GE129 นางมาด้วยเหตุใด [ฟรี]
หนิงฝานนั่งอยู่บนศิลาก้อนหนึ่ง พลางมองต้นหลิงเพลิง
ด้านหลังมีชุ่ยหลิงและเย่หลิงกำลังจัดเตรียมอาหาร และจ้องมองหนิงฝานอย่างสงบ
ในช่วง 7 วันมานี้ หลู่หนานสื่อได้ผลหลิงเพลิงมาเป็นจำนวนมาก
เพียงให้ปรุงเป็นโอสถเว่ยหัวจินได้ 300 เม็ด
ไม่ว่าโอสถเว่ยหัวจินหรือโอสถจักรพรรดิหยกล้วนมีฤทธิ์ที่เหมือนกัน… หนิงฝานขบคิดอยู่นานพลางถอนหายใจ
ในอดีต หนิงฝานใช้ความเจ็บปวดจากปราณกระบี่สังหารเซียน เข้าสะกดข่มความเจ็บปวดจากโอสถจักรพรรดิหยก ทำให้พวกมันหักล้างกันเอง
นั่นทำให้ทราบว่า ความเจ็บปวดที่แตกต่าง สามารถสะกดกันได้… เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ความเจ็บปวดจากโอสถเว่ยหัวจินไม่สมควรมากไปกว่าโอสถจักรพรรดิหยก
หากหนิงฝานจะต้องเจ็บกับความเจ็บจากโอสถจักรพรรดิหยกเม็ดที่ 4 เขาต้องหาความเจ็บปวดอีกชนิดที่รุนแรงไม่แพ้กันมาหักล้าง
หนิงฝานเลิกคิดให้มากความ เขานำกระถางโอสถออกมา
“เริ่มปรุงโอสถ!”
…
1 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว… ยามนี้มีเรือเหาะลำใหญ่ และฝูงสัตว์อสูรบินจำนวนมากมุ่งหน้ามายังเมืองหนิง ส่วน 4 แม่ทัพกำลังร่วมกันซ่อนแซมอาวุธ
อาวุธวิญญาณระดับต่ำ ‘หน้าไม้คร่าวิญญาณ’... นับเป็นชื่อที่เหมาะสมกับมัน เพราะเพียงนัดเดียวก็สามารถปลิดชีพผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณได้ เพียงแต่ลูกศรของมันมีราคาแพง… 1 ดอกมีราคา 10 หยกสวรรค์ เมื่อยิงไปแล้วไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก หนานกงทุ่มทรัพยากรมหาศาล เพื่อสร้างลูกศรชนิดพิเศษนี้ให้ทหารในกองทัพแต่ละคนมีได้ 10 ลูก
หากเหล่าทหารในกองเหนี่ยวไกพร้อมกัน ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำยังต้องหลบ ด้วยความเก่งกาจเหล่านั้น ทำให้ทัพของเมืองหนิงแทบจะเป็นทัพอันดับหนึ่งของแคว้นเยว่
ในเดือนที่ 2 เหนือนิกายเพลิงเมฆาได้ปรากฏเมฆาภัยพิบัติ 5 สี แต่ไม่นานมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเดือนที่ 3 ชายผิวดำที่สะพายกระบี่ใหญ่ไว้ข้างหลังได้กลับมายังเมืองหนิง พร้อมกับหัวของ 10 โจรผู้เลื่องชื่อ แห่งแคว้นเยว่… ชายผู้นี้แผ่แรงกดดันของกึ่งแก่นทองคำที่ทรงพลัง!
10 โจรผู้เลื่องชื่อแห่งแคว้นเยว่ พวกมันกระจายตัวอยู่ตามตำแหน่งต่างๆรอบนิกายกุ่ยเชว่ ทางตะวันและทางเหนือ มีโจรในขอบเขตแก่นทองคำอยู่หลายคน
และโจรเหล่านั้น ถูกซื่อถูกสังหารจนหมด!
ดวงตาซื่อถูปรากฏแสงสีทองประกายอ่อนจาง พร้อมกับปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงแผ่ออกมานอกร่าง
ด้วยปราณกระบี่ระดับนี้ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นกลางก็อยากรับหากไม่จำเป็น ยามนี้ ซื่อถูกได้ทะลวงขอบเขตเต๋าแห่งกระบี่ของตนได้แล้ว!
กาลเวลาปัจจุบันล่วงเข้าเดือนที่ 3 ทั่วท้องนภาของเมืองหนิงเต็มไปด้วยหมอกควันคุ้ง หนานกงสั่งไม่ให้คนนอกเข้าเมือง และสั่งผนึกเมืองเพื่อเตรียมพร้อม
ในขณะเดียวกันได้ เรือเหาะขนาดใหญ่ได้ทะลวง ‘ข่ามอาคมแบ่งโลก’ ข้ามเข้ามายังแคว้นเยว่
ในแต่ละแคว้นนั้นจะมีข่ายอาคมแบ่งโลกขวางกั้น ปักปันเป็นเขตแดน เหมือนกับข่ายอาคมที่ได้ปกคลุมโลกพิรุณเอาไว้… ข่ายอาคมแบ่งโลกมีหลายระดับ แบ่งแยกไปตามความหนานแน่นของปราณในแคว้นนั้นๆ ดังนั้น ข่ายอาคมแบ่งโลกในแคว้นเยว่สมควรมีระดับแก่นทองคำขั้นกลาง
ข่ายอาคมแบ่งโลกจะมีนิกายต่างๆทำหน้าที่เฝ้าคุ้มกัน และทุกๆ 500 ลี้ของข่ายอาคม จะมีประตูผ่านที่จะข้ามไปอีกแคว้น
ผู้ที่จะข้ามผ่านไปได้นั้น ต้องมีป้ายแสดงสถานะ
แต่สถานะเหล่านั้นปลอมแปลงได้ ไม่มีผู้ใดเสียเวลามาตรวจสอบ ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเข้าแคว้นเยว่ ไม่ว่าผูจะทำสิ่งใด ย่อมไม่มีใครล่วงรู้
นอกจากนี้ การจะข้ามแคว้นต้องเสียค่าผ่านทาง แต่หากเป็นตัวตนระดับสูง คนเหล่านั้นจะไม่จ่าย และไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเก็บ
ฝั่งตะวันออกของแคว้นเยว่ ภายในหอคอยสีทองสูง นิกายอัสนีม่วง ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลางกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่
ฝั่งตะวันออกของแคว้นเยว่อยู่ติดกับแคว้นหวู่ ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองแคว้นมักจะเดินทางไปมาอยู่บ่อยๆ เมื่อผ่านไปหลายปีเข้า ค่าผ่านทางที่ได้ก็มหาศาล
วันนี้ ศิษย์ในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรและผู้อาวุโสขอบเขตประสานวิญญาณของนิกายอัสนีม่วง ได้ทำหน้าที่เฝ้าอารักษ์ข่ายอาคมแบ่งโลก
หากผู้เชี่ยวชาญจากแคว้นหวู่เดินทางมายังแคว้นเยว่ พวกมันจะได้ค่าผ่านทาง
“ฮ่าฮ่า เพียงเดือนเดียวก็ได้แต้มนิกายถึง 100 แต้ม ทั้งยังได้หยกสวรรค์ 50 ก้อนเป็นรางวัล… แบบนี้ข้าก็ซื้อของขวัญให้ศิษย์น้องหญิงเจ็ดแห่งตำหนักม่านหมอกได้แล้ว”
“พี่จ้าง… จากพรสวรรค์ของท่านแล้ว เหตุใดท่านถึงให้ของขวัญให้น้องเจ็ด ข้าว่า ศิษย์พี่หญิงสี่น่าจะเหมาะสมกับท่านมากกว่า”
“ฮ่าฮ่า เจ้าจะไปรู้อะไร… ถึงน้องเจ็ดไม่งดงาม แต่วิชาและฝีมือของนางไม่เป็นสองรองใคร...”
ศิษย์นิกายอัสนีม่วงพูดคุยเรื่องสตรี แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณภายในหอคอย แผ่สัมผัสเทพออกสำรวจและได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นคุยกัน มันขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ศิษย์นิกายฝ่ายธรรมะ เหตุใดถึงพูดจาเหมือนนิกายฝ่ายอธรรม
แม้ผู้อาวุโสประสานวิญญาณคนนั้นจะเข้าใจ ว่าแม้เป็นศิษย์นิกายฝ่ายธรรมะ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีปรารถนา การพูดจากเช่นนั้นถือเป็นเรื่องปกติ
“ถ้าเกิดผู้เชี่ยวชาญแคว้นหวู่เห็นท่าทางของพวกเจ้าเข้า นิกายอัสนีม่วงของข้าคงเสียหน้า!” ชายชรากล่าวด้วยสัมผัสกับเหล่าศิษย์ที่พูดคุย
ทำให้พวกมันเร่งสงบปากทันที พวกมันไม่กล้ากล่าวและไม่กล้าขัดคำสั่งชายชรา
ไม่นานนัก เรือเหาะขนาดยักษ์จากฝั่งแคว้นหวู่ ได้บินตรงมายังข่ายอาคมแบ่งโลกทางแคว้นเยว่ พร้อมกับเสียงเย้ยหยันสายหนึ่ง
“นิกายอันเล็กจ้อยของเจ้ายังมีหน้าตากับเขาอยู่เหรอ?”
เสียงนั่นมาพร้อมกับแรงกดดันกึ่งดวงจิตแรกเริ่ม ดังสะท้อนอยู่ภายในหัวของเหล่าศิษย์นิกายอัสนีม่วงทั้ง 10 คน จนทะเลสติของพวกมันแตกสลายและตายในทันที
ผู้อาวุโสของนิกายอัสนีม่วงที่อยู่ในหอคอยหวาดกลัว แต่มันยังทะยานออกมาจากหอคอย หยุดยืนด้านบนสุดของหอคอย พลางมองเรือเหาะขนาดยักษ์ที่กำลังตรงมา
เรือเหาะลำนั้นทะลวงมข่ายอาคมแบ่งโลกดังสนั่น ข่ายอาคมระดับแก่นทองคำขั้นสูงสุด ไม่สามารถต้านทานเรือลำนั้นได้!
เรือเหาะลำนั้นพ่วงด้วยเรือเหาะขนาดเล็กทั้งหมด 6 ลำ แต่ละลำ บรรลุผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมเป็นจำนวนมาก!
ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่บนเรือเหาะลำนั้น แต่งกายคละแบบ ระดับพลังต่ำสุดคือขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 5
ในหมู่พวกมัน มีผู้เชี่ยวชาญเปิดเส้นชีพจรจำนวน 6000 คน ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ 44 คน และมีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำทั้งหมด 9 คน แต่ผู้ที่มีแรงกดดันที่แตกต่างจากคนอื่นๆอย่างชัดเจน เป็นบุรุษที่สวมอาภรณ์ม่วง
อาภรณ์ของมันสลักด้วยรูปตะวันจันทรา ในลักษณ์ที่เป็นหยินหยาง ชายคนนั้นสูง 8 ฉื่อ ใบหน้าซีดขาวราวกับศพ ด้านหลังของมันมีโลงศพสีดำตั้งอยู่
ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำทั้ง 9 คนนั้น เป็นมนุษย์อยู่เพียง 4 คน
ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณทั้ง 44 คน ไม่มีผู้ใดแผ่กลิ่นอายของชีวิต
ในจำนวนผู้เชี่ยวชาญเปิดเส้นชีพจร 6000 คน เป็นคนที่ตายไปแล้วกว่าครึ่ง
ผู้อาวุโสของนิกายอัสนีม่วงหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น มันคอยคุ้มกันข่ายอาคมแบ่งโลกส่วนนี้มานาน มันย่อมเคยได้ยินเรื่องการแปลงศพมาบ้าง
เพียงแต่ยามนี้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับเหนือกว่าข่าวลือไปมาก… และผู้ที่มานั้น คือนิกายเต๋าสวรรค์แห่งแคว้นหวู่
“ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมพวกนั้นไม่ธรรมดา… พวกมันมาทำอะไรที่แคว้นเยว่! แย่แล้ว ข้าต้องเร่งรายงานท่านประมุข”
ผู้อาวุโสคนนั้นขบฟัน เร่งทะยานหนีไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหล่าศิษย์ของมันทั้ง 10 คนถูกสังหารตายอย่างเหี้ยมโหด หากมันถูกจับตัวได้ มันไม่มีทางรอดแน่
แต่เมื่อชายชราทะยานออกไปได้ไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณทั้ง 7 คนก็ทะยานออกจากเรือเหาะ ไล่ติดตามมาอย่างรวดเร็ว
“ศพในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นกลาง… ฮ่าฮ่า แล้วได้รู้ว่าใครเป็นใคร!”...
ผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอก ชายร่างกายกำยำก็แบกร่างของผู้อาวุโสนิกายอัสนีม่วงกลับเรือ
แล้วเรือเรือเหาะของนิกายเต๋าสวรรค์ ก็ได้ลุกล้ำแคว้นเยว่แล้ว!
เรือเหะาทุกลำมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกของแคว้นเยว่ เป้าหมายของพวกมันคือเมืองหนิง ระหว่างทางที่พวกมันผ่าน พวกมันทำลายตระกูลน้อยใหญ่ไปมากมาย
เหล่าผู้เชี่ยวชาญฝ่ายธรรมะหรืออธรรมล้วนถอยห่างไม่กล้าเข้าใกล้
“นิกายเต๋าสวรรค์แห่งแคว้นหวู่ ช่างกล้าลุกล้ำแคว้นเยว่ของข้า! สงครามระหว่างแคว้นหวู่และแคว้นเยว่จบลงมือพันปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนตอนนี้ มันกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง!” สีหน้าประมุขนิกายอัสนีม่วงแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
“ไม่หรอก… ข้าได้ลอบจู่โจมเรือของพวกมัน จับตัวศิษย์พวกมันมาแล้วอ่านความทรงจำ… เป้าหมายของพวกมันคือเพื่อทำลายเมืองหนิง… เมืองของปีศาจทมิฬหนิง...” ประมุขนิกายเฉ่อไพ่ฉางกล่าว
“เหตุใดเป้าหมายจึงเป็นเมืองหนิง…” แววตาชู่ซวนเชียนสื่อแห่งนิกายไท่ชูไพ่แปรเปลี่ยนเย็นชา
เรื่องที่นิกายเต๋าสวรรค์บุกแคว้นเยว่ กระตุ้นความสนใจของทุกนิกาย ให้ตระหนกและหวาดกลัว
เหตุที่หวาดกลัวเพราะระดับพลังของผู้เชี่ยวชาซแคว้นเยว่ ต่ำกว่าผู้เชี่ยวชาญแคว้นหวู่ ดังนั้น นิกายต่างๆจึงต่างพากันเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับนิกายเต๋าสวรรค์
นิกายต่างๆของแคว้นเคยเดินทางไปพบปีศาจทมิฬหนิง เพื่อให้ช่วยปรุงโอสถก่อดวงจิต แต่เมื่อยามนี้ปีศาจทมิฬหนิงลำบาก พวกมันกลับเลือกที่จะทอดทิ้ง
ประมุขนิกายเต๋าสวรรค์มีนามว่าเทียนยี่
เมื่อนิกายเต๋าสวรรค์เคลื่อนไหว เหนือน่าฟ้านอกายจี๋หลิง ก็ปรากฏเรือเหาะขนาดใหญ่ 4 ลำด้วยกัน เป้าหมายของพวกมันคือมุ่งหน้าไปเมืองหนิง!
“นิกายจี๋หลิงข้าและนิกายเต๋าสวรรค์จะประกาศสงครามกับเมืองหนิง หากสหายเต๋าท่านใดไม่ขัดขวาง ข้าจะมอบโอสถก่อดวงจิตให้นิกายเป็นจำนวน 3 เม็ด!”
ประมุขนิกายจี๋หลิงกล่าว
หากจับตัวปีศาจทมิฬหนิงได้ ก็จะได้นักปรุงโอสถผันแปรที่ 4 เป็นทาสคอยปรุงโอสถให้ นับว่าคุ้มค่ากว่า
แต่ถึงอย่างนั้น โอสถก่อดวงจิตกลับกลายเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจนิกายน้อยใหญ่ จนทำให้พวกมันหันเหไปทางนิกายจี๋หลิง
นิกายเต๋าสวรรค์และนิกายจี๋หลิงตั้งใจจะทำลายเมืองหนิงให้ราบคาบ หากไม่มีนิกายใดหนุนหลัง เมืองหนิงคงไม่สามารถรับมือกับนิกายขนาดใหญ่ทั้งสองนี้ได้
หากกล่าวว่าเพื่อโอสถก่อดวงจิต เหล่านิกายในแคว้นเยว่จะร่วมมือเพื่อกำจัดสือหยิน แต่เมื่อสือหยินเป็นฝ่ายกล่าวแทนที่จะเป็นปีศาจหนิง เหล่าประมุขนิกายที่เป็นกึ่งดวงจิตแรกเริ่ม จึงแทบจะคล้อยตามคำของสือหยิน
“รอดูเหตุการณ์เงียบๆ!” แต่ละนิกายในแคว้นเยว่ได้ออกคำสั่ง แต่ชู่ซวนเชียนสื่อกลับขมวดคิ้ว
“ไม่ว่านิกายฝ่ายธรรมะหรืออธรรมล้วนเห็นแก่ตัวไม่ต่างกัน…” นางเผยแววตาขุ่นเคือง ก่อนจะเหยียบย่างนภาตรงไปยังเมืองหนิง
ผ่านไป 10 วัน เรือเหาะขนาดใหญ่ของนิกายเต๋าสวรรค์และนิกายจี๋หลิงได้เข้าล้อมเมืองหนิง กางอาณาเขตไว้ถึง 100 ลี้!
แต่ยามนั้นเอง ชู่ซวนเชียนสื่อกลับปรากฏตัวเหนือเมืองหนิงด้วยแววตาโกรธเคือง
“สือหยิน เจ้ามีความแค้นอันใดกับเมืองหนิง ถึงได้ร่วมมือกับแคว้นหวู่ย่ำยีแคว้นเยว่ของตน!”
คำกล่าวของนางทำให้สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญนิกายไท่ชูไพ่แปรเปลี่ยน ก่อนจะเร่งกลับจากสังเกตุการณ์อย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากนิกายอื่นๆที่มาสังเกตุการณ์เมืองหนิง คิดว่าชู่ซวนเชียนสื่อได้ทำให้นิกายไท่ชูไพ่ตกที่นั่งลำบาก
แม้นิกายไท่ชูไพ่ไม่ธรรมดา และอาจไม่แพ้ต่อสงครามหากต้องเผชิญหน้ากับนิกายจี๋หลิงและนิกายเต๋าสวรรค์ แต่นั่นอาจทำให้มันเสียหายใหญ่หลวง
บางที แม้เป็นนิกายไท่ชูไพ่ นิกายฝ่ายธรรมะอันดับหนึ่งของแคว้นเยว่ อาจต้องยอมศิโรราบให้กับสงครามครั้งนี้
“ชู่ซวนเชียนสื่อไม่เคยมาเมืองหนิงมาก่อน ไม่เคยพบปีศาจทมิฬหนิงมาก่อน… เหตุใดนางต้องออกหน้าปกป้องเมืองหนิง… เห้อ… นางยึดมั่นในความดีเกินไป ยากที่จะอยู่รอดในโลกของผู้ฝึกตนเช่นนี้!”
ผู้เชี่ยวชาญนิกายไท้ชูไพ่ขมวดคิ้ว
พวกมันอยากให้ชู่ซวนเชียนสื่อหยุดสอดมือ ไม่อย่างนั้น นิกายไท่ชูไพ่อาจถึงคราวหายนะ
…
ถ้ำแห่งหนึ่งภายในเมืองหนิง แสงสีเงินเปล่งประกายออกมาจากภายใน หนิงฝานลืมตาและเผยสีหน้าประหลาดใจ
เขาทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกด้วยสัมผัสเทพ
“ชู่ซวนเชียนสื่อ? นางมาได้อย่างไร… คาดไม่ถึงว่านางจะมีจิตใจยึดมั่นในความดี ถึงกับออกหน้าให้เมืองหนิง...”
แต่ด้วยเพราะนาง แววตาของหนิงฝานจึงแปรเปลี่ยนเย็นชาในฉับพลัน
เหนือท้องนภาเมืองหนิง ชู่ซวนเชียนสื่อในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด ไม่หวาดกลัวคนของนิกายจี๋หลิงและนิกายเต๋าสวรรค์
นางขมวดคิ้วมุ่น แอบโลจรปราณและวิชา แววตาสั่นไหว ท้องนภาที่เงียบสงบปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่น!
“หากนิกายฝ่ายธรรมะไม่ปกป้องความยุติธรรม ก็ไม่สมเป็นนิกายฝ่ายธรรมะอีกต่อไป! พวกเจ้ารีบถอยไปซะ อีกไม่นานผู้อาวุโสทั้งสองของข้าจะมาถึงแล้ว!”
คำกล่าวของนางทำให้สือหยินเป็นกังวล
“เจ้าหมายถึง ‘ซ่งเชียนสื่อ’ และ ‘ไป่หงสื่อ’ งั้นรึ… ถ้านิกายไท่ชูไพ่สอดมือ เรื่องระหว่างเราไม่จบง่ายๆแน่”...