เทพกระบี่มรณะ - 275
เทพกระบี่มรณะ - 275
ตอนที่ 275: ซุ่มโจมตียามดึก
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินยิ้มแย้ม เขาไม่คิดว่าเขาและนายน้อยของตระกูลเทียนฉินจะกลายเป็นสหายกันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามจากนิสัยที่ตรงไปตรงมของฉินเซียวทำให้เขาประทับใจอย่างมาก ด้วยความสุภาพเจี้ยนเฉินหยิบจอกสุราและจิบเพียงนิดเดียว
"น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าแข็งแกร่งมาก ในอนาคตเมื่อเจ้ามีเวลา เราจะต้องมาแลกเปลี่ยนวิชากัน ตอนนี้หัวหน้าผู้คุ้มกันเป็นคนเดียวที่สามารถสู้กับข้าได้ มีหลายคนที่ไม่เต็มใจที่จะสู้กับข้าและข้าเองก็ไม่กล้าที่จะไปหาเซียนปฐพีมาต่อสู้ด้วย เพราะข้าอาจจะพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ " ฉินเซียวอธิบายขณะที่เขาดื่มสุราจากจอกของเขา
"แน่นอน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้กับพี่ฉินเซียวแน่นอน" เจี้ยนเฉินหัวเราะ ในขณะที่ฉินเซียวดุร้ายมากขณะต่อสู้ แต่ตอนนี้เขาเป็นสหายที่ดีมากอย่างน่าพอใจ เป็นเพราะนิสัยของเขาที่ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าคนที่หน้าซื่อใจคด
"น้องเจี้ยนเฉิน ข้าเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ใช่คนแถวนี้ เจ้าทั้งสองมาจากที่ไหน ? " ฉินเซียวด้วยความอยากรู้
เจี้ยนเฉินลังเลก่อนที่จะตอบว่า "พูดตามตรงเรามาจาะอาณาจักรที่ห่างไกลเพื่อเข้าร่วมชุมนุมของทหารรับจ้าง เราทั้งคู่เดินทางมาไกลและเดินทางข้ามมาหลายราชอาณาจักร วันนี้พวกเราพึ่งจะมาถึงเมืองหว่าลู่เหริ่นเพื่อพัก พวกเราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉินเซียวก็หยุดสักครู่ก่อนที่จะตบโต๊ะพร้อมกับรอยยิ้ม "นี่เป็นเรื่องบังเอิญมาก ข้าไม่คิดว่าน้องเจี้ยนเฉินจะอยากไปเมืองทหารรับจ้างเพื่อร่วมชุมนุมทหารรับจ้าง ฮ่าฮ่า พวกเราก็กำลังจะไปยังจุดหมายเดียวกัน"
"อ๊ะ พี่ฉินเซียวก็จะไปร่วมชุมนุมทหารรับจ้างเช่นกันหรือ ? " เจี้ยนเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
"แน่นอน รางวัลของการชุมนุมทหารรับจ้างนั้นค่อนข้างเยอะ ไม่มีใครจากกลุ่มไหนในทวีปไม่ถูกล่อลวงโดยพวกเขา ตระกูลเทียนฉินของเรานั้นก็ไม่แตกต่างกัน การชุมนุมทหารรับจ้างเรากำลังนำสมาชิกสองสามคนเข้าร่วมต่อสู้กับข้า" ฉินเซียวพูดอย่างตื่นเต้น
"น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าและข้าเป็นสหายกันแล้ว ดังนั้นเจ้าควรจะอยู่ในตระกูลเทียนฉินก่อน อีกสองเดือน เราค่อยเดินทางไปที่เมืองทหารรับจ้าง"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของเจี้ยนเฉินก็ขมวดเล็กน้อยและพูดว่า"ฉินเซียว มีเวลาไม่ถึงครึ่งปีก็จะถึงเวลาที่ชุมนุมของทหารรับจ้าง หากมันไกลออกไปแค่ไม่กี่พันกิโลเมตร เราจะใช้เวลาสองเดือนในเมืองหว่าลู่เหรินได้ แต่เราไม่มีเวลามากพอที่จะไปถึงที่นั่น"
ฉินเซียวหัวเราะ "ดูเหมือนว่าน้องเจี้ยนเฉินจะไม่เคยได้ยินเรื่องประตูมิติมาก่อน"
"ประตูมิติ ? " เจี้ยนเฉินสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยายามคิดว่าประตูมิติคืออะไร จากนั้นใบหน้าของเขาก็ยิ้มแย้มขึ้นและเขาพูดว่า "ฉินเซียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลเทียนฉินของเจ้ามีประตูมิติ ? "
ประตูมิติเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินได้เคยพูดถึงในตอนที่อยู่ในหอหนังสือของตระกูลเซียงหยางและสำนักคากัต มีข่าวลือว่าประตูมิติเป็นประตูลึกลับที่สร้างขึ้นมาจากวัตถุมิติที่หาได้ยากในทวีป ประตูมิติเป็นสิ่งที่เซียนระดับราชาเท่านั้นที่สร้างขึ้นมาได้และมีเพียง 7 เมืองหลวงเท่านั้นที่มีประตูมิติ
มีข่าวลือว่าประตูมิติสามารถทำให้คนเดินทางได้ไกลหลายพันกิโลเมตรหลังจากข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ลึกลับมากที่สุดในโลกและมันก็เป็นประตูที่เอาไว้ใช้เดินทางในระยะทางไกล
คำพูดของเจี้ยนเฉินทำให้ฉินเซียวหัวเราะอย่างขมขื่น "น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าคิดว่าตระกูลเทียนฉินนั้นสูงส่งเกินไปแล้ว สิ่งลึกลับเหล่านี้จะถูกตระกูลฉินควบคุมได้อย่างไร แม้กระทั่งอาณาจักรเซียงหยาของเราก็ไม่อาจควบคุมประตูมิติได้ ! อย่างไรก็ตามหนึ่งในอาณาจักในพันธมิตรของเราอยู่ในการควบคุมของตระกูลเทียนฉินของเรา เราจึงวางแผนที่จะใช้มันไปยังเมืองทหารรับจ้าง"
"อ๊ะ เป็นอย่างนั้นเอง ! " เจี้ยนเฉินพูดอย่างยินดี เขารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รู้เกี่ยวกับประตูมิติ เพียงแค่มีมันเขาก็สามารถไปถึงเมืองทหารรับจ้างได้อย่างไม่มีปัญหา ตอนนี้เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะดีใจเป็นอย่างมาก แต่มันก็เป็นการดีใจอย่างลับ ๆ ที่เขาตัดสินใจที่จะมาเมืองหว่าลู่เหริ่น ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจใช้ประตูมิติในการแก้ปัญหาของเขาได้
แม้ว่าตามบันทึกของทวีปเทียนหยวนจะบอกว่ามีเพียงเจ็ดเมืองหลวงเท่านั้นที่มีประตูมิติ แต่มันก็เป็นเพียงผิวเผิน มีประตูมิติลับมากมายที่ซ่อนอยู่ในทวีปโดยที่ไม่มีใครระบุตำแหน่งมันได้อย่างแม่นยำ
ภายในห้องหนังสือของตระกูลเทียนฉิน
"อะไรนะ ! ? เซียวเอ๋อร์พาคนนอกเข้ามาในตระกูลเทียนฉินของเราเช่นนั้นรึ ? น่ารำคาญจริง ๆ ! ตระกูลเทียนฉินของเราไม่ใช่ที่ซึ่งใครก็เข้ามาได้" ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวอย่างหรูหราพูดออกมาด้วยความโกรธขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ชายคนนี้อายุมากกว่า 40 ปีพร้อมกับกลิ่นอายที่เป็นอาวุโส คำพูดและน้ำเสียงของเขานั้นจริงจังขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประกาย
อีกด้านของชายกลางคน มีคนยืนอยู่ในชุดคลุมขาว ใบหน้าของนางก็ถูกผ้าปิดเอาไว้ นางคือคุณหนูรองจากตระกูลเทียนฉิน
"ท่านพ่อ พี่ชายมีนิสัยตรงไปตรงมา แค่คราวนี้คนที่เขาพามาไม่ใช่คนที่เรียบง่าย ในขณะที่คนผู้นี้ยังเด็กแต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นสูงมาก แม้กระทั่งท่านพี่ก็ยังไม่อาจสู้กับเขาได้และข้าก็ยังตกตะลึง พี่ชายก็ประกาศออกมาว่าเขาเป็นฝ่ายแพ้และพูดอย่างเคารพ จากสายตาของข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพี่ชายเป็นอย่างนี้" คุณหนูรองพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนซึ่งทำให้หลาย ๆ คนยอมโอนอ อน ผู้คนที่ได้ยินเสียงของนางต่างก็พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นรัว
"อ่า มันเป็นอย่างนั้นหรือ ? ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปพบคนผู้นี้เพื่อให้มั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ดีพอที่จะให้เซียวเอ๋อร์คบหา" ชายวัยกลางคนบ่มพึมพำ ความโกรธก่อนหน้านี้ของเขาหายไปทั้งหมดอย่างกะทันหัน
ขณะที่อยู่ในที่พักของฉินเซียว เจี้ยนเฉิน, หมิงตงและฉินเซียวทั้งหมดกำลังหัวเราะกันและพูดคุยพลางกินและดื่ม ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาของฉินเซียว มิตรภาพของพวกเขาก็ยิ่งแน่นแฟ้นเข้าไปอีก
"เซียวเอ๋อร์ มักจะอยู่เงียบ ๆ ทุกวัน เกิดอะไรขึ้นเจ้าถึงได้เสียงดังขนาดนี้" มีเสียงที่ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเขา
เมื่อถึงตอนนี้ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวหรูหราก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบาย ๆ
"ท่านพ่อ ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่ ? " ฉินเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ
สายตาของชาววัยกลางคนสังเกตมองทั้งหมิงตงและเจี้ยนเฉินสักครู่ก่อนที่จะหัวเราะ "ข้าไม่ได้มาหาเจ้าพักหนึ่งแล้ว พ่อจึงคิดที่จะมาหาเจ้าวันนี้" จากนั้นก็ดูอีกสองคนและเขาก็พูดว่า "เซียวเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่แนะนำสองคนนี้ให้ข้ารู้จักกับบิดาของเจ้า"
"ท่านพ่อ ให้ข้าแนะนำสหายของข้า ผู้นี้คือเจี้ยนเฉินและอีกคนคือหมิงตง" ฉินเซียวหัวเราะและชี้ไปที่ทั้งสองพลางแนะนำ
เจี้ยนเฉินและหมิงตงก็ป้องมือให้กับชายกลางคนพลางกล่าวว่า "ข้าเจี้ยนเฉิน ขอคารวะท่านผู้นำ ! "
"ข้าหมิงตงขอคารวะท่านผู้นำ ! "
ชายกลางคนมองหมิงตงก่อนสักครู่ก่อนที่จะหันไปมองเจี้ยนเฉินเพื่อเปรียบเทียบกัน ด้วยท่าทีประหลาดใจสั้น ๆ เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ไม่เลว ดูเหมือนเจ้าจะเป็นคนที่มีความสามารถ พวกเจ้าทั้งสองมาจากที่ไหนหรือ ? "
ไม่ต้องรอให้เจี้ยนเฉินต้องเอ่ยสิ่งใด ฉินเซียวก็ตอบแทนว่า "ท่านพ่อ เจี้ยนเฉินไม่ได้มาจากอาณาจักรซูหยา พวกเขามาจากอาณาจักรที่ห่างไกล พวกเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมชุมนุมทหารรับจ้าง บังเอิญพบข้าระหว่างทางขณะที่มาถึงเมืองหว่าลู่เหริ่น"
"อ๊ะ ข้ารู้ ฮ่าฮ่า น้องเจี้ยนเฉินมาไกลขนาดนี้ ข้าได้เห็นแล้วว่าเจ้ากลายเป็นสหายของเซียวเอ๋อร์ได้เร็วขนาดนี้ มันเป็นการพบกันด้วยโชคชะตา ฉินเซียว พ่อของเจ้ามีเรื่องต้องทำ ดูแลแขกของเจ้าให้ดีขณะที่ข้าไม่อยู่" ชายคนนั้นพูดอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าเขาเป็นบิดาที่เห็นอกเห็นใจและไม่ได้มีกลิ่นอายของผู้นำ
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เดินออกไปและปล่อยให้ทั้งสามอยู่กันตามลำพัง
หลังจากนั้นเนื่องจากเรื่องของประตูมิติ เจี้ยนเฉินและหมิงตงจึงรับคำเชิญของฉินเซียวให้อยู่ที่นี่กันทั้งคู่ในตระกูลเทียนฉิน เพราะประตูมิติพวกเขาจึงสามารถมาถึงเมืองทหารรับจ้างได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล
ตกดึก เจี้ยนเฉินและหมิงตง อยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ด้วยกัน ซึ่งมันค่อนข้างโดดเดี่ยวที่ซึ่งแม้กระทั่งยามตรวจการก็ไม่ค่อยเดินมา
ต่อมากลางดึก เจี้ยนเฉินได้ถือแกนอสูรไว้ในมือทั้งสอง เขายังคงบ่มเพาะอยู่บนเตียงของเขา เพื่อเพิ่มความสำเร็จให้กับกลุ่มของทหารรับจ้าง เจี้ยนเฉินต้องบ่มเพาะความแข็งแกร่งของเขาต่อไป เป้าหมายของเขาคือการเข้าสู่สามอันดับแรกและได้รับทักษะการต่อสู้ระดับสวรรค์
ทันใดนั้นเอง เจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นประกายแสง 2 ดวงในความมืด เขาถือกระบี่วายุโปรยไว้ในมือของเขาและกระโดดขึ้นไปทันทีพร้อมกับใช้กระบี่วายุโปรยแทงทะลุหลังคาทันที
"โครม ! "
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ กระเบื้องหลังคาก็หลุดออกจากกันทันที ร่างเงาก็หล่นลงมาจากหลังคาพร้อมกับเสียงซี๊ดปากเมื่อถูกกระบี่ของเจี้ยนเฉิน ความตกใจจำนวนมากถูกส่งออกมาตามแขนของเจี้ยนเฉิน ทำให้มือของเขาเจ็บปวดจนเหมือนกับผิวหนังจะปริแตก
เจี้ยนเฉินตกใจกับความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ เพียงการปะทะครั้งเดียวเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างช่วยไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ผู้ที่ลอบโจมตีคนนี้ก็อยู่ไม่ต่ำกว่าเซียนปฐพีวัฏจักรที่ 3
เจี้ยนเฉินลอยไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเงามืดนั้นเป็นใคร "เจ้าเป็นใคร ! ? " เขาตะโกนออกมา
อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบและใช้เหล็กสีดำฟาดฟันใส่เจี้ยนเฉินแทน
หลังจากที่เจี้ยนเฉินพูด กระบี่วายุโปรยในมือของเขาก็เริ่มส่องแสงม่วง-ฟ้าราง ๆ ภายในคืนเดือนมืดนี้มองเห็นสีเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ช่วงเวลาต่อมาก่อนที่กระบี่วายุโปรยจะปะทะกับเหล็กสีดำ
"ติ้ง ! " อาวุธทั้งสองปะทะกันอีกครั้งทำให้เจี้ยนเฉินโซเซไปด้านหลัง ผู้บุกรุกของเขาแข็งแกร่งมากจนเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในวัฏจักรที่ 4 หรือ 5 ของเซียนปฐพีแทนที่จะเป็นวัฏจักรที่ 3 นี่ไม่ใช่ผู้ที่เจี้ยนเฉินจะต่อกรได้
ด้วยทุกอย่างที่มี ปราณกระบี่สีม่วง-ฟ้าก็ยังคงพอที่รับมือแก้ขัดกับกระบองเหล็กได้
ทันใดนั้นร่างลึกลับก็รู้สึกเกร็งเมื่อมองไปที่อาวุธของเขา ก่อนที่เขาจะพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่า "นั่นมัน...เป็นไปไม่ได้ ! " น้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสยดสยองมาก ก่อนที่เขาจะหันหลังและจากไปท่ามกลางความมืด
เจี้ยนเฉินมองไปยังรูที่อยู่บนหลังคาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่ดวงตาของเขาส่องประกายอย่างช้า ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มที่จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ