ตอนที่แล้วบทที่ 84 ความตายของผู้ทรยศ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 86 ฆ่าให้เกลี้ยง

บทที่ 85 ของมีตำหนิ


บทที่ 85 ของมีตำหนิ

 

ตอนที่สวี่ไฉเพิ่งจะหมุนตัวเดินลงบันได อยู่ๆ ก็มีเงาร่างสีดำกระโจนออกมา

 

สวี่ไฉรู้สึกถึงพายุที่จู่โจมเข้ามาทางด้านหลังในทันที หัวใจพลันเต้นตึกๆ

 

ปฏิกิริยาโต้ตอบของเขาไม่ถือว่าเชื่องช้า เขาดึงตัวออกข้าง ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนฟาดไปด้านหลัง

 

ถ้าหากคนทั่วไปถูกลอบโจมตีอย่างใจเร็วด่วนได้แบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจุดจบก็คือถูกเขาตอกกลับด้วยแรงนั้นจนกระเด็น แต่สวี่ไฉลงมือคราวนี้แม้จะไม่ได้บีบให้อีกฝ่ายถอยไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแม้แต่นิด

 

แสงจันทร์สาดส่องทางเดินผ่านทางช่องหน้าต่าง สวี่ไฉหน้าตาบึ้งตึงมองคนที่ลอบลงมือโจมตีเขา ที่เพิ่งจะพบหน้ากันเมื่อบ่ายนี้เอง

 

“สวัสดี” ในมือของหลิงม่อมีมีดสั้นที่วาบประกายเย็นเฉียบชวนขนลุก มุมปากหยักยกนิดๆ สีหน้าที่เหมือนจะยิ้มและไม่ยิ้ม ทำให้สวี่ไฉพลันโมโหขึ้นมานิดๆ

 

ตอนนี้สวี่ไฉเพิ่งได้สติจากอาการตกตะลึงที่ถูกซุ่มโจมตี เขายกแท่งลับมีดนั้นขึ้น เอ่ยเสียงเย็น “พอดีเลย จัดการแกก่อน ที่เหลือก็หมูๆ แล้ว แกก็ช่างอวดดีจริงๆ กล้าสะกดรอยตามสื่อปินมาคนเดียวซะด้วย”

 

“ฉันอวดดีรึเปล่า อีกเดี๋ยวแกก็รู้”

 

พอเห็นสวี่ไฉตั้งท่าเรียบร้อย แม้หลิงม่อจะมีสีหน้าสบายๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ในใจนั้นเตรียมพร้อมต่อสู้ การโต้กลับเมื่อครู่ของคนคนนี้ เห็นชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ เขาคงเป็นคนฝึกการต่อสู้มา

 

หลิงม่อต่อสู้ในระยะประชิดไม่เก่ง เขาไม่ได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้อย่างใกล้ชิดใดๆ อย่างเป็นระบบ กระบวนท่าที่เขาใช้นั้นมาจากความตระหนักรู้และประสบการณ์จากการต่อสู้ด้วยอาวุธในสถานการ์ระหว่างความเป็นความตาย แต่พลังควบคุมหุ่นของหลิงม่อก็สามารถชดเชยในจุดนี้ได้ดีมาก

 

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงม่อแล้ว สวี่ไฉก็เลียริมฝีปาก เผยรอยยิ้มน่ารังเกียจ “ทำไมเหรอ นายนึกว่าตัวเองเป็นผู้มีความสามารถพิเศษกะโหลกกะลาแล้วจะสู้ตัวต่อตัวกับฉันได้งั้นเหรอ? ไม่เป็นไร ให้ฉันฆ่าแกก่อน แล้วค่อยสืบสานความสัมพันธ์อันดีกับแฟนของแก เย่เลี่ยนหน้าตาสะสวยขนาดนั้น เวลาเอาก็คงให้ความรู้สึกไม่เลวเลยใช่ไหม?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงม่อหายวับไปราวหมอกควัน เขามองแววตาของสวี่ไฉที่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก!

 

“ฉันไม่มีทางให้แกตายเร็วเกินไปหรอก” หลิงม่อกระชับมีดสั้นแน่น พร้อมพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที

 

แม้พละกำลังจะไม่พอ แต่ความเร็วของหลิงม่อก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็ปราดเปรียวมากด้วย ระยะทางระหว่างสองคนไม่ถึงสามเมตร สวี่ไฉก็คิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะเพิ่มความเร็วได้ถึงขั้นนี้ในเวลาชั่วพริบตา

 

แค่เวลาชั่วพริบตา หลิงม่อก็ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าเขา ขณะเดียวกันประกายแสงเงินก็หวดวาดลงบนลำคอของเขา

 

สิ่งที่ทำให้สวี่ไฉต้องตะลึงงันคือ เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะมีแรงงั้นๆ กลับรู้จักใช้พลังที่มาพร้อมกับความเร็ว เรือนร่างอีกฝ่ายเทียบสวี่ไฉไม่ได้ แต่ก็เพราะเหตุนั้น ตอนที่เขาพุ่งเข้ามาตรงหน้าสวี่ไฉแล้วกระโดดขึ้น มีดสั้นในมือก็ส่งเสียงขวับ ตลอดจนพละกำลังที่แข็งแกร่งนั้นก็ฟันฉับลงมา!

 

ตอนนี้ถ้าหากถูกโจมตีเข้าเป้า แม้แต่ศีรษะของสวี่ไฉคงจะรักษาเอาไว้ไม่ด้

 

แต่สวี่ไฉเองก็เป็นคนเหี้ยม เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวดังตึงๆ แท่งลับมีดในมือขวางใบหน้าด้านข้างของตัวเองในทันที แต่ในเวลานี้เขาก็พลันพบว่า ไม่รู้ว่าทำไมการเคลื่อนไหวของตัวเองถึงได้ช้าลง!

 

เดิมเขาคิดจะต้านมีดสั้นของหลิงม่อไว้ให้อยู่หมัด แต่อยู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เกิดพร่ามัวขึ้นมา จนเมื่อเขามีปฏิกิริยากลับเป็นปกติแล้ว แท่งลับมีดในเมื่อก็กั้นไว้ได้แค่ครึ่งเดียว!

 

เคร้ง!

 

เสียงกระทบของโลหะใสชัดดังขึ้น ขณะเดียวกันสวี่ไฉและหลิงม่อก็รู้สึกสะเทือนที่ข้อมือ!

 

รอยเลือดปรากฎบนลำคอของสวี่ไฉทันตา จากนั้นเลือดสดๆ ก็ทะลักออกมา ย้อมไหล่ของเขาเป็นสีแดงในพริบตา สวี่ไฉถอยหลังไปติดๆ หลายก้าวด้วยความตระหนก พร้อมกับเอามือกุมคอของตัวเองไว้

 

อันตรายมาก! เมื่อกี้เกือบจะถูกบั่นคอแล้ว!

 

ถ้าหากเขาไม่ยกแขนขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย ยกแท่งลับมีดที่เกือบจะวางลงแล้วขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้หัวของเขาก็คงย้ายบ้านใหม่แล้ว! แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ปลายแหลมของมีดสั้นก็ยังกรีดหนังเขา แม้ผิวชั้นนอกจะแค่ถลอก แต่ก็ทำให้เลือดไหลไม่ใช่น้อย!

 

แปลกเกินไปแล้ว...สวี่ไฉไม่คิดว่าตัวเองจะเกิดอาการตาพร่ามัวอะไรขึ้นมาในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ และเขาไม่ใช่แค่ตาพร่าเท่านั้น ทว่าเหมือนกับแขนก็ยังเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่ตัวเองควบคุมด้วย!

 

สวี่ไฉที่ตื่นตระหนกอย่างประหลาดมองหลิงม่อด้วยความโกรธแค้น เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีทางให้ถอยหนี ดังนั้นจึงระเบิดพลังทั้งหมดออกมา

 

“เชี่ยเอ๊ย!” สวี่ไฉคำรามต่ำ กระโจนมาอีกครั้ง แต่ระหว่างที่พุ่งตัวไปข้างหน้าก็เกิดอาการตาพร่าอีกครั้ง สมองวิงเวียนไปพักหนึ่ง จากนั้นเขากก็รู้สึกว่าตัวเองชนเข้ากับหลิงม่อ จากนั้นความรู้สึกเย็นเฉียบก็ส่งผ่านมาจากส่วนท้องของเขา

 

หลิงม่อจู่โจมสำเร็จในคราวเดียว แล้วถอยหลังไปทันที ส่วนสวี่ไฉก็ยืนตะลึงอยู่ที่เดิม

 

แท่งลับมีดในมือเขา ตอนนี้เสียบอยู่ในท้องของเขา และเกือบจะเสียบเข้าไปจนมิดด้าม เหลือเพียงแค่ด้ามจับสั้นๆ ที่เหลืออยู่ข้างนอกเท่านั้น

 

“เหนื่อยมาก...” หลิงม่อจ้องสวี่ไฉเขม็งพลางเอามืดนวดหว่างคิ้ว

 

เมื่อต้องปะทะกับคนธรรมดาทั่วไป วิธีใช้พลังควบคุมหุ่นของหลิงม่อที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือ พลังควบคุม ทว่ามันกลับใช้ไม่ได้ผลเลย ตรงข้ามการชักนำและรบกวนของหนวดสัมผัสกลับใช้ได้ผลดีที่สุด

 

แต่ความคาดหวังในพลังจิตนั้นสูงมากจริงๆ

 

หลิงม่อเหนื่อยมาทั้งวัน ย่อมไม่ได้ฟื้นสภาพร่างกายโดยสมบูรณ์ ตอนนี้หลังจากที่ประมือกับสวี่ไฉในระยะประชิด เขาก็รู้สึกปวดหัวไปชั่วขณะ

 

พอเห็นสวี่ไฉค่อยๆ ล้มฟุบบนพื้น หลิงม่อก็เผยรอยยิ้มที่มุมปาก

 

เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ เห็นสวี่ไฉเบิกตากว้างและยังชักกระตุกอยู่บนพื้นด้วย หลิงม่อก็นั่งยองพร้อมยิ้มบอก “ถ้าหากแกไม่คิดชั่วกับฉัน ตอนนี้ก็คงไม่มีจุดจบแบบนี้”

 

สวี่ไฉยังไม่หมดลมหายใจในเวลาสั้นๆ แม้ท้องจะถูกแทงด้วยแท่งลับมีด แต่แค่ไม่ดึงออกมาทันที ในเวลาสั้นๆ ก็ยังไม่ทำให้ถึงตาย แต่ตอนนี้สวี่ไฉหมดหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว การได้รับบาดเจ็บหนักแบบนี้ในช่วงวันสิ้นโลกก็หมายถึงความตาย

 

“สะ...ไสหัวไป...” แววตาของสวี่ไฉขุ่นมัวและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ปากก็ยังสบถด่า

 

หลิงม่อส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “วางใจเถอะ ฉันไม่ฆ่าแกเร็วแบบนี้หรอก เมื่อกี้ที่แกคุยกับสื่อปินฉันได้ยินหมดแล้ว เพื่อนนักเรียนพวกนั้นของแกก็ร่วมมือกับแกด้วยสินะ? ไม่อย่างนั้นลำพังแกคนเดียวคงไม่กล้าลงมือหรอก”

 

สวี่ไฉกัดฟันไม่พูดไม่จา เขาเงียบไปสองสามวินาที แล้วอยู่ๆ ก็เอ่ยด้วยมุมปาก “แกก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก เห็นฉันฆ่าสื่อปินแล้วก็ยังไม่ช่วย...”

 

“เขารนหาที่ตายเองแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” หลิงม่อแค่นเสียงหึเย็นชา “ฉันจะเป็นคนดีหรือไม่ดียังไง ก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างแกมาตัดสิน”

 

“หะ...หุบปาก แกยังคิดจะทำอะไรฉันอีก? เดี๋ยวฉัน...” สวี่ไฉเป็นคนใจแกร่งจริงๆ เห็นความตายอยู่ตรงหน้า ไม่อาจจะเรียกชีวิตคืนมาได้ ก็ยังเผยรอยยิ้มชั่วช้า

 

หลิงม่อหัวเราะเยาะ แล้วเอามีดสั้นตบๆ แก้มสวี่ไฉ เอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือกไร้ที่เปรียบ “ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ให้แกได้ตายเร็วแบบนั้น ปูเสื่อรอเถอะ อีกเดี๋ยวจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของแก”

 

“แกจะเล่นลูกไม้อะไรก็ตามสบาย ฉะ...ฉันไม่กลัวแกหรอก...”

 

ในแววตาของสวี่ไฉแวบวาบประกายความหวาดกลัว แต่ก็ยังปากแข็งพูดออกมาแบบนั้น

 

“คอยดูเถอะ” หลิงม่อไม่ได้ลงมือเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายคาดหวัง ทว่าเขากลับนั่งลงที่ขั้นบันไดข้างหนึ่ง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเต็มไปด้วยความสนอกสนใจพร้อมรอยยิ้มที่ยากจะหยั่งถึง

 

ยามเข้าใกล้ความตายนั้นชวนให้รู้สึกตระหนก แต่สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ กลับเป็นช่วงเวลาที่รอให้ถึงตาย โดยเฉพาะเมื่อถูกหลิงม่อมองแบบนี้ แต่กลับไม่อาจจะหมดลมหายใจได้ในเวลาสั้นๆ

 

สวี่ไฉรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ทั้งรู้สึกตื่นกลัว รู้สึกสิ้นหวัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เต็มใจ...

 

ตั้งแต่เกิดหายนะ สวี่ไฉก็รู้ชัดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน เพื่อที่จะหนีออกมาจากหอพัก เขาเอาพี่น้องร่วมหอของตัวเอง และเพื่อนร่วมห้องที่หอซึ่งเกิดการกลายพันธุ์ขังไว้ด้วยกัน จากนั้นตอนที่พวกเขาตะโกนร่ำไห้เขาก็วิ่งหนีออกมาโดยไม่หันกลับไป

 

เพื่อมีชีวิตรอด เขาเสียสละคนไปมากมาย กระทั่งวันนี้ เพื่ออาหารเพียงน้อยนิด เขาไม่เสียดายที่จะใช้เลือดสดๆ และความเจ็บปวดของเพื่อน ปลุกความเหี้ยมโหดของเพื่อนนักเรียนพวกนั้น บีบให้พวกเขาคลั่ง

 

แต่สวี่ไฉไม่ได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด! เขาก็แค่ทำเพื่อได้มีชีวิตรอด!

 

ไม่มีกฎหมายแล้ว ไม่มีพันธะทางศีลธรรมแล้ว โลกใบนี้ก็กลายเป็นสงครามของการคัดสรรตามธรรมชาติและวิวัฒนาการของผู้ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้!

 

ผู้ที่อ่อนแอก็ควรจะกลายเป็นหินปูทางให้กับผู้ที่แข็งแกร่ง คนอ่อนแอไม่มีเหตุผลให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อ...

 

สวี่ไฉคิดในใจแบบนี้ไปพลางชักกระตุกไม่หยุด อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนจะมีความรู้สึกเผาไหม้ส่งผ่านมาจากตรงท้องของตัวเอง ไฟนี้ยิ่งเผาท้องเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขายังรู้สึกกระทั่งว่าทั้งร่างของตัวเองใกล้จะเผาตัวเองตายแล้ว!

 

“นี่มันอะไร?” สวี่ไฉเริ่มกระตุกรุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาเริ่มถูกกลบด้วยประกายสีเลือดทีละนิดๆ ท่ามกลางความสิ้นหวังและความตื่นตระหนก สวี่ไฉถึงได้รู้สึกว่ากระแสเลือดในร่างกายของตัวเองกำลังเผาไหม้!

 

“นี่มันอะไรกัน!”

 

สวี่ไฉเริ่มร้องลั่นโดยไม่สนใจทุกสิ่ง แต่เขาเพิ่งจะร้องออกไปได้คำเดียว หลิงม่อก็เอาเท้าเหยียบปากเขาไว้ “เงียบหน่อย!”

สภาพไม่ค่อยเหมือนตอนซย่าน่ากลายพันธุ์...เป็นเพราะไวรัสมีปริมาณน้อยไปงั้นเหรอ?”

 

หลิงม่อเหมือนจะรู้สึกว่า แม้สวี่ไฉจะดีดดิ้นไม่หยุด แต่เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของเขากลับไม่มาก แต่อีกด้านหนึ่งนั้น เขาเหมือนจะยังมีสติตื่นอยู่เล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับซีดขาวจนน่ากลัว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกไม่หยุด เหมือนจะเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด

 

หลังจากที่ใช้หนวดสัมผัสแล้ว หลิงม่อก็ลองใช้พลังควบคุมฝ่ายตรงข้าม ตอนแรกเริ่มการต่อต้านของสวี่ไฉนั้นรุนแรงมาก แต่ด้วยสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เลือนราง สายตาเขาก็เริ่มพร่ามัว การยืนหยัดอย่างต่อเนื่องของหลิงม่อก็ประสบผลสำเร็จในที่สุด

 

จากพลังจิตของหลิงม่อเข้าแทนที่อำนาจควบคุมตัวเองของสวี่ไฉ เขาจึงก็หยุดกระตุกทันที

 

“นี่น่าจะถือเป็นซอมบี้ครึ่งนึงล่ะมั้ง? ซอมบี้มีตำหนิเหรอ?” หลิงม่อควบคุมสวี่ไฉให้ลุกขึ้น พบว่าสภาพของอีกฝ่ายและซอมบี้ทั่วไปไม่เหมือนกัน เมื่อระดับความบริสุทธิ์ของซอมบี้ต่ำ ผลกระทบที่ได้รับก็จะยิ่งน้อยไปด้วย...

 

ดีที่ฟ้ามืด คนอื่นก็คงจะดูออกได้ยากว่าดวงตาของสวี่ไฉมีบางอย่างผิดปกติ หลิงม่อควบคุมสวี่ไฉให้ทำผมยุ่งปิดตาไว้ ทั้งยังติดกระดุมเสื้อโค้ท บังแท่งลับมีดที่เสียบอยู่ตรงท้อง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปทางสนามเทควันโด

 

ตอนแรกการเคลื่อนไหวของสวี่ไฉค่อนข้างประหลาด แต่ไม่นานก็ยิ่งลื่นไหล ถ้าหากไม่ใช่ท่าทางไร้สีหน้าแบบนั้น ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ความจริงสวี่ไฉในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด