ตอนที่ 45 : สิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกถ้ำ
เมยก็สังเกตเห็นได้และเขาก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
เขาแน่ใจได้ว่าหนามพายุทมิฬทั้งสองไม่ใช้ตัวที่หางถูกเขาฟันครั้งล่าสุด ไม่มีนักรบอยากจะเข้าไปยุ่งกับหนามพายุทมิฬอย่างมีเป้าหมาย แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการล่าสัตว์ของเขา เขาเคยต่อสู้กับหนามพายุทมิฬมาก่อน และเขาก็เข้าใจถึงความสามารถในการฟื้นตัวของมัน หลังจากที่ทำแผลตัวมันเองแล้ว เขารู้ว่าต้องใช้เวลามากกว่าห้าสิบหรือหกสิบวัน ที่หนามพายุทมิฬจะฟื้นตัวเต็มที่
นอกจากนี้ หลังจากการเผชิญหน้าที่ยาวนานเช่นนี้ เมยรู้สึกสงสัยมากขึ้นเกี่ยวกับแรงจูงใจของหนามพายุทมิฬ ' รู้สึกว่าพวกมันไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับนักรบถึงตาย หรือทำให้ใครบางคนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่มีบาดแผลใหม่บนร่างของสัตว์เหล่านั้น โชคดีที่ทั้งสองตัวไม่ได้บ้าเหมือนตัวล่าสุดที่เจอ แต่ หนามพายุทมิฬตัวสุดท้ายซึ่งถูกฟันที่หางอยู่ที่ไหน? มันถูกขับไล่จากทั้งสองตัวนี้หรือไม่?
"ดูเหมือนว่าพวกมันต้องการที่จะหยุดเราจากการขึ้นไป." เฉียวกล่าว
"พวกมันสามารถหอนได้จริง ๆ ... " นักรบระดับกลางอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างแปลกใจ เขาอายุเท่ากับเมย และค่อนข้างมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเมย ในอดีตเขาเคยเจอหนามพายุทมิฬสองถึงสามครั้ง แล้วก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหนามพายุทมิฬจากผู้สูงอายุ ดังนั้นนิสัยที่ดุร้ายของสัตว์พันธุ์นี้ เขารู้ดียิ่งกว่าเมยและคนอื่น ๆ
"หนามพายุทมิฬไม่เพียงแค่หวงแหนอาณาเขตเท่านั้น แต่เป็นนักฆ่าที่ซุ่มซ่อนในที่มืด เสียงทั่วไปทำให้มันเป็นเสียงการสั่นของหนามแทนเสียงหอน " นักรบเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ไม่นาน แลงกาและคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงหอนของหนามพายุทมิฬ และพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะลงมาช่วย
เชื่อมต่อความสงสัยหลายๆ ส่วน ไม่มีใครเอ่ยอันใดนอกจากประหลาดใจ โลกกำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่หนามพายุทมิฬทั้งสองได้วางแผนที่จะทำ?
ในช่วงเวลาพลบค่ำ มีร่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพเบลอ และเสียงของหนามที่สั่นกระทบกันสามารถระบุได้ว่ามาจากป่าอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหนามพายุทมิฬเริ่มออกมา หนามบนร่างกายจะเริ่มสั่นและสร้างเสียงสั่นสะเทือนที่หนาแน่น มันไม่ดัง แต่เนื่องจากความหนาแน่นมันก็ไม่ยากที่จะได้ยิน
ตอนกลางคืน เสียงเหมือนเสียงเรียกของยามะ (ในDSจักรพรรดิปีศาจ) ซึ่งทำให้สัตว์อื่น ๆ หวาดกลัวและถอยห่างออกไป
ได้ยินเสียงนั้น หัวใจของผู้คนก็หนักอึ้ง และหลังของพวกเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
"เราจะถูกปิดกั้นแบบนี้ไม่ได้ เราต้องขับไล่ทั้งสองตัวนี้ออกไป!" เมยกล่าวอย่างหนักแน่น ตอนนี้ยังไม่มืดสนิท และสภาพแวดล้อมยังคงมองเห็น เมื่อมันมืดสนิท สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงสำหรับพวกเขา
ถ้าพวกเขาวิ่งตรงขึ้นไปบนภูเขาโดยไม่ขับไล่สองตัวเหล่านั้นออกไป หนามพายุทมิฬทั้งสองตัวก็จะตามมา แต่ เมยและนักรบคนอื่น ๆ ไม่อาจปล่อยให้พวกมันเข้าไปในถ้ำที่มีเด็กสองคนพักอยู่ข้างใน แม้ว่าหนามพายุทมิฬไม่ได้เป็นพวกคลั่งไคล้สิ่งแวดล้อมบนภูเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่ขึ้นมา
"ไปต่อเลย"
พวกเขาไม่สนใจกวางยักษ์ที่พวกเขาฆ่า และหลังจากหยุดพักสั้นๆ เมยได้สั่งให้สู้กับสัตว์สองตัวนั้นด้วยความพยายามร่วมกันของนักรบทุกคน
...
ฉาวซวนกำลังฝันอีกครั้ง
มันเป็นเวลานาน แต่ เขาก็ตกลงไปในความฝันแบบนั้นอีกครั้ง
ตอนนี้ ไม่มีนกนางแอ่นราตรีหรือเกล็ดหิมะในฝันของเขา มันมืดสนิท แต่เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกราวกับว่ามีความรู้สึกที่เย็นฉ่ำ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังซุ่มอยู่ในความมืด ในขณะเดียวกัน มีเสียงทึบสั่นๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังเขย่า
ฉาวซวนทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนและลืมตา เขาแตะที่หน้าผากพบกับเหงื่อเย็น ๆ
รู้สึกว่ายังมีความรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บนหลังของเขา ฉาวซวนส่ายหัวไม่กี่ครั้งและไปอังกับกองไฟ
พิจารณาจากกองไฟและฟืนภายใน มันต้องเป็นระยะเวลานานนับตั้งแต่แลงกาและคนอื่น ๆจากไป ดังนั้นภายนอกก็ควรจะเกือบค่ำ
ทำไมพวกเขายังไม่กลับมา?
พวกเขาเจอกับอะไร?
มีใครบาดเจ็บบ้างไหม?
ฉาวซวนหายใจเข้า ในขณะที่เขานึกถึงความฝันของเขา และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อบรรเทาความเครียด ความรู้สึกที่หนาวจัดมากขึ้นกว่าเมื่อเขาฝันถึงนกนางแอ่นราตรีเมื่อปีที่แล้ว หัวใจของเขายังคงเต้นอย่างบ้าระห่ำเหมือนอยู่ในขุมนรก หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะความกลัวหรือเหตุผลอื่นใด
มองไปข้าง ๆ ฉาวซวนพบว่าเหมานั่งพิงกำแพงถ้ำเอนหลับสนิท ในความเป็นจริง ฉาวซวนทำเสียงค่อนข้างดังเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ปกตินักรบในระหว่างภารกิจล่าสัตว์จะค่อนข้างระแวดระวัง และพวกเขาจะตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเล็ก ๆ เบา ๆ เหมาเห็นได้ชัดว่าหลับสนิทเพราะเขาไม่ตื่นขึ้นมาเลย อาจเป็นเพราะเนื้อสัตว์ที่กิน เพราะเขาไม่ได้เดินไปรอบ ๆ เหมือนมดบนกระทะร้อน
หลังจากรู้สึกอบอุ่นขึ้นและเส้นประสาทผ่อนคลาย ฉาวซวนเดินตรงไปยังทางเข้าถ้ำหลังเติมฟืนลงไปในกองไฟ
ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าฝันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างนอก
หินยักษ์ปิดกั้นทางเข้าถ้ำ และฉาวซวนไม่สามารถเคลื่อนมันด้วยกำลังของตัวเองได้ นอกจากนี้ ฉาวซวนยังไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ เพราะมีอันตรายมากมายจากภายนอก ปลอดภัยกว่าที่จะมีก้อนหินยักษ์ขวางกั้นพวกเขา
ทางเข้าถ้ำอยู่ห่างประมาณห้าสิบเมตรจากที่ฉาวซวนหลับอยู่ ขณะที่เขาก้าวเข้าไปใกล้ทางเข้าทีละก้าว หัวใจฉาวซวนเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง
ยิ่งใกล้เข้าไปที่ทางเข้ามากขึ้น เขาก็รู้สึกถึงอันตรายมากขึ้นตาม ผมของฉาวซวนชี้ตั้งขึ้น และรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่
ฉาวซวนชะลอฝีเท้าและลมหายใจของเขายังคงแผ่วเบา เพราะเขาพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อหลบซ่อนจากการล่วงรู้ความรู้สึก
เมื่ออยู่ห่างจากปากถ้ำประมาณสิบเมตร ฉาวซวนได้ยินเสียงกระเพื่อมเบา ๆ มันดูเหมือนเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ถ้ามันเป็นแค่สายลมผ่านหูของเขาหละ
กับการเติมฟืนใหม่ ไฟลุกไหม้มากขึ้น เงาของฉาวซวนเริงระบำไปตามปกติ และบางครั้งก็มีเสียงปะทุของฟืนที่ลุกไหม้
แต่ ฉาวซวนรู้สึกไม่อบอุ่น กลับกัน เขายังคงรู้สึกหนาวเหน็บ
ด้วยปากของเขาที่เปิดกว้าง ฉาวซวนสูดลมหายใจเข้าลึกและเงียบเพื่อสงบใจตัวเอง ด้วยความตึงเครียด ฉาวซวนเริ่มกลับไป อย่างรวดเร็ว และเงียบกริบ
เมื่อมาถึงฝั่งของเหมา เขาก็เขย่าเหมาอย่างแรง
แม้ว่าเหมากำลังหลับสนิท เขาก็ยังตื่นตัวพร้อมกับจิตใต้สำนึกของเขา ด้วยแรงผลักเพียงครั้งเดียว เหมาได้เปิดตาของเขาขึ้น และวางท่าทางป้องกันตัวเอง แต่เมื่อเขากลับมารู้สึกตัวและรู้ว่ามันเป็นเพียงฉาวซวน เขาหน้าตาบูดบึ้งในทันที ก่อนที่เขาจะพยายามพูดอะไรก็ตาม ฉาวซวนได้ปิดปากของเขา และเหลือบไปที่ทางเข้าถ้ำในเวลาเดียวกัน
เหมาไม่ได้เป็นคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ หากเป็นเช่นนั้นเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมภารกิจล่าสัตว์ เมื่อเห็นพฤติกรรมของฉาวซวน เขารู้ทันทีว่าต้องมีอะไรผิดปกติที่ทางเข้า
เหมาเปิดปาก ถามอย่างเงียบ ๆ ว่า "เกิดอะไรขึ้น?"
ฉาวซวนไม่มีเวลาอธิบาย เขามองขึ้นไปที่ด้านบน เขาจำได้ว่ามีช่องระบายอากาศซ่อนอยู่ในถ้ำ เขากระโดดขึ้นสูงและด้วยความช่วยเหลือของกำแพง ฉาวซวนขึ้นไปด้านบนและเริ่มค้นหา
กำแพงไม่ราบเรียบ รอยตะปุ่มตะปั่มและรอยกระแทกเหล่านี้ช่วยให้เขาปีนขึ้นไป
มีช่องระบายอากาศอยู่สามช่อง ซึ่งในจำนวนนี้มีช่องระบายอากาศสองช่องที่เล็กเกินไป ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ช่องเดียวถูกก้อนหินขวางกั้น
ฉาวซวนพยายามอย่างหนักที่จะย้ายหินดังกล่าว และชี้บอกเหมาให้เอามันออกไปอย่างเงียบๆ
เหมาเป็นกังวลอย่างมากเพราะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่นอกถ้ำ เมยและคนอื่น ๆ ก็ยังไม่ได้กลับมา และฉาวซวนก็ไม่อธิบายว่ามีอะไรเกิดขึ้น โดยปกติ เขาจะตะโกนออกมาแล้ว แต่ตอนนี้ ...
หลังจากหยิบหินขึ้นมาเหมาวางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงขึ้น เกือบจะในเวลาเดียวกันที่เขาทิ้งหินก้อนนี้ เขาได้ยินเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นโดยหินยักษ์ที่ปิดกั้นทางเข้า มันฟังดูคล้ายกับมีบางสิ่งกรีดลงบนหิน
หน้าของเหมาแข็งค้าง เสียงกรีดหินฟังได้ชัดเจนว่าไม่ได้ทำจากมนุษย์ ...
หินยักษ์กำลังเคลื่อนที่อยู่
สายลมยามค่ำคืนพัดมาจากช่องว่างที่เพิ่งเกิดใหม่
เปลวเพลิงของกองไฟเต้นส่ายรุนแรงมากขึ้นและเหมาได้เห็นเงาของตัวเองที่ส่ายสะบัดบิดเบี้ยวบนผนัง
ตลอดชีวิตของเขา เหมาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการล่าสัตว์มาก่อนกี่ครั้ง หรือเรื่องราวเกี่ยวกับการล่าสัตว์หลายเรื่องที่เขาบอกกับคนอื่น ๆ เขารู้แค่ว่าอันตรายอะไรที่ได้ลิ้มรสเช่นเดียวกับเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้จริงๆ
นอกเหนือจากเด็กสองคนที่ตื่นขึ้นมาใหม่นี้ ไม่มีใครอยู่ข้างใน ไม่มีใครสามารถช่วยพวกเขา ในขณะที่สัตว์ร้ายใกล้ที่จะทำลายก้อนหินพังลง
เมื่อคุณปู่ของเขา หัวหน้าเผ่าบอกเล่าเรื่องราวการล่าสัตว์ ท่านถามเหมาว่า "เหมาเจ้าเคยรู้สึกถึงความสิ้นหวังหรือไม่?"
เหมาไม่เคยมีความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เขาตอบมาก่อน ทั้งหมดที่เขาจำได้ก็คือ เขาไม่ได้เอามันมาคิดอย่างจริงจัง สำหรับเขาที่ค่อนข้างจะไม่เข้าใจมัน
แต่ตอนนี้ เขารู้รสชาติของความรู้สึกนั้นแล้ว