DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 14
ตอนที่ 14
เย่ซวงมองผ่านๆ ก็รู้ว่าท่ายืนของฟางเฟยไม่สมดุลกัน
ถึงแม้ว่าฟางเฟยยังคงยืนด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับภาพวาด ทว่าสายตาของเย่ซวงก็สามารถบอกได้ว่าเธอยืนเอียงไปทางขวามากเกินไป เมื่อกวาดสายตาลงไปมองที่เท้าก็เห็นว่าฟางเฟยกำลังเขย่งเท้าซ้ายขึ้นมา แล้วก็เห็นรองเท้าส้นสูงข้างนั้นที่ไม่รู้ว่าส้นไปหักมาได้ยังไง
หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก็เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าจ้องกลับมาด้วยความโกรธ เย่ซวงที่ถูกจ้องก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจออกมา...ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของบอส...
“อีกเดี๋ยวพี่ชายของคุณก็ออกมาแล้ว จะให้ผมช่วยเรียกให้ไหม?” เย่ซวงถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
ฟางเฟยยังคงจ้องไม่วางตา
“...หรือจะให้ผมหักอีกข้างให้เอาไหม?!” เย่ซวงพูดวิธีที่เขาจะช่วยออกมา แถมยังแนะนำวิธีที่น่าจะดีกว่า “อย่างน้อยความสูงมันก็จะได้เท่ากัน คุณเองจะได้เดินสะดวกด้วย”
ในที่สุดฟางเฟยก็เชิดใบหน้าขึ้น แล้วก็พูดออกมาอย่างไม่ดีเท่าไรว่า “คุณประคองฉันไม่ได้เหรอ?”
ให้ฉันประคองเนี่ยนะ...เย่ซวงอยากจะกุมขมับ
ทำไมฉันจะต้องไปหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหนก็ไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่ถูกใจของยายคุณหนูนี่สักที ถ้าเกิดมีน้ำใจไปช่วยประคอง แล้วเธอคิดว่าแต๊ะอั๋งขึ้นมาจะทำยังไง?!
แม้ว่าตอนนี้ร่างกายจะเป็นผู้ชายก็ตาม แต่เย่ซวงก็ไม่อยากมีประสบการณ์กับปัญหาน่าปวดหัวของผู้ชาย ส้นเข็มข้างขวาของฟางเฟยก็ยังปกติดีอยู่...หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหักส้นทั้งสองข้างไป ก็ไม่มีปัญหา...
คิดมาถึงตรงนี้สายตาของฟางเฟยคนสวยที่มองมาก็บอกเป็นนัยว่า การที่ได้ประคองฉันก็ถือเป็นเกียรติแค่ไหนแล้ว เย่ซวงจึงรีบยกถุงเสื้อผ้าในมือขึ้นและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า “มือผมไม่ว่าง”
ช่วงเวลานั้น สายตาคมกริบของฟางเฟยคนสวยที่มองมา เหมือนกับจะกินเขายังไงอย่างนั้น
...ถ้าให้พูดจริงๆ คือฟางเฟยคนสวยนั้นเข้าสังคมไม่เป็น
ตั้งแต่เล็กเธอก็เป็นคนที่โชคดีกว่าคนอื่นมาก มีพี่ชายคอยประคบประหงมมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าเธออยากได้อะไรก็จะมีคนเอามาประเคนให้ ดังนั้นนิสัยของเธอไม่มากก็น้อยจะต้องมีความทะนงตัวอยู่ คนทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของฟางเฟยคนสวยเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมีคนเข้าตาเธอ เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องเข้าหาคนนั้นยังไงดี เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
อย่างที่เห็นได้ชัดคือ เวลาอยากคุยหรืออยากให้ฝ่ายตรงข้ามสนใจ เวลาจะพูดก็ดันอ้ำๆ อึ้งๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความในใจหรือรู้สึกเคอะเขิน ดังนั้นคำที่พูดออกไปจึงมีความหมายไปในทางตรงกันข้ามแทน
ก็เหมือนกับเด็กผู้ชายที่ชอบแกล้งเด็กผู้หญิงที่ตัวเองชอบ หรือการเล่นพิเรนทร์จนทำให้คนอื่นโกรธ ไม่ว่าอย่างไหนก็เป็นการกระทำโง่ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเอง
ถ้าเด็กผู้ชายทำอะไรแบบนี้ คนอื่นก็คงจะแค่ขำๆ แต่ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทำตัวแบบนี้อีก คนอื่นจะรังเกียจเอาได้
เหมือนอย่างเย่ซวงตอนนี้ที่ดูไม่ออกว่าฟางเฟยคนสวยนั้นมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอ เธอรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าอีกฝ่ายคงเกลียดเธอเข้าไส้
และด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ฟางเฟยคนสวยเคยพยายามจะเข้าหาคนอื่น แต่กลับถูกมองมาด้วยสายตาเอือมระอาอยู่หลายครั้ง จึงทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง หลังจากนั้นเวลาอยากเข้าใกล้คนอื่นก็มักจะสร้างกำแพงบางๆ ขึ้นมาปกป้องตัวเอง...ผลคือ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นวงจรเลวร้ายและน่าเศร้าไปแทน
หนุ่มหล่อสูงเพรียวที่กำลังถูกแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่หน้าประตูร้าน เมื่อมองไปนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้ามก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะหนีไม่พ้น...ในตอนนั้นฟางเฟยคนสวยรู้สึกไม่พอใจจึงพูดไปอย่างโกรธๆ ว่า “ไม่อยากช่วยก็หลบไป!”
คำพูดที่หลุดออกจากปากไปนั้นทำให้ฟางเฟยอยากจะกัดลิ้นตัวเองทิ้ง แน่นอนว่าเธอรู้นิสัยของตัวเองดี คำพูดมากมายที่ออกจากปากไปมีแต่จะทำร้ายจิตใจคนอื่น แต่เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่แล้วความรู้สึกผิดก็หายไปในพริบตา
เพราะในขณะเดียวกันกับที่เธอพูดออกไป หนุ่มหล่อคนนั้นกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ตัวเองจะไปจากที่นี่ได้เสียที...
“...” เป็นผู้ชายภาษาอะไร!!!
ฟางเฟยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แต่ลืมไปว่าส้นรองเท้าหักอยู่ข้างหนึ่ง ทำให้ตัวเองเสียการทรงตัว เมื่อสาวสวยได้สติคืนมาก็รู้ว่า ตอนนี้ตัวเองทำอะไรไม่ได้แล้ว
เมื่อคิดสภาพที่ยังไงตัวเองก็ต้องหงายหลัง จึงหลับตาปี๋ยอมรับชะตากรรม
ทันใดนั้นเองที่ด้านหลังก็มีฝ่ามืออุ่นๆ มารับไว้ได้ทัน ก่อนจะค่อยๆ ประคองฟางเฟยขึ้นด้วยมือที่แข็งแรง แล้วช้อนร่างของเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เมื่อฟางเฟยได้สติคืนมาเธอก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแรง...
“งั้นผมพาคุณไปหาพี่ของคุณก็แล้วกัน!” เย่ซวงพูดด้วยสีหน้าจำใจ “บอกไว้ก่อนนะ ผมแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะเลวร้ายขนาดไหน เขาก็ไม่อาจจะทนเห็นเธอหงายหลังลงไปกองกับพื้นได้ ในขณะที่คิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี ร่างกายก็วิ่งไปรับเองโดยอัตโนมัติ...อีกอย่างก็รู้จักกับพี่ชายของเธอด้วย เกิดฟางเฟยพาลโกรธขึ้นมา แล้วไปฟ้องพี่ชายตัวเองว่าเขาเห็นแล้วไม่ช่วยล่ะ...
คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็มีความเป็นไปได้ เย่ซวงคิดว่าในเวลาที่จำเป็นเขาก็ควรจะต้องกลับมาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมอีกครั้ง
ฟางเฟยคนสวยตะลึงไป มองใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับรูปสลัก จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้พยักหน้าตอบรับจนไม่เหลือเค้าคนวางอำนาจเมื่อครู่อยู่อีกเลย
เย่ซวงพอใจกับคำตอบก่อนจะอุ้มร่างฟางเฟยกลับเข้าไปในร้าน หญิงสาวในอ้อมแขนน้ำหนักอย่างน้อยห้าสิบกิโล รวมทั้งถุงเสื้อผ้าอีกหลายถุงบนแขน ด้วยน้ำหนักขนาดนี้ เขากลับมีสีหน้าสบายๆ ราวกับไม่ได้รู้สึกหนักอะไรเลย ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาบนถนนต้องหยุดมอง
“โรแมนติกจัง...” นี่เป็นสิ่งที่สาวประเภทชอบเพ้อฝันคิด
“แข็งแรงจังเว้ย...” นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายด้วยกันที่ทึ่งในกำลังของเย่ซวงคิด
ขณะนั้นเย่ซวงก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองแบบแปลกๆ เหมือนกับว่าภาพลักษณ์ของตัวเองจะดูดีขึ้นอย่างมหาศาล
เพียงแค่ก้าวพ้นบานประตู สาวสวยในอ้อมแขนก็เปิดปากพูดออกมาว่า “ไหนบอกว่ามือไม่ว่างไง?!”
“เอ่อ...ที่จริงพอเอาถุงมารวบดูแล้ว มันยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่น่ะ” เย่ซวงตอบกลับอย่างเงอะงะ
...
ฟางม่อประหลาดใจเป็นสองเท่า เมื่อเห็นว่าเพื่อนใหม่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับอุ้มน้องสาวของตัวเองมาด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ดี
“นี่...นี่คือ...” เกิดอะไรขึ้น?!
ฟางม่อนิ่งไปชั่วขณะ
“มันกะทันหันจนยากที่จะพูดออกมา...” เย่ซวงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกรันทด ก่อนจะส่งหญิงสาวในอ้อมแขนให้ฟางม่อ “คุณอยากจะเรียกผมว่าเหลยเฟิง* หรือ ผ้าพันคอสีแดง** ก็ได้ ยังไงตอนนี้ก็รับน้องสาวของคุณไปก่อน ส้นรองเท้าของเธอหัก ตอนนี้ผมรีบมาก”
ฟางเฟยคนสวยเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังโอบคอของเย่ซวงอยู่ ก็รีบปล่อยแขนด้วยใบหน้าเขินแดง
ในตอนที่ฟางม่อจะรับฟางเฟยก็เห็นได้ชัดเจนว่า น้องสาวของเขาไม่ยอม...นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเอง ทำไมน้องสาวของเขาถึงได้กลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกได้ขนาดนี้เนี่ย?!
*เหลยเฟิง เป็นทหารในสังกัดปลดแอกประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน และเข้าร่วมเป็นทหารพลาธิการในกองทัพตั้งแต่อายุ 20 และประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติงานด้วยวัยเพียง 21 ภาพลักษณ์ของเหลยเฟิงเป็นคนที่ สมถะ ทุ่มเท
**ผ้าพันคอสีแดง ถ้าทำความดีจะได้ใส่ผ้าพันคอสีแดง