เทพกระบี่มรณะ - 218
เทพกระบี่มรณะ - 218
ตอนที่ 218: เจ้าเมือง
โจวบูตงมองด้วยสายตาที่เหลือเชื่อมากไปที่กระบี่วายุโปรยที่ชุ่มเลือดซึ่งแทงทะลุคอของเขา เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ที่ชายหนุ่มอายุ 20 ปีจะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ในตอนนี้ โจวบูตงไม่สามารถเชื่อได้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นแข็งแกร่ง เขาคิดว่าเขาอยู่ในความฝัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะรับได้ ก่อนหน้านี้ เขาเป็นหัวหน้าตระกูลโจวที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของฝูงสัตว์อสูรกับผู้บัญชาการป้องกันเมืองเวคอยู่เลย แต่ในตอนนี้เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 2 เค่อ ตระกูลโจวของเขาก็ถูกทำลายไป
โจวบูตงถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่ปรารถนาก่อนที่จะหลับตาและปล่อยให้ร่างชราของเขาหล่นไปบนพื้นอย่างช้า ๆ
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่โจวบูตงที่ตกลงบนพื้นอย่างไร้อารมณ์ ต้องขอบคุณความทรงจำจากชาติที่แล้วของเขา ความแน่วแน่ของเขานั้นค่อนข้างสงบ แม้ว่าเขาจะสังหารคนไปหลายคน แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเขา
กระบี่วายุโปรยถูกดึงออกมาอย่างช้า ๆ จากคอของโจวบูตง ในขณะที่เจี้ยนเฉินหันไปมองโจวหยุน อย่างไรก็ตาม หน้าของเขาก็มืดมนในขณะที่เขามองไปที่ร่างที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นของลาน แต่เขาก็ไม่เห็นโจวหยุน
ตาของเจี้ยนเฉินหรี่เล็กลง "ถ้าเช่นนั้นเขาก็หนีไปแล้วซินะ"
ในขณะที่เขาพูด เจี้ยนเฉินก็มองไปที่ศพบนพื้นก่อนจะมองไปที่เข็มขัดมิติที่อยู่ที่เอวของโจวบูตง เจี้ยนเฉินก้าวไปด้านหน้าสองก้าวก่อนที่คว้าเอาเข็มขัดมิตินั้นมา
โจวบูตงเป็นหัวหน้าของตระกูล ของที่เขาครอบครองน่าจะต้องเป็นของที่แพงแน่
"เอ๊ะ ? " ที่หางตาของเจี้ยนเฉิน เขาสังเกตเห็นด้ายที่อยู่ที่คอของโจวบูตง มันซ่อนอยู่ใต้เสื้อและเลือดของโจวบูตง เจี้ยนเฉินเจอเข้ากับความลับที่ศพกำลังซ่อนเอาไว้ในที่สุด
สายด้ายลับนี้เกือบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มันถูกเห็นเพราะเลือดย้อมมันจนกลายเป็นสีแดง
เจี้ยนเฉินเอาเสื้อออกจากคอที่ชุ่มเลือดของโจวบูตง ซึ่งทำให้เขาเห็นเส้นด้ายที่นำไปสู่ส่วนท้องของโจวบูตง
ในตอนที่เจี้ยนเฉินพอกับแหวนมิติเข้า ตาของเขาก็เป็นประกายในขณะที่เขาร้องออกมาอย่างอย่างประหลาดใจ "นี่มันแหวนมิติ ! " เสียงของเขาดูมีความพอใจมาก
แหวนมิตินี้ถูกซ่อนไว้โดยโจวบูตงเอง เมื่อมันเป็นความลับแบบนั้น มันจะต้องมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ในนั้นแน่
เจี้ยนเฉินดึงเอาแหวนมิติที่ซ่อนไว้ออกมาจากคอของโจวบูตง เขายินดีมาก แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ดูด้านในว่ามีของอะไร แต่เขาก็เก็บมันเข้าไปในแหวนมิติของเขา เขาไม่มีเวลาที่จะดูมันในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงวิ่งออกไปจากลานทันที
ในตอนที่เจี้ยนเฉินออกจากลานไป เขาก็ได้ยินเสียงของคนบางคนที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่ลาน
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่มองไปที่ลานของตระกูลโจว สายตาที่จดจ่อของพวกเขาจ้องไปที่ภาพที่น่ากลัวด้านหน้า เหมือนว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ตระกูลโจวถูกทำลายไปในทันที
"หลีกทางไป หลีกทางไป ! ทุกคนหลีกทางไป..."
ในตอนนี้เอง เสียงดังมากก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของกลุ่ม กลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่ใกล้ ๆ ลานของตระกูลโจวก็เห็นกลุ่มชายในชุดเกราะหนักพร้อมด้วยอาวุธที่กำลังวิ่งเข้ามาทางพวกเขา
"เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่านั่นเป็นท่านเจ้าเมืองของเมืองเวคหรือ ? ข้าไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่เช่นกัน"
กลุ่มชายชุดเกราะหนักเดินมาทางกลุ่มคน ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีดำยืนอยู่ ตาของเขาเป็นประกายอย่างตั้งใจที่เฉียบคมเหมือนดาบของเขา จากมุมมองของคนปกติ ผิวของชายคนนี้เป็นสีทองแดงและเมื่อรวมกันรูปร่างของเขาแล้ว ชายคนนู้มีท่าทางค่อนข้างคุกคาม
นี่เป็นเจ้าเมืองของเมืองเวค หยุนหลี
ภายใต้การคุ้มกันของยามรักษาการของเมือง เจ้าเมืองเวคก็เดินมาที่ลานของตระกูลโจว เขาก้าวผ่านประตูไป และเห็นเพียงศพเกลื่อนกลาดเท่านั้น
หยุนหลีเดินต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่จะหยุดและมองไปที่ศพด้วยท่าทางหนักใจ ในที่สุด สายตาของเขาก็หยุดไปที่ร่างของโจวบูตงก่อนที่ใบหน้าของเขาจะแข็งเหมือนหิน
"เห้อ ! " หยุนหลีร้องออกมาในขณะที่เขาหลับตาลงด้วยความเสียใจ
คนที่ยืนอยู่ถัดจากเขาเป็นผู้บัญชาการป้องกันเมืองเวค เต้าหลี เขาถอนหายใจและเชื่อไม่ลงในสิ่งที่เขากำลังเห็น ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียใจ "ท่านเจ้าเมือง พวกเรามาสายไป"
หลังจากนั้น หยุนหลีก็ลืมตาในขณะที่เขาจ้องไปที่ร่างหลายร่างที่เกลื่อนกลาดไปบนพื้น เขาข่มความเสียใจในใจไปในที่สุด จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกคนนั้นมีแผลที่คอ มันมีบาดแผลเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และโจวบูตงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
"เต้าหลี คนที่มาที่นี่เพื่อที่จะล้างเค้นตระกูลโจวเป็นชายหนุ่มที่อายุ 20 ปี เช่นนั้นหรือ ? " หยุนหลีจ้องไปที่ผู้บัญชาการเต้าหลีด้วยใบหน้าที่เย็นชา
"ขอรับ นายท่าน จากลักษณะของเขา อายุของเขาน่าจะประมาณ 20 ปี และมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์มาก" เต้าหลีพูดออกมา
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยุนหลีก็เงียบไปในขณะที่เขาเริ่มพูดออกมา "ถ้างั้น ตระกูลโจวก็ถกทำลายไปแล้ว นี่ทำให้กองกำลังป้องกันฝูงสัตว์อสูรของพวกเราอ่อนลง แต่จอมยุทธหนุ่มคนนี้อยู่ในเมืองเวคของพวกเรา ถ้าเราดึงเขามาได้ พวกเราจะสามารถป้องกันฝูงสัตว์อสูรได้อย่างสบาย"
"นายท่านหลักแหลมจริง ๆ ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน" เต้าหลีพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง
"มา เขาต้องยังไปได้ไม่ไกลแน่ พวกเรามาไล่ตามเขาไปกัน" หยุนหลีเริ่มเดินไปอย่างเร็วเพื่อนำเต้าหลีและยามรักษาการออกไปจากลาน
หลังจากนั้น หยุนหลีก็เริ่มไล่ตามเจี้ยนเฉินจากรอยเลือดที่เจี้ยนเฉินทิ้งไว้
…….
เจี้ยนเฉินเดินขมวดคิ้วไปตามถนนอย่างช้า ๆ ในขณะที่เขาคิดกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่าเขาจะหาครอบครัวของลุงเคนดัลอย่างไร เมืองเวคไม่ใช้เมืองเล็ก ๆ แต่เป็นเมืองที่มีคนหลายแสนคน การหาคนสองคนในหมู่คนที่มากมายขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อีกทั้ง ในตอนนี้ เจี้ยนเฉินไม่มั่นใจว่าครอบครัวของลุงเคนดัลยังอยู่ในเมืองเวคหรือย้ายไปเมืองอื่นแล้วหรือไม่ การพยายามที่จะตามหาครอบครัวนี้นั้นไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
"ท่านลุงเคนดัล ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าจะหาครอบครัวของท่านและจะดูแลพวกเขา ข้าจะทำให้พวกเขาอยู่อย่างมีความสุขชั่วชีวิต" เจี้ยนเฉินพึมพำกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทุ่มเทในการหาครอบครัวเคนดัล เขาต้องจัดการกับตระกูลเทียนซ่งก่อน
ในตอนแรก เจี้ยนเฉินถูกบีบให้ต้องหนีไปจากเมืองเวคเพราะตระกูลเทียนซ่ง ความแค้นนี้นั้นหนักหนาและยากที่จะลืมไปได้ เขารู้ด้วยว่า การที่เขาฆ่าลูกชายของเทียนซ่งหลี เทียนซงคังไปนั้น ก็ทำให้เขาแค้นเจี้ยนเฉินพอ ๆ กัน นี่เกิดกว่าที่จะเจรจาได้ ใครสักคนต้องตายเท่านั้น
ถ้าเขาไม่จัดการกับตระกูลเทียนซ่ง เจี้ยนเฉินก็ไม่กล้าที่จะตามหาครอบครัวของลุงเคนดัล นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าตระกูลเทียนซ่งล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวเคนดัล พวกเขาต้องพยายามทำให้เขาติดอยู่กับที่ หลบหนีไม่ได้แน่นอน