ตอนที่แล้วบทที่ 81 ความบ้าคลั่งสุดท้าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 83 ลูกศรที่ยิงออกไปแล้วไม่หวนกลับ

บทที่ 82 ให้อาหาร


บทที่ 82 ให้อาหาร

 

บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างสื่อปินกับสวี่ไฉ หลิงม่อย่อมเห็นอยู่ในสายตาทุกอย่าง

 

ตามหลักแล้วพวกเขาสองคนเป็นคนคุ้นเคยกัน จะรำลึกเรื่องความหลังกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่รู้ว่าทำไม หลิงม่อกลับเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาตะหงิดๆ

 

โดยเฉพาะการแสดงออกเมื่อครู่ของสวี่ไฉคนนั้น แม้ดูเหมือนอบอุ่นเป็นมิตร แต่กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกอึดอัด

 

เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในห้อง ในสายตาของพวกเขาต่างแฝงด้วยความหิวกระหายอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด เมื่อเทียบกันแล้ว สวี่ไฉเหมือนจะ...สงบนิ่งมากเกินไปหน่อยอย่างเห็นได้ชัด!

 

ถูกต้อง นิ่งมากเกินไปแล้ว! ดูท่าทางพวกเขา น่าจะติดแหง็กอยู่ในนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ในตอนแรกพวกเขานึกว่าพวกหลิงม่อคือผู้ลี้ภัย ดังนั้นอาจารย์แซ่หลัวจึงได้วางท่าเย็นชา แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่าท่าทางนั้นกลับปกติแสนจะปกติ

 

ตอนหลังเมื่อสื่อปินพูดออกไปว่าพวกเขากลับมาจากถนนโคมแดง นักศึกษาพวกนั้นก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่อาจารย์หลัวคนนั้นก็ยังตาเป็นประกาย

 

ตรงกันข้ามกับสวี่ไฉยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งที่สุดและความเป็นมิตรที่ทำให้คนเห็นรู้สึกว่าปลอมนั้นไว้...

 

“ในนั้นเป็นโกดังเล็กๆ แม้ตำแหน่งจะไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่แย่มาก เป็นไง พักที่นี่ดีไหม?” ในตอนนี้เองอยู่ๆ หลินล่วนชิวก็ยกมือชี้ไปทางประตูบานหนึ่งที่อยู่ตรงมุมเลี้ยวที่ระเบียงทางเดิน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเชิงปรึกษาหารือ

 

หลิงม่อพยักหน้าแล้วเดินไปเปิดประตูบานนั้น

 

สภาพในโกดังเล็กๆ แห่งนี้แตกต่างจากสนามเทควันโดจริงๆ มีแค่หน้าต่างบานเดียว แต่ข้างนอกก็ติดกับเฉลียง เวลาเกิดเรื่องก็อาจหลีกหนีไปจากตรงนี้ได้

 

สองฝั่งของโกดังมีชั้นไม้ที่มีอุปกรณ์เล็กๆ วางกองอยู่ หลิงม่อหยิบไม้ตีปิงปองมาหนึ่งอัน แล้วโยนเล่นในมือ

 

วันโลกาวินาศแล้ว ใครบ้างยังจะมีแก่ใจเล่นกีฬา อุปกรณ์พวกนี้ก็แค่ถูกทิ้งไว้ให้ขึ้นราที่นี่ สำหรับผู้รอดชีวิต การหาทางรอดชีวิตคือกีฬาที่ดุเดือดและเร้าอารมณ์ที่สุดแล้ว

 

ซย่าน่าแสดงความสนอกสนใจต่ออุปกรณ์พวกนั้นสุดๆ ท่าทางตอนเธอพินิจมองอะไรๆ อย่างละเอียด ย่อมทำให้หลินล่วนชิวเกิดความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตลอดทางที่ผ่านมานี้ เธอเริ่มจะสงสัยท่าทางของซย่าน่าและเย่เลี่ยนรางๆ แล้ว

 

แม้ภายนอกจะไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป แต่การแสดงออกเวลาที่พวกเธอต่อสู้กลับทำให้รู้สึกไร้คำบรรยาย ทั้งเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว วิธีการสังหารก็โหดเหี้ยมเลือดสาด อีกทั้งในสภาพที่เหนื่อยล้าเช่นนี้ พวกเธอยังคงเป็นปกติได้ เด็กสาวทั่วไปจะทำได้ถึงขั้นนี้เสียที่ไหน?

 

แต่ที่สงสัยก็ส่วนสงสัย ในใจของหลินล่วนชิวกลับไม่ได้มีความคิดเลยสักนิดว่า หากไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? คงไม่มีทางเป็นซอมบี้หรอกมั้ง? เธอได้ยินซย่าน่าพูดกับหูตัวเองมาแล้วนี่...

 

หลิงม่อไม่รู้ว่าหลินล่วนชิวเริ่มสงสัยสถานะของซย่าน่าและเย่เลี่ยนแล้ว ตอนนี้เขากำลังแอบให้เย่เลี่ยนกินอาหาร...

 

ถือโอกาสตอนเช็ดรอยเลือดที่มือของเย่เลี่ยน หลิงม่อเอาก้อนไวรัสเหนียวหนืดที่ได้มาเมื่อกี้แบ่งออกมาครึ่งหนึ่ง ยัดใส่ปากเธอ

 

แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจควบคุม ตอนที่เอาก้อนไวรัสวางตรงมุมปากของเย่เลี่ยน เธอก็เผยอกลีบปากที่เม้มอยู่ทันที จากนั้นก้อนไวรัสก็ไหลเข้าลำคอ สีเลือดในดวงตาของเย่เลี่ยนเปล่งประกายทันที จากนั้นก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพอย่างคนปกติ

 

ภาพนี้ไม่ได้ถูกหลินล่วนชิวเห็นเข้า เพราะหลิงม่อจงใจบังเย่เลี่ยนไว้ เขาใช้ลูกไม้เดิมๆ เอาก้อนไวรัสอีกครึ่งให้ซย่าน่า

 

แต่ซย่าน่าที่มีความทรงจำแล้วจัดการยากกว่าเย่เลี่ยนมาก ขณะที่เธอกินก้อนไวรัสก็ยังดูดนิ้วมือของหลิงม่อไว้ด้วย ปลายลิ้นอ่อนนุ่มและร้อนชื้นตวัดเลียนิ้วของหลิงม่อไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ยังส่งเสียงดูดออกมาช่วงหนึ่ง

 

“นี่...อย่าคิดกัดฉันเชียวนะ!” หลิงม่อหนังศีรษะชาในทันที รีบบอกเสียงค่อย

 

ซย่าน่ามองหลิงม่อเหม่อๆ จากนั้นก็อ้าปากด้วยความอาลัยอาวรณ์ ให้หลิงม่อดึงนิ้วมือของตัวเองออกมา หลิงม่อถือโอกาสหยิกแก้มซย่าน่าทีหนึ่งแล้วบอก “ให้เธอกินแล้ว เธอยังคิดจะกัดฉันอีก!”

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่กัด” ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็บอก น่าเสียดายที่ประกายสีเลือดที่เพิ่งจะแวบวาวในดวงตานั้นทรยศเธอ

 

คงเพราะหิวมากสินะ หลิงม่อคิดในใจ ระหว่างทางเขาเคยจะหาโอกาสให้ก้อนไวรัสกับซย่าน่าและเย่เลี่ยน แต่พอซอมบี้เคลื่อนไหวขึ้นมา ก็หมายถึงการเผาผลาญพลังงานอย่างสูง ก้อนไวรัสแค่นี้เหมือนจะไม่พอยาไส้พวกเธอ

 

ดีที่วิวัฒนาการของพวกเธอสองคนค่อนข้างสูงแล้ว ก้อนไวรัสทั่วไปไม่อาจทำให้พวกเธอเกิดความผิดปกติใดๆ ได้ แต่หลิงม่อรู้สึกว่า สำหรับพวกเธอแล้วแม้ก้อนไวรัสเหนียวหนืดพวกนี้จะเกรดค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อเก็บเล็กผสมน้อยก็จะกลายเป็นมากขึ้น ค่อยๆ ผลักดันให้พวกเธอเกิดวิวัฒนาการ

 

หลิงม่ออยากจะดูดน้ำหวานมาเสริมพลังทางร่างกายของตัวเองตรงนี้ แต่พอเห็นซย่าน่าและเย่เลี่ยนทั้งสองคนต่างอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า หลิงม่อก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป

 

น้ำหวานในร่างของพวกเธอเสริมพละกำลังให้เขาได้ แต่ไม่แน่ว่าหลังจากที่น้ำหวานไหลออกมาแล้วอาจจะทำให้พวกเธอหมดพลัง

 

เป็นผู้ชาย เหนื่อยหน่อยได้ก็เหนื่อยเถอะ...

 

ตอนที่หลิงม่อให้อาหารซย่าน่า เย่เลี่ยนก็เดินเข้ามาพิงเขา เนื่องจากสายสัมพันธ์ทางจิตที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเขาสองคน ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณตอนที่เธออ่อนเพลียก็คือมาพักข้างกายหลิงม่อ

 

เสียงดูดนี้ย่อมไม่อาจปิดบังหลินล่วนชิว เธอเห็นอยู่ในสายตา ขณะเดียวกันหน้าก็ร้อนลวก ก็อดรู้สึกสนใจไม่ได้ โดยเฉพาะในสภาพที่ยังไม่รู้ความจริง บทสนทนาของซย่าน่าและหลิงม่อฟังแล้วเหมือนคู่รักที่หยอกล้อต่อปากต่อคำกัน

 

ในช่วงวันโลกาวินาศยังมีสภาพจิตใจที่ดีขนาดนี้ได้ ยังมีแก่ใจจะมางอแง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อครู่พวกเขาได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนั้น นี่ไม่อาจอธิบายง่ายๆ ได้ว่ามีคุณภาพทางจิตใจที่แข็งแกร่งได้เลย

 

หรือว่ามันคือความตายด้าน?

 

คิดมาถึงตรงนี้ หลินล่วนชิวก็รู้สึกขำกับความสงสัยของตัวเองไปชั่วขณะ ระหว่างที่ต่อสู้แม้ซย่าน่าจะแสดงออกได้อย่างน่าทึ่ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอก็เป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ ที่ชอบงอแงแหละน่า

 

และท่าทางที่หลิงม่อช่วยเช็ดมือให้เย่เลี่ยนเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้รู้สึกว่า ดาวมหาวิทยาลัยคนนี้ความจริงแล้วเป็นเด็กสาวที่ดูแลตัวเองไม่ค่อยเก่ง

 

“หรือว่าฉันอิจฉา?”

 

หลินล่วนชิวอดตระหนกในใจไม่ได้ จากนั้นสายตาก็มืดมนลง ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ เธอก็นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมช่วยเหลือ ข้อได้เปรียบของผู้มีความสามารถพิเศษ ช่วยชดเชยจุดอ่อนที่เด็กผู้หญิงขาดพละกำลังทางกาย มีแรงไม่พอ แต่หลังจากที่เกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว เธอก็แทบจะกลายเป็นคนพิการ...พอได้ชมการต่อสู้ในวันนี้ ทำให้หลินล่วนชิวรู้สึกว่า แม้ตัวเองจะยังปกติสมบูรณ์ดีอยู่ ก็สู้เด็กสาวสองคนนี้ไม่ได้เลย

 

เป็นเพราะแบบนี้หรือ ตัวเธอก็เลยรู้สึกอิจฉา? นี่ไม่ใช่ลางดีอะไร ความอิจฉาก็คือปลายมีดแหลมคม...

 

ตอนที่หลินล่วนชิวคิดฟุ้งซ่าน สื่อปินก็หอบแฮ่กๆ เข้าประตูมา เมื่อครู่เขาเพิ่งจะวางท่าทำเป็นแข็งแกร่งต่อหน้าพวกสวี่ไฉ แต่ความจริงนั้นเหนื่อยจนแทบล้มพับนานแล้ว ตอนนี้ที่ฝืนยันมาถึงในห้องได้ เพิ่งจะปิดประตูก็แทบจะทรุดนั่งลงอย่างอดรนทนไม่ไหว เหมือนสุนัขตายที่หอบหนักๆ ไม่หยุด

 

“สื่อปิน เมื่อกี้นายคุยอะไรกับสวี่ไฉ?” หลินล่วนชิวเงยหน้ามองหลิงม่อแวบหนึ่ง พอเห็นเขาไม่ได้สนใจสื่อปิน ก็เลยเป็นฝ่ายเริ่มซักถามสื่อปินเอง

 

สื่อปินขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย คิดในใจว่า เธอหมายความว่าอะไร? สอบสวนนักโทษเหรอ! ไอ้คนแซ่หลิงทำท่าทางแย่ๆ กับเขาแล้ว เธอหลินล่วนชิวยังจะทำกับฉันแบบนี้อีก เสียแรงที่ฉันทำดีกับเธอสุดหัวใจ!

 

เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป...หึ หรือว่าถ้าอยู่ห่างจากหลิงม่อแล้วเธอจะอยู่ไม่ได้แล้ว? ในสมองของเขายังกระทั่งมีคำพูดตำ่ช้าผุดขึ้นมา ‘แพศยา!’

 

เหนื่อยล้ามาทั้งวัน เผชิญอันตรายเป็นตายมาไม่หยุดหย่อน ทำให้ในใจขอสื่อปินเต็มไปด้วยความหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่หลินล่วนชิวไม่ให้เขาคุยโม้โอ้อวดต่อหน้าสวี่ไฉ แต่กลับทำให้เขาเสียหน้าด้วย แม้ตอนนั้นเขาจะยังกลัวไม่หายว่าจะไปยั่วโมโหหลิงม่อเข้า แต่ตอนนี้เรื่องผ่านไปแล้ว เขาก็รู้สึกเดือดดาลสุดๆ และรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง!

 

พอคิดแบบนี้ สายตาของสื่อปินก็กลายเป็นเย็นชานิดๆ “ไม่ได้พูดอะไร เขาก็ถามเรื่องส่วนตัวของฉันนิดหน่อย ทำไม เรื่องนี้เธอก็ต้องยุ่งด้วยเหรอ?”

 

เขาบอกพลางใช้สายตาก็กวาดมองไปทางหลิงม่อกึ่งๆ ตั้งใจและไม่ตั้งใจ พอเห็นหลิงม่อกำลังนั่งอยู่กับซย่าน่าและเย่เลี่ยน กระทั่งยังเอาหัววางไว้บนขายาวของเย่เลี่ยนอย่างมีความสุข ก็เผยให้เห็นสีหน้าสับสนอย่างช่วยไม่ได้

 

ทำไมเขาถึงมีความสามารถพิเศษ แต่ฉันไม่มี?! แม่งเอ๊ย ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด