DC บทที่ 102: เอามันเลย (ฟรี)
DC บทที่ 102: เอามันเลย
“ซูหยาง เจ้าคงต้องได้แต่กล่าวโทษตัวเจ้าสำหรับเรื่องวันนี้”
“เอามันเลย”
เมื่อกู่เว่ยออกคำสั่งขณะโบกมือ ศิษย์ในทั้งห้าต่างพากันหายไปจากตำแหน่งที่ตนเองอยู่และพากันมาล้อมกรอบซูหยาง ใบหน้าของพวกเขาต่างพากันฉีกยิ้มกว้าง
“เหลือเกิน… ช่างโง่เง่าจริง…” ซูหยางหลับตาลง และในทันใดนั้น ศิษย์ทั้งห้ารอบตัวเขาต่างพากันใช้ทั้งมือและเท้าชกต่อยมาทางเขา
“รับหมัดข้าซะ”
พลันนั้นเองภายในดวงตาของซูหยางก็เกิดประกายลึกล้ำ ร่างของเขาหายไปจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ราวกับวิญญาณ สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าผู้จู่โจม
“ข-เขาหายไปไหน”
พวกเขาต่างพากันมองไปรอบๆลุกลี้ลุกลน
“กู่เว่ย เขาอยู่หลังเจ้า” ศิษย์คนหนึ่งร่ำร้องขึ้น
“อะไรนะ” กู่เว่ยหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้หันตัวเต็มที่ เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งจับเข้าที่คอแน่น
“แค่ก--”
กู่เว่ยดิ้นรนขณะที่เขาพยายามต่อต้านการจับคอของซูหยาง แต่อนิจจามันจับคอเขาแน่น ราวกับเป็นคีมโลหะ
“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับเขา ซูหยาง”
“ปล่อยเขาเร็ว”
เหล่าศิษย์ตะโกนลั่น แต่ซูหยางแค่ไม่สนใจพวกเขาและจ้องมองตรงไปยังดวงตากู่เว่ย กระทั่งยกทั้งตัวเขาพ้นพื้น
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูไม่สมกับเป็น”ศิษย์พี่“ของข้าเลย” เขากล่าวกับกู่เว่ย
“เจ้า--แค่ก”
ขณะที่กู่เว่ยพยายามจะพูด มือที่จับรอบของเขาก็บีบแน่นขึ้น บีบคำพูดของเขากลืนกลับลงคอไป
“แม้ว่าตัวข้าจะมีอายุน้อยกว่าพวกเจ้า ข้าคงมิต้องเตือนพวกเจ้ากระมังว่า ต่อหน้าความแข็งแกร่ง อายุหามีความหมายใดไม่” ซูหยางกล่าว เสียงของเขานิ่งเรียบ
“ซูหยาง ข้าจักไม่กล่าวซ้ำ ปล่อยกู่เว่ยเดี๋ยวนี้”
หนึ่งในศิษย์ดึงเอามีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมาจากชุดคลุม และคนที่เหลืออีกสี่ต่างทำตามต่างพากันแสดงอาวุธ
ซูหยางเหลือบมองทั้งห้าด้วยท่าทางนิ่งเฉย สายตาของเขาดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คอยอยู่ตรงนั้นไปก่อน ข้าจักเล่นกับพวกเจ้าไปทีเดียวพร้อมกัน” เขากล่าวหลังจากนั้น ทำเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นฝูงลูกไก่ใจร้อนเที่ยวหาที่เล่น
“ไอ้ส้นตีน”
“เอามันเลย”
เหล่าศิษย์ตรงเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางบ้าเลือด
ซูหยางยิ้ม และกำมือที่จับแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
“แค่ก” กู่เว่ยพลันดิ้นรนหนักขึ้น ใบหน้าแดงก่ำของเขาปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด จนทำให้เหล่าศิษย์ต่างพากันหยุดยั้ง
“ซูหยาง เจ้าช่างหน้าด้านตาขาวที่ใช้เขาเป็นตัวประกัน”
“ปล่อยเขาลงแล้วสู้กับข้าถ้าเจ้ากล้าพอ”
แม้ว่าเหล่าศิษย์ต้องการจู่โจมซูหยาง พวกเขาก็กลัวสิ่งเขาจะทำกับกู่เว่ยถ้าพวกเขาเข้าไปใกล้กว่านี้ เพราะว่าในใจพวกเขาคิดว่าซูหยางกลัวพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาหันไปทำบางสิ่งไร้ยางอายด้วยการจับกู่เว่ยไว้เป็นตัวประกัน
ได้ยินคำกล่าวของพวกเขา ซูหยางยิ้ม “ตัวประกันรึ เจ้าคิดว่าข้าต้องการตัวประกันเพื่อต่อรองกับพวกโง่อย่างเจ้ารี” เขาเยาะเย้ย
“การกระทำและคำพูดของเจ้ามิสอดคล้อง ปล่อยเขาไปถ้าสิ่งที่เจ้าพูดถูกต้อง”
“งั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าพวกโง่พากันร้อนรนต้องการเล่นกับข้า ข้าจักดูแลเขาให้เร็วขึ้น…”
ซูหยางบีบมือที่คอกู่เว่ยแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขากล่าวจบ ปิดทางเดินหายใจที่เหลืออยู่น้อยนิด
“อาาา”
กู่เว่ยเริ่มเตะขาวุ่นวายจากแรงบีบที่รอบคอของเขา เมื่อไม่สามารถหายใจ กู่เว่ยเชื่อว่าซูหยางมีเจตนาฆ่าเขาวันนี้ เป็นเหตุให้น้ำตาคลอเบ้า
“ซูหยาง เจ้าต้องการพยายามฆ่าเขาจริงๆรึ แม้ว่าพวกเราต้องการทุบตีเจ้า กระทั่งพวกเรายังมิกล้าไปไกลเกินถึงขั้นฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”
“แม้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ใน นิกายจักต้องลงโทษเจ้ารุนแรงสำหรับการฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”
“ใช่แล้ว เจ้าอาจจะต้องถูกทำลายพลังการฝึกปรือก่อนที่จะถูกขับออกจากนิกาย” เหล่าศิษย์ต่างพากันเกลี้ยกล่อมเขา แต่อนิจจา ซูหยางไม่มีปฏิกิริยาใดกับถ้อยคำพวกเขา
เมื่อเห็นว่าซูหยางไม่มีเจตนาหยุด เหล่าศิษย์ต่างพากันตื่นตระหนก
“เชี่ย ฆ่าเขา ถ้าพวกเรามิฆ่าเขา เขาต้องฆ่ากู่เว่ยแน่นอน”
“แต่--”
“เราสามารถอธิบายเรื่องนี้ต่อนิกายภายหลัง พวกเขาต้องเข้าใจแน่นอนว่านี่เป็นการป้องกันตัว”
ได้ยินคำพูดของศิษย์คนนี้และมองเห็นกู่เว่ยผู้ที่กำลังจะตายจากการขาดอากาศหายใจ ศิษย์อีกสี่คนต่างตัดสินใจในฉับพลัน
พวกเขาพากันเคลื่อนไหวสอดคล้อง เข้าประชิดซูหยางอย่างรวดเร็ว
“ตาย เจ้าคนบ้าสารเลว”
ศิษย์ที่มีมีดสั้นในมือปรากฏตัวด้านหลังซูหยาง มือของเขาอยู่ในท่าแทง
ซูหยางยิ้มเล็กน้อย เขาพลันตวัดแขน เหวี่ยงกู่เว่ยไปอีกด้าน ก่อนจะหันไปจับมีดสั้นที่อยู่ห่างจากผิวของเขาเพียงแค่เส้นผม ด้วยมือเปล่า
“นั่นอะไร--”
ศิษย์ที่มีมีดสั้นตกตะลึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน และเมื่อเขาพยายามที่จะถอยห่างออกจากซูหยาง เขาต้องตกใจเมื่อพบว่าไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย รู้สึกเหมือนว่ามือที่เขาถือมีดสั้นฝังติดอยู่ในคอนกรีต
“เกิดอะไรขึ้นรึ ขยับไม่ได้รึ” ซูหยางกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้า…”
ซูหยางพลันขยี้มือของเขา บีบมีดโลหะแตกเป็นหลายเสี่ยงไปพร้อมกับมือที่ถือมีด
“อาาาาา” ศิษย์คนนั้นกรีดร้องด้วยความปวดร้าว มือของเขาทั้งข้างรวมไปถืงกระดูกล้วนแหลกละเอียด พร้อมทั้งเลือดที่ไหลนอง
เมื่อบรรดาศิษย์คนอื่นเห็นศิษย์ที่มือแหลกละเอียดจนเหมือนเนื้อบด พวกเขาต่างพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ข้าควรกังวลกับตัวเองมากกว่าถ้าข้าเป็นเจ้า” ซูหยางกล่าว เขาปรากฏตัวด้านหลังศิษย์อีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เดี๋ยว--”
ก่อนที่ศิษย์จะสามารถอ้าปากพูด ใบหน้าเขาพลันได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นจากกำปั้นแกร่งของซูหยาง
วืด… ศิษย์คนนั้นปลิวออกไปราวกับตุ๊กตาผ้าขี้ริ้วจากแรงกระแทก กระทั่งฟันของเขาสองสามซึ่ยังปลิวออกจากปากของเขาขณะที่กำลังบินถลา
หลังจากที่เขาร่วงลงสู่พื้นสองสามเมตรห่างออกไป ตัวเขานิ่งเงียบไปแม้ว่าเวลาจะผ่านไปได้ชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเขาสลบหรือไม่ก็สิ้นชีวิตแล้ว
“ใครคนต่อไป”
ก่อนที่คนต่อไปจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับคำของซูหยาง เขารู้สึกเหมือนกับว่าโลกของเขาพลันพลิกกลับ ก่อนจะสิ้นสติไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าศิษย์ที่สลบไสลจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ศิษย์คนอื่นเห็นอย่างชัดเจนว่าซูหยางตบเขาอย่างแรงจนเขาหมุนครึ่งรอบกลางอากาศก่อนที่จะหัวฟาดพื้นและสิ้นสติไป
“ป-ปีศาจ” หนึ่งในสองศิษย์ที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บพลันหันกายวิ่งจากไปด้วยท่าทางหวาดกลัวหน้าซีด ดังคนขี้ขลาดตาขาววิ่งหนีจากสัตว์ร้าย
ซูหยางหันหน้ามองไปยังศิษย์ที่กำลังหลบหนีอย่างช้าๆ เขาพลันไล่ตามอีกฝ่ายไป
วินาทีถัดไป ซูหยางปรากฏตัวด้านหน้าของศิษย์คนนั้นปิดทางหลบหนีของเขา
“ด-เดี๋ยว โปรดละเว้นข้า ข้าจักทำทุกสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้า--”
“ข้าต้องการให้เจ้าปล่อยข้าไปตามลำพัง แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไปสำหรับเรื่องนั้น…” กำปั้นซูหยางขยับขณะที่เขาพูด กระแทกเข้าไปที่ท้องของอีกฝ่ายเวลเดียวกับที่เขาพูดจบ
“อ้วก”
ศิษย์คนนั้นกระอักเลือดออกมาเต็มคำจากแรงกระแทก รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาถูกกระแทกด้วยวัวกระทิงที่วิ่งมาเต็มที่ เขาล้มในท่าคุกเข่าและสิ้นสติลงไปในวินาทีถัดไป
เหลือเพียงศิษย์สองคนที่ยังคงมีสติอยู่ในเวลานั้น หนึ่งในนั้นคือศิษย์ที่มือพิการ ในขณะที่อีกคนยังไม่ได้รับบาดเจ็บใด
ซูหยางหันกายไปมองคนที่ยังไม่ได้รับอันตรายใดด้วยรอยยิ้มหล่อเหลา กล่าวว่า “เจ้าควรจะทำอะไรต่อไปในเมื่อเพื่อนเจ้าล้วนหลับสบาย”
เมื่อศิษย์เห็นรอยยิ้มปีศาจของซูหยาง ขาของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“อัยยะ.. มิใช่ว่าเจ้าค่อนข้างจะอายุเยอะเกินจะฉี่ราดแล้วรึ” ซูหยางส่ายหน้าขณะที่เขาตรงไปหาศิษย์คนนั้น
“อ-อ-ออกไปให้พ้น เจ้าปีศาจ” ศิษย์คนนั้นก้าวถอยหลังตามก้าวที่ซูหยางเดินทุกก้าว
“มีอะไรผิดไปรึ มิใช่ว่าพวกเจ้าล้วนกระตือรือล้นในการทุบตีข้าจนเละเมื่อไม่กี่นาทีก่อน”
“น-นั่นล้วนเป็นความคิดของกู่เว่ย เขาเป็นคนที่เริ่มเรื่องนี้ทั้งหมด” ศิษย์คนนั้นกล่าว พยายามโยนความผิดทั้งหมดไปยังกู่เว่ย
“ให้ข้าพูดบางอย่างให้เจ้าฟังเกี่ยวกับเรื่องตัวข้า…” ซูหยางกล่าว ยังคงตรงเข้าไปหาศิษย์คนนั้นด้วยท่าทางเยือกเย็น “ข้าเกลียดคนที่ทำให้ข้าเสียเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คอยสร้างปัญหา ข้ามิได้ใส่ใจแม้ทั้งโลกเกลียดข้า ตราบเท่าที่เจ้ามิได้ล่วงเกินข้า ข้าเพียงสนใจแต่เรื่องของข้า แต่อนิจจา… ยุทธภพเต็มไปด้วยผู้คนที่เกิดมาคันตูดซึ่งจักฆ่าพวกเขาถ้าพวกเขามิได้หาเรื่องล่วงเกินผู้คน”
“เป็นโชคของเจ้า พวกเรายังเป็นศิษย์ และพวกเรามิได้อยู่บนเวทีเพื่อตัดสินเป็นตาย มิฉะนั้นมิมีใครในหมู่พวกเจ้าจักรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้…” เขากล่าว
“เพาะว่าเจ้าได้ล่วงเกินข้า ทำให้ข้าต้องเสียเวลา ข้าจึงต้องทุบตีเจ้าให้เหมาะๆ…”
สีทุกสีจางหายไปจากใบหน้าของศิษย์คนนี้ เขาเริ่มกรีดร้องด้วยความกลัว “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ข้ากำลังจะถูกทำร้ายจากคนบ้าสารเลว”
เสียงของเขาดังไปไกลภายในเขตศิษย์ใน เป็นเหตุให้สองสามคนแง้มหน้าต่างออกมาด้วยความอยากรู้
“นั่นมิใช่กู่เว่ยกับกลุ่มอันธพาลน้อยของเขาตรงนั้นรึ เหตุใดพวกเขาจึงนอนอยู่บนพื้น”
“ดูมือเปื้อนเลือดของหลีเจียสิ นั่นเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย เจ้าคนสารเลวซูหยางกล้าฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก”
เมื่อศิษย์ในได้ยินถ้อยคำกรีดร้องของเหล่าศิษย์ พวกเขาต่างพากันขมวดคิ้วแนบแน่น
ใครเป็นคนสร้างเรื่องครึกโครมเช่นนี้ กระทั่งกล้าฆ่าศิษย์ร่วมสำนักในเขตศิษย์ใน
“เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่” เสียงอีกเสียงพลันระเบิดออก และชายวัยกลางคนปรากฏตัวตามมา
เมื่อศิษย์ที่กรีดร้องสังเกตเห็นชายวัยกลางคน ดวงตาเขามีประกายความหวัง เขาเริ่มร้องไห้ด้วยความดีใจ
“ผู้อาวุโสซุน” เขาร้องหา “ศิษย์น้อยคนนี้และอีกหลายคนถูกทำร้ายโดยปีศาจไร้ใจที่อยู่ตรงนั้น”
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว เขาหันกายไปมองดูซูหยาง
“เป็นเจ้า” เขาพลันจำใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางได้จากการต่อสู้เป็นตายที่ไม่ได้รับอนุญาตกับเอียนหมิง
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อน และซูหยางก็เพียงเป็นศิษย์นอกเขตปฐมวิญญาณระดับสามในเวลานั้น
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสซุนสังเกตเห็นชุดเขียวบนร่างของเขา
“อะไรกัน เจ้าเป็นศิษย์ในไปแล้วได้อย่างไร” เขาอุทานด้วยเสียงแตกตื่น กระทั่งลืมสถานการณ์เบื้องหน้าไปชั่วขณะ
“หืม ท่านคือ…” ซูหยางยังคงจำผู้อาวุโสซุนได้ ผู้อาวุโสนิกายผู้ที่ไปหยุดการต่อสู้เป็นตายกับเอียนหมิงไว้ ขณะที่เขาเพิ่งมาถึงโลกนี้