ตอนที่แล้วDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 11
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 13

DNA อลวนคนสองร่าง ตอนที่ 12


ตอนที่ 12

หลังเลิกงาน ฟางม่อก็เดินออกมาจากประตูบริษัท จากนั้นก็ยืนนิ่งดูว่าจะไปทางไหนต่อดี ก่อนจะกวาดสายตาไปฝั่งตรงข้ามที่มีฝูงชนรายล้อมอยู่... หนุ่มหล่อที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมนั้นกำลังพิงประตูอยู่ด้วยท่วงท่าสบาย ยกแขนขึ้นอ่านนิยายในมือถือ

อยู่ๆ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฟางม่อคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่แข็งแรงจะมีงานอดิเรกที่น่ารักอย่างนี้

ในความเข้าใจของเขา คนเก่งไม่ควรจะทำอะไรที่เสียเวลาแบบนี้...ก็เหมือนกันกับตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโตเขายังไม่เคยอ่านนิยายจบเลยสักเล่ม แม้แต่หนังสือโด่งดังระดับโลกก็เช่นกัน

“สนุกไหม?” ฟางม่อเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาอิจฉาของฝูงชน แล้วมองไปที่นิยายในมือถือของเย่ซวง

“ก็ใช้ได้” เมื่อคนที่เย่ซวงรออยู่มาถึงแล้ว จึงกดออกจากแอพอ่านนิยายแล้วเก็บมือถือใส่เข้ากระเป๋ากางเกงไป จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “งานที่บริษัทไม่ยุ่งเหรอ? ผมคิดว่าคุณจะทำโอทีเสียอีก”

ฟางม่อตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “มีแค่บริษัทที่วางแผนงานไม่ดีเท่านั้นที่จะทำโอที แต่ผมจะมอบหมายหน้าที่ให้พนักงานทุกคนอย่างระมัดระวัง เพื่อให้พวกเขาทำงานออกมาได้ตามเวลา ผมไม่เคยให้งานจนพวกเขาต้องทำงานล่วงเวลาหรอก”

งั้นพวกรุ่นพี่ผู้หญิง ที่ต้องทำโอทีอย่างน้อยสี่วันจากห้าวันทำงาน ก็เป็นเรื่องโกหก?!

เย่ซวงทำสีหน้าเอือมระอา “...ดูเหมือนมันจะต่างจากที่เพื่อนของผมเล่าเลยนะครับ?!”

“...”

“ช่างเถอะ เรื่องนี้มันไม่สำคัญ” แล้วเย่ซวงก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูดอะไรแบบนี้กับหัวหน้า ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องเกรงกลัวก็ตาม แต่ปัญหาคือถ้ากลับไปเป็นผู้หญิงก็ต้องกลับไปทำงานหาเงินให้เขาอยู่ดี...ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปทำงานหลายวันแล้ว แต่ยังไงเสียก็จะต้องเอาเงินเดือนของเดือนสุดท้ายกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้

เย่ซวงได้แต่ปล่อยวาง ก่อนจะชวนคนที่มีฐานะสูงกว่าไปกินข้าว “พอดีผมยังไม่ได้กินอะไรมา เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเก็บเสื้อผ้ากับลางานให้เมื่อเช้านี้ ผมขอเลี้ยงข้าวคุณนะ!”

ฟางม่อกะพริบตาพร้อมกับยกมือขึ้นกระแอมหนึ่งครั้ง ก่อนจะถามว่า “ที่นี่?!”

ที่เขาพูดออกไปไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้อยากกินอาหารถูกๆ ข้างทาง แต่ที่ฟางม่อคิดไว้ไม่ได้เป็นแบบนี้... “ที่จริงนอกจากผมจะเอาของมาให้คุณแล้ว ผมอยากจะเลี้ยงข้าวตอบแทนที่คุณช่วยผมเมื่อวานด้วย” ฟางม่อถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณเย่จะแย่งคำพูดของผมไปซะก่อน”

ยังมีเรื่องแบบนี้อีกเหรอ?!

เมื่อเย่ซวงคิดดีๆ แล้ว ก็นึกออกว่าเมื่อวานคนคนนี้พูดออกมาแล้วว่าอยากจะเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการขอบคุณ “...ก็ได้ แค่มีข้าวกินก็พอ”

“...”

โล่งใจจริงๆ

เพราะเย่ซวงเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ ทำให้ฟางม่อสามารถเปลี่ยนไปร้านอาหารแห่งใหม่ได้อย่างราบรื่น รวมทั้งเมื่อตอนกลางวันได้โทรไปจองห้องอาหารไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็มีพนักงานที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีพาพวกเขาไปยังห้องที่จองไว้ บรรยากาศในห้องหรูหรางดงามและเงียบสงบ

“พ่อครัวของที่นี่ผมได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเขาเคยเป็นคนทำอาหารถวายให้ฮ่องเต้ด้วย แถมยังมีสูตรอาหารลับอีกมากมาย” หลังจากนั่งประจำที่แล้ว ฟางม่อก็แนะนำให้เย่ซวงฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แม้ว่าตอนนี้จะเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ จึงไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป แต่พวกสูตรลับที่ได้รับสืบถอดมาพวกนี้ยังคงเป็นความลับอยู่...ฝีมือด้านการทำอาหารก็ไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างวัตถุดิบของที่นี่ ผมขอรับประกันความสดใหม่และคุณภาพที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้แต่เมนูธรรมดา รสชาติก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้...”

“ผมเข้าใจแล้ว” เย่ซวงพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง “ปกติคนรวยก็มักจะชอบอะไรแบบนี้สินะ”

ฟางม่อรู้สึกเหมือนโดยใส่ร้าย เขาคิดว่าตัวเองถูกมองว่าไม่ดี ไม่ใช่ว่าคนรวยตั้งใจจะโอ้อวดตัวเองหรือทำตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น เพียงแค่อยู่ในสถานะที่มีเงินพร้อมจ่ายเท่านั้นเอง จะมีใครที่ไหนยอมลดคุณภาพชีวิตของตัวเองแล้วทำตามมาตรฐานของคนหมู่มากกันล่ะ?!

ยกตัวอย่างเช่น มีคนหนึ่งได้เงินเดือนมากกว่าหมื่นหยวน ในเมื่อมีเงินเยอะ เวลาอยากกินมันฝรั่งครึ่งกิโลเขาจะมานั่งดูไหมว่านี่ราคา 1.9 หยวน หรือว่า 2.9 หยวน?

เหตุผลเดียวกัน ในความคิดของฟางม่อ รสชาติที่ถูกปากคือสิ่งสำคัญ แม้ว่ารสชาติจะไม่ได้ต่างกันเท่าไร แต่เขาก็ไม่สนใจว่าเขาจะใช้เงินไปสิบหยวนหรือร้อยหยวน...เพราะเขาไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้เลย

ฟางม่อกระแอมออกมาหนึ่งครั้ง แล้วก็คิดได้ว่าถ้ายังฝืนพูดแนะนำต่อไปก็จะยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดมากกว่าเดิม ฟางม่อจึงได้แต่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

ในใจของฟางม่อเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายออกมาอย่างโอ้อวด เพียงแค่จะเลี้ยงข้าวด้วยใจบริสุทธิ์เท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฟางม่อรู้ว่าเพื่อนใหม่ของตัวเองนั้นไม่เหมือนใคร...เขาไม่ได้ชอบคนรวย

น่าสนใจจริงๆ

ไม่ว่าจะด้วยคุณลักษณะใดก็ตาม เขาก็ดูเหมือนกับคนที่อยู่ในแวดวงคนชั้นสูง แต่ดันมีงานอดิเรกและความเคยชินเหมือนคนทั่วๆ ไป

ยิ่งพยายามทำความเข้าใจ ฟางม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าในตัวเย่ซวงนั้น มีอะไรที่ขัดแย้งกัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาแข็งแกร่ง แต่เหมือนว่าคนคนนี้จะปฏิเสธความแข็งแกร่งของตัวเอง เหมือนท่าทางของพวกอ่อนแอ...หรือนี่เป็นแค่ความถ่อมตัวอย่างนั้นเหรอ?

คนคนนี้ มีอีกหลายอย่างที่ตัวเองยังไม่รู้...

เขาคิดไปถึงเรื่องของครอบครัวตัวเองที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ฟางม่อหลบสายตาและโยนความคิดนี้ออกไปจากหัว จากนั้นจึงมาแนะนำอาหารขึ้นชื่อให้เย่ซวงฟัง

ครั้งนี้แค่แนะนำอาหารที่ถูกปากและมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเย่ซวงก็ตั้งใจฟังอยู่ ทั้งคู่ที่พูดคุยกันอยู่ว่าจะสั่งอะไรมากินดี ทันใดนั้นมือถือของฟางม่อที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น

“ขอโทษครับ” ฟางม่อพูดออกมาอย่างเกรงใจก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อ ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาทันที รู้สึกว่าเขาจะดูเป็นธรรมชาติขึ้นมาหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อกี้ “เฟยเฟย ทำไมอยู่ ๆ ถึงโทรมาหาพี่ล่ะ...”

อ้อ น้องสาว...

จากนั้นเย่ซวงก็หันกลับมาดูเมนูอาหารในมือต่อ เธอไม่ได้สนใจคนเพศเดียวกัน หรือจะพูดอีกอย่างคือเธอเคยเห็นยายคุณหนูจอมวางมาดคนนี้ที่บริษัทมาก่อน...

ฟางม่อพูดกับน้องสาวของตัวเองต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็วางสายก่อนจะยิ้มขอโทษ “น้องสาวของผมโทรมาน่ะครับ พอดีน้องผมยังไม่ได้กินข้าว เลยชวนเธอมาทานด้วย คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”

คนจ่ายเงินก็คือบอส

เย่ซวงจึงไม่ได้ติดใจอะไร

จากนั้นก็สั่งอาหารจานโปรดของน้องสาวอีกสองสามจาน

ภายในห้องอาหารเงียบปราศจากเสียงพูดคุย ฝ่ายหนึ่งก็รออาหารมาเสิร์ฟ อีกฝ่ายก็รอน้องสาว ไม่รู้ว่าเวลาประจวบเหมาะหรืออะไร เมื่อพนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหาร ที่หน้าประตูก็ปรากฏเงาสีแดงเพลิงที่เย่ซวงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร

“พี่คะ! ฉันจะบอกอะไรให้ฟังนะ...”

หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดสีแดงเพลิงโพล่งเข้ามาในห้องพร้อมกับระเบิดคำพูดออกมาไม่หยุด ก่อนที่หางตาจะเหลือบมาเห็นเย่ซวงที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นคำพูดก็หายไปในทันที

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด