เทพกระบี่มรณะ - 237
เทพกระบี่มรณะ - 237
ตอนที่ 237: สัตว์อสูรรุกราน
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่น่าอนาจของทูตทั้งสองที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตร เจี้ยนเฉินรู้สึกได้ถึงความโกรธที่เป็นอารมณ์สุดท้ายที่เขาแผ่ออกมา แม้ว่าทูตนั้นจะกดดันเขารุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ แถมร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ และมันยังเป็นการโจมตีที่เหนือกว่าเซียนปฐพีอีกด้วย มันก็เพียงพอที่จะอธิบายด้วยตัวเองว่าตัวเขากำลังถูกหยาม
เจี้ยนเฉินยังคงกวาดสายตาของเขาต่อไปเพื่อดูสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เขาที่ถูกปราณกระบี่ของเขาทำลาย เขาแอบตกตะลึงอยู่ในใจ จิตวิญญาณกระบี่ม่วง-ฟ้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก เพียงแค่ปราณกระบี่ของมันที่เขาปล่อยออกมาจากร่างกายเพียงนิดหน่อยก็ทำให้เขาสั่นสะท้านได้แล้ว พลังของปราณกระบี่นั้นทรงพลังมาก เพียงแค่ปราณกระบี่ของมันเพียงหน่อยเดียว มันก็ยังสามารถส่งผลกระทบต่อเซียนปฐพีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หากพลังเพียงเล็กน้อยของจิตวิญญาณกระบี่ม่วง-ฟ้ายังรุนแรงขนาดนี้ ถ้าหากว่าปล่อยมันออกไปมากกว่านี้ได้ เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่ามันจะมีพลังมากมายแค่ไหนหากใช้พลังเหล่านั้นทั้งหมดในทีเดียว
"นี่...นี่คือเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ? จะ-จะ...น่ากลัวไปแล้ว..." หยุนหลีสถบออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ทูตอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็เหมือนกันด้วยเสื้อผ้าของเขาที่ขาดวิ่นไปทั่วทั้งร่างของเขาและยังมีบาดแผลเล็ก ๆ ที่มีเลือดซึมไปทั่ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีเลือดออกมาก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาได้รับบาดเจ็บ
ผู้คนในสายตาของเจี้ยนเฉินนั้นต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อพลังของเขาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเขามองไปที่ทั้งสามคน เขาก็อดไม่ได้ที่จะยินดีไปกับความเจ็บปวดของพวกเขา สุดท้ายเขาก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า "ท่านหยุนหลี ทูตอาวุโส พวกท่านสบายดีหรือไม่ ? " หลังจากพูดแล้วเจี้ยนเฉินก็เดินเข้าไปหาพวกเขาอีกก้าว
"น้องเจี้ยนเฉิน...อย่าเข้ามาใกล้ ! " เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินกำลังก้าวเข้ามา หยุนหลีก็อดที่จะร้องบอกให้หยุดเดินออกมาไม่ได้ ด้วยความที่เขากำลังตกใจเขาจึงพูดเสียงดังขณะที่เขาเดินถอยหลังตามก้าวที่เจี้ยนเฉินก้าวเข้ามา ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ทำให้หยุนหลีหวาดกลัวอย่างมาก ความกล้าหาญของเขาหดหายไปต่อหน้าปราณกระบี่ที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้ หากว่าเขาตอบสนองช้ากว่านี้อีกนิด มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
ทูตทั้งสองก็ถอยหลังออกไปไม่กี่ก้าวเมื่อเขาเห็นเจี้ยนเฉินเดินพร้อมกับมองอย่างหวาดกลัว ในขณะนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างมากกว่าหยุนหลี ทั้งคู่รู้ดีว่าพลังเซียนที่พวกเขาภาคภูมิใจก็ยังไม่อาจป้องกันตัวของพวกเขาจากพลังเหล่านี้
เมื่อเห็นว่าเซียนปฐพีทั้งสองยังระแวดระวังจากพลังของจิตวิญญาณกระบี่ม่วง-ฟ้า เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจ "ท่านหยุนหลีและทูตอาวุโสทั้งสอง โปรดให้อภัยกับผู้น้อยที่ไม่อาจควบคุมพลังที่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และมันจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป"
เมื่อมองไปที่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ทูตทั้งสองก็ไม่อาจทำอะไรได้พวกเขายังคงมีใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวอยู่บนใบหน้าของพวกเขา "พลังนี้คือพลังอะไรกัน ? "
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ "ทูตทั้งสองโปรยกโทษให้ข้าด้วย มีบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ อย่างไรก็ตามการระเบิดของพลังนี้จะไม่เกิดขึ้นหากว่าข้ายังควบคุมมันไว้อยู่ หากข้าทำผิดไป ข้าก็ขอให้ผู้อาวุโสยกโทษให้ด้วย"
"ไอ๊หยา ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรเลย หากว่าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เราก็ไม่อาจควบคุมมันได้เหมือนกัน หากว่าข้าไม่พยายามทดสอบเจ้าด้วยปราณของข้า พลังของเจ้าก็จะไม่ระเบิดออกมา" ทูตซึ่งใบหน้าอ่อนโยนตอบกลับมาทันที หลังจากที่เขามาที่เมืองเวค เขาได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของเจี้ยนเฉินอย่างมาก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ชื่อเจี้ยนเฉินนี้เป็นใครและเป็นคนอย่างไร พวกเขาจึงต้องทดสอบความแข็งแกร่งของเขา เพียงเพื่อจะดูว่ามันจะน่าทึ่งเหมือนกับที่เจ้าเมืองหยุนหลีบอกกับเขาหรือไม่ ? อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คาดว่าหลังจากได้ทดลอง เขาจะพ่ายแพ้อย่างหนักรวมทั้งเสียหน้าอีกด้วย
จากนั้นทูตที่ใบหน้าเย็นชาก็ตอบอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า "นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทูตคนแรกก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างอาย ๆ ว่า "เจี้ยนเฉิน เราได้ทำให้เจ้าไม่พอใจ หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บมันมาใส่ใ "
เจี้ยนเฉินรีบตอบกลับว่า "จะเป็นไปได้อย่างไร คำเหล่านี้ข้าควรจะพูดมากกว่า ข้าหวังว่าท่านอาวุโสจะไม่เอาผิดข้า"
"ทูตอาวุโส น้องเจี้ยนเฉิน เพราะว่าเหตุการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เราสถานที่ไม่พร้อม เราจะเปลี่ยนที่คุยกันหน่อยดีหรือไม่ ? " หยุนหลีพูดขึ้นมาทันที แม้ว่าร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเนื่องจากมันเป็นแผลตื้น ๆ เมื่อเห็นว่าทูตทั้งสองและเจี้ยนเฉินต่างแย่งกันรับผิด หยุนหลีก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินตามหยุนหลีไปยังเรือนรับรองที่หรูหรากว่าเดิม ระหว่างทางไปก็มีทหารอารักขามองดูสภาพที่ย่ำแย่ของหยุนหลีและทูตทั้งสอง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรสักอย่าง
ไม่นานทั้งสี่ก็มาถึงเรือนรับรองที่เงียบสงบและพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกัน ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็รู้ชื่อของทูตทั้งสองและเข้าใจนิสัยพื้นเพของพวกเขาขึ้นอีกเล็กน้อย
ทูตทั้งสองเป็นพี่น้องจากพ่อแม่เดียวกัน แต่ตัวตนของพวกเขาเป็นตรงข้ามกัน คนที่ดูใจดีคือพี่ชายชื่อ คาตาต้า เขาเป็นคนที่ดูมีอัธยาศัยดีและมีแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ทำให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกดีไปด้วย
อีกคนเป็นน้องชายชื่อ คาตาเฟย เมื่อเทียบกับพี่ชายของเขา เขาค่อนข้างเงียบขรึมและไม่พูด ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่อาจเข้าใกล้ได้ง่าย ๆ
หลังจากพูดคุย คาตาต้าพยายามค้นหาตัวตนของเจี้ยนเฉินอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนก็มักจะได้รับคำตอบที่คลุมเครือจากเจี้ยนเฉิน แม้แต่คาตาต้าก็ตระหนักได้ในภายหลังว่าเจี้ยนเฉินไม่เต็มใจที่จะบอกความเป็นมาดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงหยุดถามคำถามเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการยั่วยุและความโกรธเกรี้ยวของเจี้ยนเฉิน หลังจากเหตุการในสวนแล้วคาตาต้าก็ไม่กล้าที่จะสบประมาทของเจี้ยนเฉินอีกเลย
ในขณะนี้เต้าหลีก็กลับมาพร้อมกับท่าทางที่จริงจัง หลังจากทักทายทูตทั้งสองแล้วเขาก็หัวไปหาหยุนหลีทันที "ใต้เท้า ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่าสัตว์อสูรกลุ่มแรกได้ออกจากป่ามายังเมืองเวคแล้ว"
ทันใดนั้น ุกคนก็หยุดพูด หยุนหลีจ้องกลับมาล้ำลึกและถาม "มีจำนวนเท่าไร?!"
"เยอะเกินกว่าจะนับได้ ! " เต้าหลีตอบอย่างจริงจัง
"มีร่องรอยของสัตว์อสูรระดับ 5 หรือไม่ ? "คาตาต้าถาม
"ตามรายงานพวกเขาบอกว่ามันยากเกินกว่าหน่วยสอดแนมของเขาจะเข้าไปในเทือกเขาสัตว์อสูรได้ พวกเขาทำได้เพียงอยู่รอบนอก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจหาร่องรอยใด ๆ ได้เลย" เต้าหลีป้องมือพร้อมกับคำนับขอโทษ
"เต้าหลี เตรียมการป้องกันเมืองทันที ! ถอนกำลังสอดแนมและปิดประตูทันที อย่าให้ใครออกไปได้ ! " หยุนหลีคำรามออกมาราวกับฟ้าร้อง ขณะที่เขาเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาก่อนที่จะวิ่งออกจากห้องไป