ตอนที่แล้วบทที่ 80 นักขายเพื่อนมืออาชีพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 82 ให้อาหาร

บทที่ 81 ความบ้าคลั่งสุดท้าย


บทที่ 81 ความบ้าคลั่งสุดท้าย

 

พอเห็นพวกหลิงม่อเดินเลียบไปตามระเบียงทางเดิน สีหน้าของสวี่ไฉก็บึ้งตึงทันที เขาดึงสื่อปินที่รั้งท้ายอยู่หลังสุด เอ่ยถามเสียงค่อย “ไอ้หมอนั่นมันคือใครกันแน่?”

 

สื่อปินผงะ เขาอ้าปากอยากจะพูดว่า ‘ผู้มีความสามารถพิเศษ’ แต่พอนึกถึงสายตาเย็นยะเยือกของหลิงม่อเมื่อครู่แล้ว เขาก็เปลี่ยนคำพูดด้วยท่าทางลังเล “เขาเป็น...ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเขาเป็นใคร ถึงยังไงเขาก็เป็นแฟนของเย่เลี่ยน...” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก้มหน้าแล้วเสริมอย่างหดหู่ “ฝีมือก็ไม่เลวด้วย”

 

“อ้อ” สวี่ไฉพยักหน้า อยู่ๆ ก็โน้มเข้ามาใกล้ บีบเสียงพูดให้เบาที่สุด “นายคงพกอาหารมาด้วยใช่ไหม? แบ่งให้พวกเราสักนิดได้รึเปล่า? ฉันขอบอกอย่างไม่ปิดบังเลยว่า พวกเราไม่มีของที่กินได้เหลือเท่าไรแล้ว”

 

สื่อปินทำหน้าขมขื่น “ฉันมีอาหารซะที่ไหนเล่า! ไอ้คนแซ่หลิงนั่นต่างหากที่มีอาหารเยอะแยะ แต่เขาเห็นฉันขัดลูกตา ไม่เคยแบ่งให้ฉันเลยสักนิด! แต่ฉันก็ไม่อยากจะได้หรอก!” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็มีสีหน้าโกรธแค้น

 

“อย่างนี้เอง...” สวี่ไฉตบบ่าสื่อปินบอก “ดูท่าชีวิตนายก็ไม่ได้ดิบดีเหมือนกันสินะ ไม่รู้ว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน?”

 

“ฉันจะไปรู้ได้ไง แต่ฟ้าก็มืดแล้ว น่าจะค้างสักคืนล่ะมั้ง”

 

“เอาอย่างนี้ อีกสักพักนายหาโอกาสออกมาหน่อย ฉันจะรอนายอยู่ตรงบันได”

 

สิ่งที่สวี่ไฉเสนอมาทำให้สื่อปินทำหน้าสงสัย แต่อีกฝ่ายก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว “ฉันแค่อยากปรึกษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับนาย ไม่ต้องห่วงหรอก เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันไม่ใช่เหรอ? หรือว่าไอ้แซ่หลิงนั่นไม่ให้อิสระนายด้วย?”

 

“ถ้างั้นก็ได้...ฉันไปก่อนล่ะ”

 

สื่อปินพูดจบก็รีบบอกลาสวี่ไฉ แล้วตามพวกหลิงม่อไปติดๆ

 

ส่วนสวี่ไฉกลับยืนอยู่หน้าประตู นิ่งเงียบอยู่สักพักแล้วก็เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก ดูท่าทาง สื่อปินน่าจะถูกเด็กหนุ่มแซ่หลิงกดหัวไว้ ถึงได้มีอาการคับแค้นใจแบบนี้

 

คนคนนี้มีนิสัยอีกด้านที่อำมหิต แต่เป็นคนใจแคบ ขี้อิจฉาริษยาอย่างรุนแรง เขานึกว่าตัวเองกลบจุดนี้ได้มิด แต่ความจริงแล้วสวี่ไฉดูออกตั้งนานแล้ว

 

“กระเป๋าเป้ใบใหญ่ขนาดนั้น แล้วยังมีอาวุธอีกสองสามอย่างด้วย...” สวี่ไฉกำหมัดแน่นช้าๆ จากนั้นก็หันกลับไปทางกลุ่มนักศึกษาที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึงเหมือนกับว่าได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว

 

“สวี่ไฉ! เมื่อกี้นายมาขวางพวกเราทำไมกัน! นายไม่ได้ยินคนคนนั้นพูดเหรอ? พวกเขากลับมาจากถนนโคมแดงเชียวนะ! พวกเราจะอยู่รอความตายที่นี่ไม่ได้ ต้องขอร้องให้พวกเขาช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี่!”

 

ชายคนหนึ่งเบียดออกมาจากกลุ่มคน เอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ

 

สวี่ไฉกระแทกปิดประตู จากนั้นก็ถลึงตาจ้องชายคนนั้นด้วยความเดือดดาล “นายว่าอะไรนะ?”

 

แม้ว่าชายคนนั้นจะตัวสูงและมีรูปร่างจ้ำม่ำ แต่กลับหวาดกลัวสวี่ไฉมาก พอเขาได้ยินแล้วก็หุบปากสนิท และยังเลื่อนสายตาออกไปอย่างขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าสบตากับสวี่ไฉ

 

กลุ่มคนเงียบลงทันที แต่ชายคนนั้นก็ยังฝืนเอ่ยขึ้นอีก “เขาพูดไม่ผิด! สวี่ไฉ ทุกครั้งที่นายพาคนสองสามคนออกไปหาอาหาร ผลก็คือตายจนเหลือนายกลับมาคนเดียวทุกครั้ง แต่อาหารที่เอากลับมาได้ก็ไม่พอให้เรากินไปได้หลายวัน...หากเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเรา...พวกเราก็ยังไม่อยากตายนะ! ไปขอร้องพวกเขาเถอะ!”

 

“ทำไม นายคิดจะพูดว่าฉันทิ้งพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องตายเหรอ? นายคิดจะบอกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกนายจะตายกันหมดอย่างนั้นเหรอ?” สวี่ไฉเบิกตากว้างทันที น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม “พวกนายแต่ละคน กินของที่ฉันแลกมาด้วยชีวิต แล้วยังจะกล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ? ถ้าไม่มีฉันพวกนายก็ตายไปนานแล้ว! พวกนายต่างรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ฉันขวางทางรอดชีวิตของพวกนายเหรอ? ทำไมสมองโง่ๆ ของพวกนายจึงไม่คิดบ้างล่ะว่า อาศัยแค่พวกเขาสองสามคนนั้น กลับมาถึงที่นี่จากถนนโคมแดงอย่างงั้นเหรอ? ตลกสิ้นดี! ไม่ต้องพูดถึงใครหน้าไหนหรอก สื่อปินนั่นมีฝีมือแค่ไหนฉันรู้ดีที่สุด ผู้ชายอีกคน ดูๆ ไปก็ไม่ได้บึกบึนอะไร ต่อให้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ดีกว่าสื่อปินนิดหน่อยเท่านั้น”

 

“แม้เย่เลี่ยนกับผู้หญิงอีกคนดูท่าจะมีฝีมือไม่เลว แต่พวกเขายังพาคนขี้โรคมาด้วย!”

 

พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เลียริมฝีปาก แล้วหัวเราะเย้ยหยัน “พวกนายเชื่อจริงๆ เหรอว่าพวกเขากลับมาจากถนนโคมแดงได้? ถ้างั้นฉันขอถามหน่อยว่า พวกเขามาทำอะไร? ไม่ง่ายเลยที่จะหนีออกไปได้แล้วจะกลับมาทำไม? ผู้ชายคนนั้นบอกว่ามีธุระ...ถุยเถอะ! เห็นฉันไม่มีสมองเหมือนพวกนายหรือไง? มาจนป่านนี้แล้ว ต่อให้พ่อแม่แท้ๆ ของเขาอยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่ถ่อกลับมาโดยเฉพาะหรอก! ฉันว่านะ อย่างมากพวกเขาแค่ก็เตรียมจะหนีออกไป!”

 

“ถ้างั้น...”

 

คำพูดของสวี่ไฉทำให้คนในที่นั้นต่างมองหน้ากัน แต่หลังจากที่ชายคนเมื่อครู่ลังเลอยู่สักพัก ก็อดถามขึ้นอีกไม่ได้ “แต่ทำไมพวกเขาต้องโกหกด้วยล่ะ?”

 

“ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพื่อขู่พวกโง่ๆ อย่างพวกนายไงเล่า! เห็นผู้ชายคนนั้นไหม? เขาแบกกระเป๋าใบใหญ่แค่ไหน! ในนั้นจะต้องมีของมากเท่าไร? แล้วก็ เขากับเย่เลี่ยน อีกทั้งเด็กผู้หญิงผมยาวต่างก็มีมีดดีๆ ! พวกนายดูสิว่าตอนนี้พวกเราใช้อาวุธแบบไหน? ไม้เบสบอล! แล้วก็ท่อเหล็กที่รื้อถอดออกมา! ถ้าหากมีอาวุธดี คนของเราจะตายไปมากขนาดนั้นเหรอ?”

 

สวี่ไฉพูดจนนำ้ลายแตกฟอง อารมณ์รุนแรงจนดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “ตอนนี้บ่ายแล้ว จากที่ฉันดูพวกเขาก็เหนื่อยมากแล้ว ทั้งยังพาคนอมโรคมาด้วย ไม่มีทางที่จะจากไปในคืนนี้...”

 

“นายหมายความว่า...” มีใครอีกคนลองสอดปากขึ้นมาประโยคหนึ่ง

 

สวี่ไฉกำหมัดแน่น แล้วยกเหวี่ยงไปข้างหน้าเต็มกำลัง ในดวงตาปรากฎความโหดเหี้ยมอย่างไม่ปิดบังสักนิด “พวกนายคิดว่าแย่งของกินจากคนเป็นหรือแย่งจากซอมบี้ง่ายกว่าล่ะ?”

 

ในสนามเทควันโดเงียบงันไปทันที

 

พวกเขาติดอยู่ที่นี่มานาน และได้เจอผู้รอดชีวิตมาไม่น้อย แต่พวกผู้รอดชีวิตพวกนั้นมีของกินเสียที่ไหน มีแต่จะร้องไห้หาพ่อหาแม่ขอร้องให้พวกเขาช่วยเหลือ ไม่เพียงแค่ไม่ได้มีประโยช์เลยสักนิด ทว่ายังเพิ่มภาระให้พวกเขาด้วย

 

สวี่ไฉมีพลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุด ท่ามกลางกลุ่มผู้รอดชีวิตย่อมกลายเป็นบุคคลที่พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น แม้ทุกครั้งเขาจะออกไปเสาะหาของกิน ก็มักจะเรียกผู้โชคร้ายไปด้วยสองสามคน แต่คนที่เหลือก็มักจะมีความรู้สึกว่าโชคช่วย ขอแค่คนที่ถูกสังเวยไม่ใช่ข้า ก็จะทำเป็นไม่เห็นอะไร...และมีกระทั่งคนคิดในใจว่า ถ้าหากจะต้องมีเหยื่อสังเวยถึงจะแลกเอาของกินกลับมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็เลือกคนจำนวนหนึ่งมาเป็นเหยื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ในจำนวนของเหยื่อนี้ไม่มารวมตัวเองเข้าไปด้วยเป็นพอ

 

ในสถานการณ์ที่ไม่อาจต่อต้านโชคชะตาและเอาความกล้ามาต้านทานไม่ไหว ในที่สุดพวกเขาก็ยิ่งเฉยชาขึ้นเรื่อยๆ และนี่ก็คือสภาพจิตใจของนักศึกษากลุ่มนี้ในเวลานี้

 

ดังนั้นตอนที่สวี่ไฉเสนอข้อเสนอแบบนี้ แม้พวกเขาจะตะลึงงันไปพักหนึ่ง แต่ก็เผยสีหน้าละโมบและตื่นเต้นออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“นั่นสิ พวกเขาต้องหลอกพวกเราแน่...”

 

“พวกเขาเอาของดีมามากมายแบบนั้น จะแบ่งให้พวกเราสักนิดก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง? พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันรึไง?”

 

“ก็ใช่ พวกเขาจะใจดำปล่อยให้พวกเราหิวตายงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว!”

 

“พวกเราขอจากพวกเขาก่อน ถ้าหากพวกเขาไม่ยอม พวกเราก็ค่อยลงมือแย่งเอามา!”

 

ได้ยินเสียงถกเถียงของนักศึกษากลุ่มนี้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ สวี่ไฉก็เผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะทันที

 

หิวโหยมาเนิ่นนาน และอาจจะมาถึงยอดเงาแห่งความตายได้ทุกเมื่อ ทำให้คนเหล่านี้ไม่เหลือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสุดท้ายไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาคือกลุ่มคนบ้า ขอเพียงแค่ชนวนระเบิดเล็กๆ ก็จะทำให้พวกเขาบ้าคลั่งสุดขีดขึ้นมา

 

แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงบาดหูดังขึ้นในตอนนี้ “จากที่นายบอกว่า พวกเขาวางแผนจะหนีออกไปจากในม. ก็เท่ากับบอกว่าพวกเขาก็ติดแหง็กอยู่ในม. เหมือนกับพวกเราอย่างนั้นเหรอ? แม้ว่าหลายวันนี้พวกเขาจะเสาะหาอาหารมาได้ แต่มีดสามเล่มนั้นล่ะ จะอธิบายยังไง? โรงเรียนของเราไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธที่ควบคุมไว้หรอก”

 

คนที่เอ่ยข้อสงสัยขึ้นมา คือนักเรียนหญิงร่างเล็กเตี้ย สวี่ไฉไม่ได้ประทับใจผู้หญิงคนนี้มากนัก รู้แค่ว่าปกติเธอไม่หือไม่อืออะไร ไม่คิดเลยว่าเธอจะถึงกับกล้าออกมาคัดค้านตน

 

แต่เด็กสาวคนนี้แทงคำถามออกมาได้ตรงจุด คนกลุ่มนี้ที่หน้ามืดเพราะผลประโยชน์ก็สำนึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

 

ในใจสวี่ไฉรู้สึกเกลียดเด็กสาวคนนี้สุดขีดขึ้นมาทันที อยากจะกระโจนเข้าไปตบเธอแรงๆ สักสองฉาด แต่ตอนนี้กลับจำต้องข่มกลั้นไว้ซ้ำๆ แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “อาจจะแอบขโมยเข้ามาเงียบๆ ก็ได้ ถึงยังไงก็ตรวจไม่เข้มอยู่แล้ว พวกนายลืมแล้วเหรอ ไม่กี่วันก่อนตอนเกิดหายนะก็ยังปล่อยข่าวด้วยไม่ใช่เหรอ? บอกว่าในเมืองของเราตรวจพบปืนผิดกฎหมายห้าพันกว่ากระบอกแล้วก็อาวุธในควบคุมหลายประเภท จากนั้นก็ทำลายทิ้งทั้งหมด นี่ก็อธิบายได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

 

“ก็ใช่นะ ในห้องนอนใครบ้างล่ะที่ไม่มีสิ่งของที่ทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้เอาเข้ามา?”

 

“นั่นไง ถ้าหากปล่อยพวกเขาไปแบบนี้ พวกเราก็อาจจะต้องหิวตายอยู่ที่นี่จริงๆ”

 

“ฉันไม่อยากหิวตาย จะว่าไปก็อาจจะไม่ต้องลงมือ ไม่แน่พวกเขาอาจจะยอมให้อาหารพวกเราก็ได้?”

 

แม้ในใจของทุกคนจะลังเลนิดๆ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาไม่อยากจะปล่อยโอกาสอันมีค่าครั้งนี้ไปมากกว่า

 

มุมปากของสวี่ไฉปรากฎรอยยิ้มเล็กๆ ขณะเดียวกันก็มองเด็กสาวที่มีสีหน้าหมดทางเลือกอย่างเย็นชา ความจริงแล้วสวี่ไฉไม่ได้โง่ เขารู้แก่ใจดีว่า ความสามารถของคนพวกนี้ไม่ใช่กระจอก อย่างน้อยก็ไม่ควรจะไปแหยมซย่าน่าและเย่เลี่ยน เพราะถึงอย่างไรแค่อาวุธีดีๆ สามอย่างในมือนั้นก็เล่นงานพวกเขาให้แหลกกระจุยได้แล้ว ถ้าหากพวกเขาอ่อนแออย่างที่ตนพูดแบบนั้นจริง สวี่ไฉจะยอมแบ่งอาหารมากมายขนาดนั้นให้คนอ่อนแอพวกนี้ด้วยหรือ? และยิ่งไม่มีทางเล่นลูกไม้พวกนี้ ทั้งไม่มีทางรอจนพวกหลิงม่อจากไป ทว่าจะลงมือในตอนนั้นเลย!

 

เป้าหมายของเขาก็แค่ใช้ประโยชน์จากเพื่อนนักเรียนพวกนี้เท่านั้นเอง

 

ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาบุกอยู่ข้างหน้า เมื่อถูกคนจำนวนมากขนาดนี้ล้อมโจมตี ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งสักเท่าไรก็ไม่มีทางที่จะไม่บุบสลาย ส่วนเขาก็หลบอยู่ข้างหลังคอยตักตวงผลประโยชน์ แบบนี้ก็จะเก็บเกี่ยวได้มากมาย...

 

ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาบาดเจ็บยับเยินกันทั้งสองฝ่าย ส่วนตัวเองไม่เพียงได้อาหารและอาวุธ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เสพสุขกับเย่เลี่ยนด้วย แม้เธอจะถูกทำร้ายจนตายท่ามกลางความชุลมุน แต่ขอแค่ใบหน้านั้นยังสมบูรณ์ก็ยังใช้การได้อยู่

 

“สวรรค์มีทางแต่นายไม่เดิน นรกไร้ประตูยังจะบุกเข้ามา พวกแกอย่าโทษที่ฉันสวี่ไฉใจดำอำมหิตเลย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่พวกแกดวงซวย ฉันก็แค่ถูกบังคับจนไม่มีทางเลือกเท่านั้นเอง...”

 

สวี่ไฉหัวเราะเยาะในใจไม่หยุด สายตาก็ตรึงอยู่ที่ร่างของเด็กสาวที่ตั้งคำถามในตัวเขาเมื่อครู่นี้

 

เขาดึงเด็กสาวคนนั้นมา ตอนที่เด็กสาวคนนั้นกำลังจะกรีดร้องเขาก็เอามืออุดปากเธอไว้ จากนั้นก็ฉีกยิ้มชั่วร้ายให้กลุ่มคนที่ตะลึงงัน “ฉันรู้ว่าพวกนายไม่เคยลงมือกับคนมาก่อน เพื่อที่จะให้มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น พวกเราควรจะซักซ้อมให้มีความกล้าล่วงหน้าถูกไหม? เพื่อนนักเรียนหญิงคนนี้ตัดสินใจเสียสละตัวเอง ให้พวกนายได้เสพสุขตามใจชอบ ทั้งช่วยให้พวกนายได้ฝึกฝนความกล้า และยังนับว่าเป็นการให้กำลังใจก่อนทำศึกด้วย แต่ว่าคนที่ไม่กล้าก็คงได้แต่ยืนชักว่าวอยู่ข้างๆ ใครที่กล้าก็เข้ามาเลย!”

 

พอได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มผู้ชายก็แสดงสีหน้าประหลาดใจหนัก แต่เห็นท่าทางสวี่ไฉไม่เหมือนล้อเล่น

 

เด็กสาวคนนั้นแทบจะถูกยกขึ้นกลางอากาศ ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วยและกำลังมีสีหน้าอ้อนวอนขอร้อง มองกลุ่มพวกผู้ชายที่จ้องตัวเองเขม็ง

 

สวี่ไฉก็ไม่รอคำตอบจากพวกเขา ฉีกเสื้อผ้าของเด็กสาวดังแคว้ก “ในหมู่พวกนายยังมีหลายคนที่ไม่เคยปิดซิงเลยสินะ! ว่าไง ไม่กล้าเอาเหรอ?” คำพูดที่เต็มไปด้วยการปลุกปั่นอารมณ์ของเขาและภาพที่กระตุ้นอารมณ์นี้ ทำให้ความเป็นสัตว์ที่ซ่อนอยู่ในใจของคนกลุ่มนี้ระเบิดออกมาทันที...

 

จากนั้นคนแรกก็พุ่งเข้าไปพร้อมส่งเสียงคำราม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมในทันที

 

แม้แต่เด็กสาวอีกสองคนก็ไม่อาจจะหนีพ้นจากอันตรายนี้ได้...

 

อยู่ๆ สวี่ไฉก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกไปทางอาจารย์หลัวที่ยืนอยู่ข้างประตูมาตลอด พร้อมกับเผยรอยยิ้มประหลาด

 

อาจารย์หลัวเห็นสายตาของสวี่ไฉแล้วก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เขามองสวี่ไฉด้วยความขมขื่น สุดท้ายก็กัดฟันแล้วเดินเข้าไปในกลุ่มคนบ้าคลั่ง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด