ตอนที่แล้วDC บทที่ 101: เจ้าคงได้พบแต่ความผิดหวัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDC บทที่ 103: ผู้คุมกฏ

DC บทที่ 102: เอามันเลย (ฟรี)


DC บทที่ 102: เอามันเลย

“ซูหยาง เจ้าคงต้องได้แต่กล่าวโทษตัวเจ้าสำหรับเรื่องวันนี้”

“เอามันเลย”

เมื่อกู่เว่ยออกคำสั่งขณะโบกมือ ศิษย์ในทั้งห้าต่างพากันหายไปจากตำแหน่งที่ตนเองอยู่และพากันมาล้อมกรอบซูหยาง ใบหน้าของพวกเขาต่างพากันฉีกยิ้มกว้าง

“เหลือเกิน… ช่างโง่เง่าจริง…” ซูหยางหลับตาลง และในทันใดนั้น ศิษย์ทั้งห้ารอบตัวเขาต่างพากันใช้ทั้งมือและเท้าชกต่อยมาทางเขา

“รับหมัดข้าซะ”

พลันนั้นเองภายในดวงตาของซูหยางก็เกิดประกายลึกล้ำ ร่างของเขาหายไปจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ราวกับวิญญาณ สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าผู้จู่โจม

“ข-เขาหายไปไหน”

พวกเขาต่างพากันมองไปรอบๆลุกลี้ลุกลน

“กู่เว่ย เขาอยู่หลังเจ้า” ศิษย์คนหนึ่งร่ำร้องขึ้น

“อะไรนะ” กู่เว่ยหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หันตัวเต็มที่ เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งจับเข้าที่คอแน่น

“แค่ก--”

กู่เว่ยดิ้นรนขณะที่เขาพยายามต่อต้านการจับคอของซูหยาง แต่อนิจจามันจับคอเขาแน่น ราวกับเป็นคีมโลหะ

“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับเขา ซูหยาง”

“ปล่อยเขาเร็ว”

เหล่าศิษย์ตะโกนลั่น แต่ซูหยางแค่ไม่สนใจพวกเขาและจ้องมองตรงไปยังดวงตากู่เว่ย กระทั่งยกทั้งตัวเขาพ้นพื้น

“เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูไม่สมกับเป็น”ศิษย์พี่“ของข้าเลย” เขากล่าวกับกู่เว่ย

“เจ้า--แค่ก”

ขณะที่กู่เว่ยพยายามจะพูด มือที่จับรอบของเขาก็บีบแน่นขึ้น บีบคำพูดของเขากลืนกลับลงคอไป

“แม้ว่าตัวข้าจะมีอายุน้อยกว่าพวกเจ้า ข้าคงมิต้องเตือนพวกเจ้ากระมังว่า ต่อหน้าความแข็งแกร่ง อายุหามีความหมายใดไม่” ซูหยางกล่าว เสียงของเขานิ่งเรียบ

“ซูหยาง ข้าจักไม่กล่าวซ้ำ ปล่อยกู่เว่ยเดี๋ยวนี้”

หนึ่งในศิษย์ดึงเอามีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมาจากชุดคลุม และคนที่เหลืออีกสี่ต่างทำตามต่างพากันแสดงอาวุธ

ซูหยางเหลือบมองทั้งห้าด้วยท่าทางนิ่งเฉย สายตาของเขาดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“คอยอยู่ตรงนั้นไปก่อน ข้าจักเล่นกับพวกเจ้าไปทีเดียวพร้อมกัน” เขากล่าวหลังจากนั้น ทำเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นฝูงลูกไก่ใจร้อนเที่ยวหาที่เล่น

“ไอ้ส้นตีน”

“เอามันเลย”

เหล่าศิษย์ตรงเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางบ้าเลือด

ซูหยางยิ้ม และกำมือที่จับแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย

“แค่ก” กู่เว่ยพลันดิ้นรนหนักขึ้น ใบหน้าแดงก่ำของเขาปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด จนทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันหยุดยั้ง

“ซูหยาง เจ้าช่างหน้าด้านตาขาวที่ใช้เขาเป็นตัวประกัน”

“ปล่อยเขาลงแล้วสู้กับข้าถ้าเจ้ากล้าพอ”

แม้ว่าเหล่าศิษย์ต้องการจู่โจมซูหยาง พวกเขาก็กลัวสิ่งเขาจะทำกับกู่เว่ยถ้าพวกเขาเข้าไปใกล้กว่านี้ เพราะว่าในใจพวกเขาคิดว่าซูหยางกลัวพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาหันไปทำบางสิ่งไร้ยางอายด้วยการจับกู่เว่ยไว้เป็นตัวประกัน

ได้ยินคำกล่าวของพวกเขา ซูหยางยิ้ม “ตัวประกันรึ เจ้าคิดว่าข้าต้องการตัวประกันเพื่อต่อรองกับพวกโง่อย่างเจ้ารี” เขาเยาะเย้ย

“การกระทำและคำพูดของเจ้ามิสอดคล้อง ปล่อยเขาไปถ้าสิ่งที่เจ้าพูดถูกต้อง”

“งั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าพวกโง่พากันร้อนรนต้องการเล่นกับข้า ข้าจักดูแลเขาให้เร็วขึ้น…”

ซูหยางบีบมือที่คอกู่เว่ยแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขากล่าวจบ ปิดทางเดินหายใจที่เหลืออยู่น้อยนิด

“อาาา”

กู่เว่ยเริ่มเตะขาวุ่นวายจากแรงบีบที่รอบคอของเขา เมื่อไม่สามารถหายใจ กู่เว่ยเชื่อว่าซูหยางมีเจตนาฆ่าเขาวันนี้ เป็นเหตุให้น้ำตาคลอเบ้า

“ซูหยาง เจ้าต้องการพยายามฆ่าเขาจริงๆรึ แม้ว่าพวกเราต้องการทุบตีเจ้า กระทั่งพวกเรายังมิกล้าไปไกลเกินถึงขั้นฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”

“แม้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ใน นิกายจักต้องลงโทษเจ้ารุนแรงสำหรับการฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”

“ใช่แล้ว เจ้าอาจจะต้องถูกทำลายพลังการฝึกปรือก่อนที่จะถูกขับออกจากนิกาย” เหล่าศิษย์ต่างพากันเกลี้ยกล่อมเขา แต่อนิจจา ซูหยางไม่มีปฏิกิริยาใดกับถ้อยคำพวกเขา

เมื่อเห็นว่าซูหยางไม่มีเจตนาหยุด เหล่าศิษย์ต่างพากันตื่นตระหนก

“เชี่ย ฆ่าเขา ถ้าพวกเรามิฆ่าเขา เขาต้องฆ่ากู่เว่ยแน่นอน”

“แต่--”

“เราสามารถอธิบายเรื่องนี้ต่อนิกายภายหลัง พวกเขาต้องเข้าใจแน่นอนว่านี่เป็นการป้องกันตัว”

ได้ยินคำพูดของศิษย์คนนี้และมองเห็นกู่เว่ยผู้ที่กำลังจะตายจากการขาดอากาศหายใจ ศิษย์อีกสี่คนต่างตัดสินใจในฉับพลัน

พวกเขาพากันเคลื่อนไหวสอดคล้อง เข้าประชิดซูหยางอย่างรวดเร็ว

“ตาย เจ้าคนบ้าสารเลว”

ศิษย์ที่มีมีดสั้นในมือปรากฏตัวด้านหลังซูหยาง มือของเขาอยู่ในท่าแทง

ซูหยางยิ้มเล็กน้อย เขาพลันตวัดแขน เหวี่ยงกู่เว่ยไปอีกด้าน ก่อนจะหันไปจับมีดสั้นที่อยู่ห่างจากผิวของเขาเพียงแค่เส้นผม ด้วยมือเปล่า

“นั่นอะไร--”

ศิษย์ที่มีมีดสั้นตกตะลึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน และเมื่อเขาพยายามที่จะถอยห่างออกจากซูหยาง เขาต้องตกใจเมื่อพบว่าไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย รู้สึกเหมือนว่ามือที่เขาถือมีดสั้นฝังติดอยู่ในคอนกรีต

“เกิดอะไรขึ้นรึ ขยับไม่ได้รึ” ซูหยางกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้า…”

ซูหยางพลันขยี้มือของเขา บีบมีดโลหะแตกเป็นหลายเสี่ยงไปพร้อมกับมือที่ถือมีด

“อาาาาา” ศิษย์คนนั้นกรีดร้องด้วยความปวดร้าว มือของเขาทั้งข้างรวมไปถืงกระดูกล้วนแหลกละเอียด พร้อมทั้งเลือดที่ไหลนอง

เมื่อบรรดาศิษย์คนอื่นเห็นศิษย์ที่มือแหลกละเอียดจนเหมือนเนื้อบด พวกเขาต่างพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“ข้าควรกังวลกับตัวเองมากกว่าถ้าข้าเป็นเจ้า” ซูหยางกล่าว เขาปรากฏตัวด้านหลังศิษย์อีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“เดี๋ยว--”

ก่อนที่ศิษย์จะสามารถอ้าปากพูด ใบหน้าเขาพลันได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นจากกำปั้นแกร่งของซูหยาง

วืด… ศิษย์คนนั้นปลิวออกไปราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้วจากแรงกระแทก กระทั่งฟันของเขาสองสามซึ่ยังปลิวออกจากปากของเขาขณะที่กำลังบินถลา

หลังจากที่เขาร่วงลงสู่พื้นสองสามเมตรห่างออกไป ตัวเขานิ่งเงียบไปแม้ว่าเวลาจะผ่านไปได้ชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเขาสลบหรือไม่ก็สิ้นชีวิตแล้ว

“ใครคนต่อไป”

ก่อนที่คนต่อไปจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับคำของซูหยาง เขารู้สึกเหมือนกับว่าโลกของเขาพลันพลิกกลับ ก่อนจะสิ้นสติไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าศิษย์ที่สลบไสลจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ศิษย์คนอื่นเห็นอย่างชัดเจนว่าซูหยางตบเขาอย่างแรงจนเขาหมุนครึ่งรอบกลางอากาศก่อนที่จะหัวฟาดพื้นและสิ้นสติไป

“ป-ปีศาจ” หนึ่งในสองศิษย์ที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บพลันหันกายวิ่งจากไปด้วยท่าทางหวาดกลัวหน้าซีด ดังคนขี้ขลาดตาขาววิ่งหนีจากสัตว์ร้าย

ซูหยางหันหน้ามองไปยังศิษย์ที่กำลังหลบหนีอย่างช้าๆ เขาพลันไล่ตามอีกฝ่ายไป

วินาทีถัดไป ซูหยางปรากฏตัวด้านหน้าของศิษย์คนนั้นปิดทางหลบหนีของเขา

“ด-เดี๋ยว โปรดละเว้นข้า ข้าจักทำทุกสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้า--”

“ข้าต้องการให้เจ้าปล่อยข้าไปตามลำพัง แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไปสำหรับเรื่องนั้น…” กำปั้นซูหยางขยับขณะที่เขาพูด กระแทกเข้าไปที่ท้องของอีกฝ่ายเวลเดียวกับที่เขาพูดจบ

“อ้วก”

ศิษย์คนนั้นกระอักเลือดออกมาเต็มคำจากแรงกระแทก รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาถูกกระแทกด้วยวัวกระทิงที่วิ่งมาเต็มที่ เขาล้มในท่าคุกเข่าและสิ้นสติลงไปในวินาทีถัดไป

เหลือเพียงศิษย์สองคนที่ยังคงมีสติอยู่ในเวลานั้น หนึ่งในนั้นคือศิษย์ที่มือพิการ ในขณะที่อีกคนยังไม่ได้รับบาดเจ็บใด

ซูหยางหันกายไปมองคนที่ยังไม่ได้รับอันตรายใดด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา กล่าวว่า “เจ้าควรจะทำอะไรต่อไปในเมื่อเพื่อนเจ้าล้วนหลับสบาย”

เมื่อศิษย์เห็นรอยยิ้มปีศาจของซูหยาง ขาของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

“อัยยะ.. มิใช่ว่าเจ้าค่อนข้างจะอายุเยอะเกินจะฉี่ราดแล้วรึ” ซูหยางส่ายหน้าขณะที่เขาตรงไปหาศิษย์คนนั้น

“อ-อ-ออกไปให้พ้น เจ้าปีศาจ” ศิษย์คนนั้นก้าวถอยหลังตามก้าวที่ซูหยางเดินทุกก้าว

“มีอะไรผิดไปรึ มิใช่ว่าพวกเจ้าล้วนกระตือรือล้นในการทุบตีข้าจนเละเมื่อไม่กี่นาทีก่อน”

“น-นั่นล้วนเป็นความคิดของกู่เว่ย เขาเป็นคนที่เริ่มเรื่องนี้ทั้งหมด” ศิษย์คนนั้นกล่าว พยายามโยนความผิดทั้งหมดไปยังกู่เว่ย

“ให้ข้าพูดบางอย่างให้เจ้าฟังเกี่ยวกับเรื่องตัวข้า…” ซูหยางกล่าว ยังคงตรงเข้าไปหาศิษย์คนนั้นด้วยท่าทางเยือกเย็น “ข้าเกลียดคนที่ทำให้ข้าเสียเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คอยสร้างปัญหา ข้ามิได้ใส่ใจแม้ทั้งโลกเกลียดข้า ตราบเท่าที่เจ้ามิได้ล่วงเกินข้า ข้าเพียงสนใจแต่เรื่องของข้า แต่อนิจจา… ยุทธภพเต็มไปด้วยผู้คนที่เกิดมาคันตูดซึ่งจักฆ่าพวกเขาถ้าพวกเขามิได้หาเรื่องล่วงเกินผู้คน”

“เป็นโชคของเจ้า พวกเรายังเป็นศิษย์ และพวกเรามิได้อยู่บนเวทีเพื่อตัดสินเป็นตาย มิฉะนั้นมิมีใครในหมู่พวกเจ้าจักรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้…” เขากล่าว

“เพาะว่าเจ้าได้ล่วงเกินข้า ทำให้ข้าต้องเสียเวลา ข้าจึงต้องทุบตีเจ้าให้เหมาะๆ…”

สีทุกสีจางหายไปจากใบหน้าของศิษย์คนนี้ เขาเริ่มกรีดร้องด้วยความกลัว “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ข้ากำลังจะถูกทำร้ายจากคนบ้าสารเลว”

เสียงของเขาดังไปไกลภายในเขตศิษย์ใน เป็นเหตุให้สองสามคนแง้มหน้าต่างออกมาด้วยความอยากรู้

“นั่นมิใช่กู่เว่ยกับกลุ่มอันธพาลน้อยของเขาตรงนั้นรึ เหตุใดพวกเขาจึงนอนอยู่บนพื้น”

“ดูมือเปื้อนเลือดของหลีเจียสิ นั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร”

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย เจ้าคนสารเลวซูหยางกล้าฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”

เมื่อศิษย์ในได้ยินถ้อยคำกรีดร้องของเหล่าศิษย์ พวกเขาต่างพากันขมวดคิ้วแนบแน่น

ใครเป็นคนสร้างเรื่องครึกโครมเช่นนี้ กระทั่งกล้าฆ่าศิษย์ร่วมสำนักในเขตศิษย์ใน

“เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่” เสียงอีกเสียงพลันระเบิดออก และชายวัยกลางคนปรากฏตัวตามมา

เมื่อศิษย์ที่กรีดร้องสังเกตเห็นชายวัยกลางคน ดวงตาเขามีประกายความหวัง เขาเริ่มร้องไห้ด้วยความดีใจ

“ผู้อาวุโสซุน” เขาร้องหา “ศิษย์น้อยคนนี้และอีกหลายคนถูกทำร้ายโดยปีศาจไร้ใจที่อยู่ตรงนั้น”

“อะไรนะ” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว เขาหันกายไปมองดูซูหยาง

“เป็นเจ้า” เขาพลันจำใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางได้จากการต่อสู้เป็นตายที่ไม่ได้รับอนุญาตกับเอียนหมิง

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อน และซูหยางก็เพียงเป็นศิษย์นอกเขตปฐมวิญญาณระดับสามในเวลานั้น

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสซุนสังเกตเห็นชุดเขียวบนร่างของเขา

“อะไรกัน เจ้าเป็นศิษย์ในไปแล้วได้อย่างไร” เขาอุทานด้วยเสียงแตกตื่น กระทั่งลืมสถานการณ์เบื้องหน้าไปชั่วขณะ

“หืม ท่านคือ…” ซูหยางยังคงจำผู้อาวุโสซุนได้ ผู้อาวุโสนิกายผู้ที่ไปหยุดการต่อสู้เป็นตายกับเอียนหมิงไว้ ขณะที่เขาเพิ่งมาถึงโลกนี้

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด