี ก็มีบ้างที่เพื่อนผู้ชายในมหาวิทยาลัยหรือที่ทำงานเข้ามาจีบ...
คุยกันไปสักพักสายตาก็หันไปเห็นว่าใกล้จะมืดแล้ว เย่ซวงจึงลุกขึ้นแล้วบอกลา แต่เดินจากไปได้ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเดินกลับมาอีกครั้ง “ใช่สิ แฟน...แฟนของฉันอยากจะลาออกน่ะ”
ฟางม่อที่กำลังจะเซ็นอนุมัติเอกสารก็หยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้น “แฟน...ที่นายพูดถึงคือเย่ซวงผู้หญิงที่ทำงานในบริษัทของฉันเหรอ?”
เย่ซวงพยักหน้า
ฟางม่อวางปากกาลง สองมือประสานเข้าหากัน แล้วมองหน้าเย่ซวง “เพราะอะไร? บอกเหตุผลผมมาหน่อย!”
เย่ซวงที่ได้เตรียมบทพูดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก็แสดงรอยยิ้มเขินอายออกมา ก่อนจะเปิดปากพูดออกไปว่า “พวกเราวางแผนจะแต่งงานกัน”
“!!!!!”
“หลังจากแต่งงานก็วางแผนจะรีบมีลูกกันสักคนหนึ่ง” เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถามกลับ เย่ซวงจึงรีบพูดดักไว้ก่อนว่า “พอมีลูกแล้วก็จะต้องอยู่บ้านคอยเลี้ยงดู แล้วก็ส่งไปอนุบาล...ต่อไปเธอจะต้องทุ่มเทให้กับงานบ้าน ไม่มีเวลามาทำงานแล้ว”
ฟางม่ออ้าปากค้างหลังจากได้ยินหนุ่มหล่อตรงหน้าพูดถึงแผนชีวิตในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ซึ่งไม่เหลือช่องว่างให้ฟางม่อได้ถามกลับเลย “...เอ่อ วางแผนชีวิตก็เป็นเรื่องที่ดี...งั้นผมเรียกฝ่ายบัญชีมาคำนวณเงินเดือนให้แล้วกัน มาทำงานสัปดาห์หน้าก็ให้เธอมารับด้วย”