ตอนที่ 41 : พายุทมิฬ
มันเป็นครั้งแรกของฉาวซวนที่เห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ซึ่งถูกเรียกว่าชะมดต้นไม้ มันไม่ได้มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ และในหมู่ขนสัตว์สีเทามีบางเส้นขนที่มีสีน้ำตาลผสม มีขนปุกปุยรอบหัว มีดวงตากลมโตสีดำ ดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเมื่อมันจ้องมองไปที่ผู้คนด้วยสายตาคู่นั้น หูทั้งสองข้างห้อยลงเล็กน้อย มันนั่งบนกิ่งไม้ที่อยู่ในระดับความสูงอย่างน้อยสิบเมตร ขาหน้าทั้งสองโอบรอบลำต้นต้นไม้และใช้สายตาคอยมองลงมายังผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
“อย่ามองไปที่มัน เจ้าตัวเล็กนี้รสชาติไม่ดีที่จะกิน.” แลงกากระซิบกับฉาวซวน ขณะที่พวกเขาพักเหนื่อยระยะสั้น การพูดคุยไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้าม แต่ทุกคนพูดคุยกันในโทนเสียงที่ต่ำ
พูดโดยทั่วๆ ไป คนในเผ่าไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับรสชาติของอาหาร และพวกเขาจะสวาปามอาหารที่น่ารังเกียจเหล่านั้นลงไปตราบใดที่พวกมันสามารถให้พลังงาน เมื่อถูกประเมินว่า“ไม่ดีที่จะกิน” บางทีสิ่งนี้อาจจะไม่เพียงไม่น่ากิน แต่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของคนด้วย
“พวกมันกลัวคนหรือไม่?” ฉาวซวนถาม
“สัตว์ป่ามากมายจะไม่รู้สึกกลัวเมื่อพวกมันเห็นมนุษย์เป็นครั้งแรก กลับตรงกันข้าม พวกมันจะอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น แต่ ถ้าเจ้าแสดงให้เห็นถึงเจตนาต้องการฆ่า มันจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง.” แลงกากล่าว ในขณะที่เขายกคันธนูดินของเขากับลูกศรเล็งไปที่ชะมดต้นไม้บนต้นไม้
หนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ ชะมดต้นไม้ที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายและไร้เดียงสา แต่ตอนนี้มันอ้าปากกว้าง และมองดูค่อนข้างดุร้าย พร้อมกับฟันที่แหลมคม
แลงกาไม่ได้ยิงไปที่ชะมดต้นไม้ แต่ลดอาวุธของเขาลงและไม่สนใจมัน
“เนื้อน้อยและไม่ดีที่จะกิน เสียงของมันยังเป็นที่น่าขนลุก.” แลงกามองไปที่อื่นหลังจากบอกเช่นนั้น และยังคงยุ่งอยู่กับคันธนูดินของเขาว่ามีความเสียหายใด ๆ
เมื่อแลงกาเลิกสนใจ ชะมดต้นไม้ก็กลับสู่สภาพปกติ
มีหนอนที่บินได้มีลำตัวยาวเป็นนิ้วอยู่ใกล้ ๆ ด้วยปีกของมันที่สวยเกินจริง บนผิวหนังของมันมีชั้นของเกล็ดบาง ๆ ซึ่งสะท้อนแสงแดด มันเป็นประกายระยิบระยับสวยงามมาก และมันบินได้อย่างรวดเร็วในอากาศ เพียงหนึ่งวินาทีไปยังอีกจุดหนึ่งและวินาทีต่อมามันก็ไปอีกจุดหนึ่ง ราวกับว่ามันสามารถเคลื่อนไหวไปที่อื่นได้ทันที
ฟิ้ววว!
ชะมดต้นไม้เคลื่อนไหวและเอื้อมอุ้งเท้าของมันออกไปในอากาศ เหมือนมันรู้ว่าสถานที่ที่หนอนบินกำลังมุ่งหน้าไป
ภายในพริบตา หนอนบินถูกจับในอุ้งเท้าของชะมดต้นไม้
ฉาวซวนสังเกตเห็นว่า ชะมดต้นไม้ขยี้ปีกหนอนบินทำลายปีกมัน แล้วจับหนอนไว้ในอุ้งเท้าราวกับว่ามันเป็นของว่าง กัดทีละคำๆ หนอนเข้าไปในท้องของชะมดต้นไม้ และชะมดต้นไม้จ้องมองลงมาที่ฉาวซวนขณะที่มันกิน
เมื่อเหลือเพียงหางของหนอนบินที่เหลืออยู่ ชะมดต้นไม้หยุดกัด หลังจากที่ดูหางที่เหลืออยู่ในอุ้งเท้าของมัน ชะมดต้นไม้มองลงไปที่ฉาวซวนแล้วรีบโยนหางไปทางเขา
รู้สึกซากหนอนบินกำลังบินไปที่ใบหน้าของเขา ฉาวซวนหลบและซากหนอนบินพลาดไม่โดนเขาเพียงครึ่งก้าว
“จิ๊,จิ๊,จิ๊!”
ชะมดต้นไม้เริ่มที่จะดีดดิ้น
ฉาวซวนคิดว่าบางทีการหลบหลีกของเขาก่อนหน้านี้ทำให้ชะมดต้นไม้โกรธ ในขณะที่เขาเห็นไม่ไกล อังค์กำลังเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา จากนั้นฉาวซวนมองไปทางชะมดต้นไม้ แต่เห็นเพียงว่ามันหายไปแล้ว ราวกับว่ากำลังหลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่าง
อังค์รีบวิ่งไปทางทิศที่ชะมดต้นไม้หนีไป และเขารีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างคล่องแคล่วว่องไว บนหลังของเขามีหอกสั้นห้าเล่ม ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวของหอกปกติ ที่จะใช้เป็นหอกพุ่งหลาว
คนอื่น ๆ ในกลุ่มล่าสัตว์ทั้งหมดเงียบลง และพวกเขาควบคุมลมหายใจของพวกเขาให้เบาลง ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ฉาวซวนจะคาดไม่ถึงว่ามีผู้คนจำนวนมากที่อยู่ที่นี่
อังค์ดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง และเขาดึงหอกสั้นออกมาอย่างเงียบๆ ได้อย่างรวดเร็วและเตรียมที่จะโยนมันออกไป แต่ ช่วงเวลาก่อนที่เขาจะขว้างออกไป เขาหยุดและแสดงสัญญาณกับคนอื่น ๆ
เมยคิดเกี่ยวกับมันและโบกมือให้อังค์กลับมา
อังค์ปีนลงจากต้นไม้พร้อมกับอาการเสียใจบนใบหน้าของเขา ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ในกลุ่มล่าสัตว์เริ่มที่จะหลบเข้าซอกหินและรากไม้เพื่อซ่อนตัวเอง เป็นธรรมดาที่ฉาวซวนจะทำเช่นเดียวกัน
ในช่วงเวลาสองลมหายใจ, ฉาวซวนเห็นอะไรบางอย่างเหมือนสุนัขจิ้งจอกกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ มันวิ่งไปตามทางหลังจากดมกลิ่นไปรอบๆ ประมาณสองวินาที
แลงกาบอกฉาวซวนให้รอต่อไป
หลังจากที่สักครู่หนึ่ง ฉาวซวนได้ยินเสียงเกาบางอย่าง มันเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังเดินและถูใบไม้และสีกิ่งไม้
สิ่งมีชีวิตที่สูงถึงเจ็ดเมตรเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ในขอบเขตสายตาของพวกเขา มันมีขนสีน้ำตาล มีแขนขาที่หนา และหางที่แข็งแรงมาก มันดูดุร้าย แต่ตัดสินจากความเชื่องช้าและน้ำหนักตัวของมัน มันดูค่อนข้างขี้เกียจและโง่เขลา
หลังจากดมกลิ่นกับจมูกของมัน มันเดินไปทางต้นไม้บางต้น และลุกขึ้นยืนบนขาหลัง ในขณะที่หางแข็งแกร่งยันพื้นดิน และสร้างรูปแบบคล้ายสามเหลี่ยมพร้อมกับขาทั้งสอง ในขณะที่มันลุกขึ้นยืน ขามันแสดงให้เห็นกรงเล็บอันแหลมคมคล้ายเคียวตะขอยักษ์ กรงเล็บของมันฟันออกไปได้รวดเร็วอย่างมากที่กิ่งไม้ข้างหน้า และตัดกิ่งไม้พร้อมกับใบไม้ เหมือนกำลังเก็บเกี่ยวข้าวสาลี
นี้เป็นสัตว์ที่กินพืช แต่ตัดสินจากปฏิกิริยาของเมย ฉาวซวนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ นึกถึงเรื่องราวการล่าสัตว์ที่เขาเคยได้ยินมาก่อน ฉาวซวนคิดว่าสัตว์ใหญ่ข้างหน้าควรจะเป็นสัตว์ป่ากรงเล็บยักษ์ แม้ว่าเจ้ากรงเล็บยักษ์ที่ดูเหมือนจะตัวใหญ่พอในสายตาของฉาวซวน ในความเป็นจริง นี้เป็นเพียงเจ้ากรงเล็บยักษ์วัยละอ่อน สำหรับเจ้ากรงเล็บยักษ์ที่โตเต็มวัยควรจะมีขนาดใหญ่กว่านี้
นอกจากนี้ มันก็ดูมีลักษณะขี้เกียจและน้ำหนักตัวที่หนัก เมื่อต้องเผชิญกับอันตรายหรือภัยคุกคาม พวกมันสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และกรงเล็บยักษ์ของมันสามารถถอนรากต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย
ในความเป็นจริง เจ้ากรงเล็บยักษ์ยังอยู่ในรายชื่อของกลุ่มล่าสัตว์ แต่เมยไม่ได้สั่งให้นักรบโจมตีมัน
ต้นไม้เหล่านั้นไม่ได้สูงมากพอ และทันทีที่มันกินใบสดเหล่านั้นหมด และคนที่อยู่รอบๆ ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของมัน มันก็ค่อยๆ เดินสี่ขาของมันจากไปยังคงทำตัวเหมือนสัตว์ที่ขี้เกียจสันหลังยาว
เมื่อมันจากไป เมยนำคนอื่น ๆ ปีนขึ้นไปบนภูเขา
ขณะที่พวกเขากำลังเดินขึ้นไปด้านบน แลงกาตรวจสอบกับดักสอง,สามรูปแบบที่เขาติดตั้งไว้เมื่อครั้งก่อน ภายในกับดักมีสัตว์ที่น่าสงสาร เนื่องจากพวกมันติดอยู่ในกับดักเป็นเวลานาน พวกมันยังคงมีชีวิตอยู่ และถูกจับฆ่าจากนักรบทีมล่าสัตว์ในเสี้ยวพริบตา
กับดักเหล่านี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่ ดังนั้นสัตว์ที่จับได้มีขนาดค่อนข้างเล็ก
แลงกาได้แบ่งปันประสบการณ์ของเขากับฉาวซวน ขณะที่เขากำลังติดตั้งกับดักเหล่านั้น
ชี้ไปที่นักรบที่กำลังจัดการกับเหยื่อ แลงกาอธิบายว่า“หลังจากที่เจ้าจับบางอย่างได้เจ้าจะต้องตรวจสอบก่อนเพื่อดูว่ามันยังอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ป่วย ใกล้ตาย ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ที่เราจับได้ก่อนหน้านี้ ดวงตาไม่มีสีและหัวที่ไม่มีขนในกลุ่มขนของมัน ถ้าเจ้าผ่ามันเปิดออก เจ้าจะได้กลิ่นประหลาดๆ จากเนื้อของมัน แม้ว่าเหยื่อจะมีชีวิตอยู่ก็ตาม มันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นักรบคนใดจะร่วมชะตากรรมกับมัน หากเขากินเนื้อของมัน.”
ในอีกด้านหนึ่ง นักรบที่จัดการเหยื่อที่มีอยู่แล้วถลกหนังสัตว์เหล่านั้นทันที และนำเครื่องในต่างๆ ออก สัตว์ถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ และถูกใส่ในถุง ซึ่งนำหญ้าที่มีส่วนประกอบสาระสำคัญบางอย่างป้ายลงไปเพื่อปกปิดกลิ่น
เมยนำทางกลุ่มและเขาเน้นไปที่การนำทีมปีนขึ้นไปบนภูเขา ดังนั้นระหว่างทาง พวกเขาไม่ได้ล่าสัตว์ใหญ่
สภาพภูมิอากาศบนยอดเขาไม่บางเบาเช่นเดียวกับสภาพภูมิอากาศด้านล่าง หิมะส่องแสงเป็นประกายจากดวงอาทิตย์ ในขณะที่ใครๆ ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่อีกฝากหนึ่งของภูเขา
สุดท้าย ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ทีมล่าสัตว์มาถึงฝากหนึ่งของภูเขาและพวกเขามาถึงถ้ำด้านในของภูเขา ซึ่งในความเป็นจริงเป็นฐานที่มั่นของทีมล่าสัตว์ ทีมล่าสัตว์ของพวกเขาจะค้างคืนกันที่นี้
มันย่อมง่ายขึ้นเนื่องจากพวกเขามีที่พักพิงสำหรับคืนนี้
หลังจากเดินทางตลอดทั้งวัน นักรบผ่อนคลายความตึงเครียดของพวกเขา เพราะในที่สุดพวกเขาจะได้พักผ่อนบ้าง
“หมีเคยใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำนี้ ทีมล่าสัตว์ของเราทำให้มันได้พักผ่อนตลอดไปและใช้สถานที่นี้เป็นที่ของเราเอง.” แลงกาอธิบายต้นกำเนิดถ้ำให้ฉาวซวนฟัง
“โอ้ เออใช่! แลงกา, อาเฟยทำผิดพลาดในระหว่างการล่าสัตว์ครั้งล่าสุดได้อย่างไร?”
ไม่กี่นาทีต่อมา แลงกาได้คุยเรื่องการล่าสัตว์อย่างภาคภูมิใจ ตอนนี้เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไป เขาเดินเข้าไปใกล้ฉาวซวนและบ่นเสียงต่ำ“เฮ้, เจ้าควรที่จะเป็นผู้ตัดสิน อาเฟยได้สร้างปัญหากับทุกสิ่งที่อยู่ในป่า แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหนามพายุทมิฬ !”
พายุทมิฬไม่ได้หมายถึงชนิดของสัตว์ แต่เป็นคำทั่วไปที่คนในชนเผ่าใช้ในการเรียกหาเหยื่อสัตว์ที่ชอบออกล่าในเวลากลางคืน ดังนั้นโดยปกติพวกเขาจะเรียกพวกมันว่า“บางสิ่งที่เป็นพายุทมิฬ” ในขณะที่หนามพายุทมิฬเป็นเพียงชนิดหนึ่งของพวกมัน
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิเริ่มลดลง และนักรบจะใช้หินยักษ์ปิดกั้นทางเข้าถ้ำ แต่ สายลมหนาวยังคงหลั่งไหลเข้ามาทางขอบผนังถ้ำ ภายในถ้ำมีกองไฟ และมีคนจำนวนมากรวมตัวกัน มันก็ไม่หนาวเกินไป ถ้าเขามองไปที่ท้องฟ้าข้างนอก ฉาวซวนรู้ว่าเขาสามารถมองเห็นจันทร์เสี้ยวสองดวงแขวนเด่นอยู่บนท้องฟ้า
แลงกาและคนอื่น ๆ บอกว่าสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้จะดี
ในขณะที่อยู่นอกถ้ำ ภายในป่าเงียบสงบในช่วงเวลากลางคืน สัตว์ออกหากินเวลากลางคืนเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาริมแอ่งน้ำ ซึ่งดูเหมือนจะสงบเมื่อเห็นได้จากภายนอก
ทะเลสาบขนาดกลางที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขา เกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำ ร่างกายขนาดยักษ์โผล่ออกมาเงียบ ๆ จากในน้ำ และคลานตรงไปที่ริมชายฝั่ง บรรดาสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืนที่กินน้ำเงียบๆ รีบหนีไปเพื่อความปลอดภัย
แทนที่จะวิ่งไล่ตามเหยื่อตัวเล็ก ๆ เหล่านั้น สัตว์ยักษ์ยังคงยืนอยู่ริมทะเลสาบและรอคอยอย่างอดทนเพื่อให้น้ำหยดออกจากขนของมันและผึ่งลมให้แห้ง มันเริ่มเคลื่อนไหวจนกว่าแสงจันทร์ไม่สะท้อนแสงที่ขนของมันและร่างยักษ์ก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว