ตอนที่ 264 หลักฐาน? นั่นเป็นสิ่งจำเป็น !
เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่าเป็นห่วงอาเฮง และน้องชาย เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ในช่วงปีใหม่ที่เมืองหลวงมานานหลายปี ท่านย่าส่งพี่ใหญ่ไปที่เรือนตงเซิงเพื่อให้คำแนะนำอาเฮง อาเฮงรู้สึกขอบคุณมาก แต่ข้ารีบออกไปในตอนเช้าเพื่อไปรับจื่อหรู ดังนั้นข้าจึงไม่มีโอกาสได้ดูของกำนัลที่นำมาด้วยเจ้าค่ะ”
นางพูดแบบนี้ในขณะที่ดันเฟิงจื่อหรูไปข้างหน้า เด็กชายใช้เวลา 3 เดือนในเสี่ยวโจวและเขาก็ฉลาดมากขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาดันเขาไปข้างหน้า เขาจึงรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของเตียงของเฟิงเฉินหยูและคุกเข่าลง เขากล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “จื่อหรูขอบคุณพี่ใหญ่สำหรับความเป็นห่วงขอรับ พี่ใหญ่ไปรับข้าด้วยความเมตตา แต่พี่ใหญ่ต้องได้รับบาดเจ็บจากการถูกซุ่มโจมตี จื่อหรูรู้สึกผิดมากขอรับ แต่พี่สาวคนโตวางใจได้ ท่านย่าจะต้องทวงความยุติธรรมให้พวกเราอย่างแน่นอน !”
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสงสัยว่านางให้เฟิงเฉินหยูไปบอกเฟิงหยูเฮงเมื่อไหร่ แต่นางก็ตกใจอย่างมากกับสิ่งที่เฟิงจื่อหรูพูด นางถามอย่างกังวลใจ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ถูกซุ่มโจมตี” นางมองดูที่อาการบาดเจ็บบนหัวของเฟิงเฉินหยู ตอนแรกนางคิดว่าเฟิงเฉินหยูตกรถม้า แต่นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมาจากการซุ่มโจมตี
เฟิงเฉินหยูนอนบนเตียงและร้องไห้ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่านางทำผิด ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เฉินหยูไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ใครกล้าที่จะลงมือทำร้ายลูกหลานของตระกูลเฟิง คนร้ายคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ !”
ทันใดนั้นเสียงร้องของเฟิงเฉินหยูก็หยุดลงราวกับมีบางสิ่งกีดขวางคอ นางไม่สามารถส่งเสียงได้
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้นางตกใจ แต่เมื่อนางคิดถึงมัน นางก็ไม่มีอะไรจะกลัว นางรู้ว่านอกเหนือจากเหยี่ยวที่ท่านลุงสามของนางเลี้ยงดูอย่างลับ ๆ ผู้คนที่ถูกส่งไปฆ่าเฟิงจื่อหรูล้วนได้รับการว่าจ้าง แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสอบสวนนางก็จะไม่พบอะไรเลย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้การอุดตันในลำคอของนางก็หายไป และนางก็กลับมาร้องไห้ต่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเสียใจด้วยการร้องไห้ แต่นางก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บที่หน้าผากนั้นค่อนข้างน่าตกใจ เมื่อเนื้อชิ้นนี้หายไป ใบหน้าของเฟิงเฉินหยูก็เสียโฉม ความมั่นใจที่นางเพิ่งจะได้รับเมื่อหลายวันก่อนก็หายไปอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “หยุดร้องไห้ เรียกหมอมาแล้ว !”
เฟิงเฉินหยูมีอะไรบางอย่างขวางลำคอของนาง และต้องการให้ยี่หลินช่วยให้นางสงบลงเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าและยายจาวมองไปที่เฟิงจื่อหรูจากนั้นนางถามเขาว่า “พวกเจ้าถูกโจมตีได้อย่างไร ?” คิดอีกเล็กน้อยนางมองเฟิงหยูเฮง “ทำไมพี่ใหญ่ของเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ ?”
เฟิงจื่อหรูตอบ “ระหว่างทางกลับสู่เมืองหลวง ข้าถูกซุ่มโจมตีโดยคนสวมชุดดำ 20 คน โชคดีที่วังซวนซ่อนข้าไว้ในกองหิมะ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ข้าหลีกเลี่ยงวิกฤตินี้ แต่… วังซวนถูกคนร้ายจับไป ดูเหมือนว่าพวกเราโชคร้ายขอรับ” เมื่อถึงจุดนี้เด็กก็เริ่มรู้สึกเศร้าเสียใจจนน้ำตาไหล
เขามีความสัมพันธ์ที่สนิทกับวังซวนและหวงซวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวังซวนที่ดูแลเขาเป็นพิเศษหลังจากไปที่เสี่ยวโจว นางมักจะไปเยี่ยมเขาที่สำนักศึกษา นางเป็นคนเดียวที่อยู่ที่เสี่ยวโจว และการออกจากบ้านในวัยเด็ก หากจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดถึงบ้านก็จะเป็นเรื่องโกหก การเห็นวังซวนเป็นเหมือนการได้เห็นครอบครัวซึ่งทำให้เขารู้สึกดีมาก
เมื่อเห็นว่าเฟิงจื่อหรูร้องไห้และไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็หันไปหาเฟิงหยูเฮงและพูดว่า “ตาเจ้าพูดแล้ว”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในด้านของจื่อหรู สำหรับเราแล้ว ม้าของเราวิ่งได้ตามปกติ แต่มันก็มีเหยี่ยวโผล่มาจากกลางอากาศ ทำให้มันตกใจ มันวิ่งเร็วมากทำให้รถม้าโยกไปมา อาเฮงตกรถม้าไป และเหยี่ยวเข้าไปในรถม้า มันจิกเนื้อตรงหน้าผากของพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
เฟิงจื่อหรูอุทาน “ข้าคิดว่าเหยี่ยวถูกคนอื่นส่งมา มันตั้งใจที่จะทำเพื่อไม่ให้พี่สาวไปรับข้า”
“อ๊ะ !” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจมากจากการฟัง จากนั้นนางก็ถามเฟิงหยูเฮง “เจ้าได้รับบาดเจ็บจากการตกรถม้าหรือไม่ ?”
“ขอบคุณท่านย่าสำหรับความห่วงใย อาเฮงเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัส แต่พี่ใหญ่… ท่านย่าต้องสืบสวนเรื่องนี้นะเจ้าคะ !”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ข้าจะต้องสืบสอนแน่นอน กล้าที่จะทำร้ายบุตรสาวของขุนนางขั้นหนึ่งในเมืองหลวง คนแบบนี้น่าจะถูกถลกหนังทั้งเป็น ! จื่อหรูพูดถูก เหยี่ยวนั้นจะต้องถูกส่งมาอย่างจงใจ มิฉะนั้นแล้วทำไมมันจึงจิกคนในขณะที่มันกำลังบิน ? ยายจาว” นางสั่งยายจาว “ส่งคนไปรายงาน แค่พูดว่าคุณชายและคุณหนูจากคฤหาสน์ของเสนาบดีถูกซุ่มโจมตีในเขตชานเมืองของเมืองหลวง ให้เจ้าเมืองสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด !”
“เจ้าค่ะ” ยายจาวกำลังจะแจ้งบ่าวรับใช้อีกคนให้รายงาน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเพิ่ม “บอกเจ้าเมืองว่าเสนาบดีเฟิงจินหยวนจะกลับมาถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ เขาจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
ยายจาวพยักหน้าแล้วก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว นางรู้ว่าตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่ายินดีที่จะใช้ชื่อของเฟิงจินหยวนเพื่อทำให้เจ้าเมืองนั้นหวาดกลัว นั่นหมายความว่านางค่อนข้างโกรธ คิดเกี่ยวกับมันว่าเป็นกรณีที่เฟิงจื่อหรูถูกซุ่มโจมตี ! ปัจจุบันตระกูลเฟิงมีทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นตระกูลเฟิงจะไม่ล่มสลายหรือ ?
เมื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการรายงานเรื่องนี้ เฟิงเฉินหยูที่นอนอยู่บนเตียงรีบพูด “ท่านย่าจะรายงานเรื่องนี้อย่างไรเจ้าค่ะ? เราไม่มีเบาะแสใด ๆ สำหรับท่านเจ้าเมือง นักฆ่าเหล่านั้นไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้รวมถึงศพ พวกเขาจะตรวจสอบอย่างไร ?”
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกว่าที่เฟิงเฉินหยูพูดมีเหตุผล แต่คดีนี้ต้องถูกรายงาน แม้ว่าจะยากที่จะไขคดีได้ และนางก็รู้อยู่เสมอเกี่ยวกับความสามารถของเจ้าเมืองในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่นางเคยได้ยินว่าเจ้าเมืองคนก่อนหน้านี้ทำผิดพลาดทำให้ฮ่องเต้ลดตำแหน่งเขาลงอย่างกะทันหัน ตอนนี้มีคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง นางไม่รู้ว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่
เฟิงหยูเฮงได้ยินคำพูดของเฟิงเฉินหยู จากนั้นก็ดูท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า นางจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังคิดได้อย่างไร น่าเสียดาย… นางแอบยิ้มกับตัวเอง เพราะเรื่องนี้กับเรื่องของเด็กกำพร้า นางจึงเขียนจดหมายถึงซวนเทียนฮั่ว นางไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ดูสงบและนิ่งเงียบอย่างซวนเทียนฮั่วจะลงมืออย่างรวดเร็ว และเด็ดเดี่ยว นางส่งจดหมายในตอนบ่ายและเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขในตอนเย็น
เมืองหลวงมีเจ้าเมืองคนใหม่ที่มีการประกาศให้ทราบ ทางการยังส่งคนไปแจ้งที่บ้านของเจ้าหน้าที่ชั้นสูง เป็นธรรมดาที่ตระกูลเฟิงเป็นคนแรกซึ่งทราบข่าวนี้
แต่ไม่มีใครรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเจ้าหน้าที่เป็นเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำจากเฟิงหยูเฮง
“ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีหลักฐานเลย” นางพูดขึ้นมาทันใด เมื่อมองเฟิงเฉินหยู นางเหล่ตาเล็กน้อย “ไม่จำเป็นที่ท่านย่าจะต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่พี่ใหญ่ใคร่ครวญ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เฟิงเฉินหยูตัวสั่นบนเตียงจากความตกใจ นางหันหน้าไปมองเฟิงหยูเฮงด้วยความสยอง หัวใจของนางก็กระโดดเข้าไปในลำคอของนาง
นางได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดว่า “หลานสาวมีหลักฐานบางอย่างเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างนี้นางเปลี่ยนน้ำเสียงของนาง “นำหลักฐานมา !”
หวงซวนเข้าห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเข้ามานางถือของใหญ่ไว้ในมือ ปกคลุมด้วยผ้าสีดำ ของที่อยู่ข้างในไม่สามารถเห็นได้
เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เปิดหลักฐาน เอาให้ท่านย่ากับพี่ใหญ่ดูสิ”
“เจ้าค่ะ” หวงซวนปฏิบัติตามและวางสิ่งของไว้ในมือของนาง ดึงผ้าสีดำออก วางกรงไว้ข้างหน้าทุกคน
ฮูหยินผู้เฒ่าดูในกรงแล้วถอยกลับด้วยความกลัว เกือบจะทำให้นางล้มลง ! โชคดีที่มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งคอยประคองนาง แต่สิ่งนี้ทำให้นางรู้ว่าร่างกายทั้งหมดของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นด้วยความกลัว
ไม่เพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่สั่น แต่พวกบ่าวรับใช้ก็ยังสั่นเพราะในกรงมีเหยี่ยว และมันมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเฟิงจื่อหรู จงอยปากแหลมของมันคือความยาวครึ่งหนึ่งของมือเด็กเล็ก แม้ว่ามันจะนอนอยู่ในกรงโดยที่หลับตา มันก็ยังทำให้ใจของผู้คนสั่นเทาด้วยความกลัว
“นี่คือ... นี่…” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบโต้ทันที “นี่คือเหยี่ยวที่ทำร้ายเจ้าหรือ ?”
คำสามคำเหล่านี้ทำให้เฟิงเฉินหยูลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที เมื่อมองไปที่กรงด้วยความสยองขวัญราวกับว่านางได้เห็นภูตผีแล้ว
ยี่หลินพยุงนางนอนลงเพราะกลัวว่านางจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูด นางจึงพูดซ้ำๆ ว่า “คุณหนูสงบสติอารมณ์เจ้าค่ะ แม้ว่าเหยี่ยวนั้นจะทำให้คุณหนูได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของคุณหนู คุณหนูต้องไม่โกรธเจ้าค่ะ !”
เมื่อได้ยินนางพูดอย่างนี้ ทุกคนเชื่อว่าการกระทำของเฟิงเฉินหยูนั้นเหมือนพบศัตรู นี่คือสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่มีเพียงเฟิงหยูเฮงเท่านั้นที่รู้ว่าเฟิงเฉินหยูอาจกำลังจะเป็นบ้าจากการเห็นเหยี่ยว ซึ่งนางคิดว่าบินหนีไปแล้วปรากฏขึ้นทันที
“ท่านย่า” นางเตะไปที่กรง 2 ครั้ง “หลานสาวจะให้บ่าวรับใช้นำเหยี่ยวนี้ไปที่จวนเจ้าเมือง และมอบมันให้กับเจ้าเมืองเป็นการส่วนตัว เหยี่ยวประเภทนี้พิเศษมาก มันมีห่วงทองคำบนคอของมัน มันถูกยกขึ้นอย่างชัดเจนโดยใครบางคน ตราบใดที่เจ้าเมืองไม่ได้โง่เกินไป ข้าเชื่อว่าเขาจะสามารถติดตามเบาะแสนี้ และค้นพบความจริงบางอย่างได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผ็เฒ่ามองดูที่คอเหยี่ยว แน่นอนมีห่วงทองคำอยู่ที่นั่น นางพยักหน้าโดยพูดว่า “ส่งมันไป ! ให้เจ้าเมืองตรวจสอบให้แน่ใจ ให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด มีคนที่กล้าที่จะทำร้ายลูกชายและลูกสาวของตระกูลเฟิง สิ่งนี้จะไม่อาจยอมรับได้อย่างแน่นอน !” หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ นางหันไปหาเฟิงเฉินหยูแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องหาผู้กระทำความผิดและหาทางแก้แค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน !”
เฟิงเฉินหยูเกือบตกจากเตียงด้วยความกลัว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่านางได้รับความกลัวจากเหยี่ยวโดยกล่าวว่า “ดูแลตัวเองและพักผ่อน หมอจะมาที่นี่ในไม่ช้า” แต่เดิมนางต้องการให้เฟิงหยูเฮงดูก่อน แต่เมื่อนางจำเรื่องนี้ได้ด้วยใบหน้าของเฟิงเฟินได นางก็อายเกินกว่าจะพูด “พ่อของเจ้าจะกลับมาถึงวันพรุ่งนี้ ในเวลานั้นเขาจะให้การสนับสนุนเจ้าด้วย”
ดวงตาของเฟิงเฉินหยูกลอกไปมาในขณะที่นางหมดสติ
คืนนั้นเฟิงหยูเฮงและเหยาซื่อแบ่งเวลาของพวกเขาไปกับเฟิงจื่อหรู ตลอดทั้งคืน เด็กชายจับมือเฟิงหยูเฮงและเล่าเรื่องราวจากสำนักศึกษาหยุนลู่ และพี่น้องก็จะหัวเราะด้วยกันเป็นครั้งคราว gab’จื่อหรูบอกกับนางว่า “อาจารย์ใหญ่บอกว่าข้าสามารถเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลเมื่อข้าอายุ 8 ขวบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดจะไม่มีแรงกดดันมากนัก ข้าจะรู้สึกถึงสิ่งนี้”
“อายุ 8 ขวบหรือ ?” เฟิงหยูเฮงนับนิ้วมือของนาง “นั่นไม่เร็วไปหรือ ?”
เฟิงจื่อหรูเอียงศีรษะของเขาแล้วถามนางว่า "มันเร็วไปหรือขอรับ ? "
มันไม่เร็วใช่ไหม มันคงจะดีถ้าเขาทำไม่ได้ดี แต่ถ้าเขาทำคะแนนได้ดี นั่นจะไม่ทำให้เขาเป็นนักเรียนที่ถูกโดดเดี่ยวและโดนกลั่นแกล้งจนตายหรอกหรือ ?
นางถามเฟิงจื่อหรู “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าไม่ต้องการเป็นบัณฑิตแทนที่จะต้องการเรียนรู้กลศึกทางทหาร”
จื่อหรูกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ายังคงชอบกลศึกทางทหาร วิชาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ข้าต้องเรียนรู้ ทุกวันข้าใช้เวลาอ่านหนังสือ 2 ชั่วยามก่อนที่อาจารย์ใหญ่จะสอนเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม พี่สาวข้าสามารถท่องตำราพิชัยสงครามได้ 2 เล่มแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่อาจารย์ใหญ่ก็บอกว่าข้าควรจะจำมันก่อน จากนั้นเขาจะสอนข้าทีละน้อย”
เฟิงหยูเฮงปรบมือให้ความฉลาดของเด็กคนนี้ แม้ว่านางจะไม่ชอบวิธีที่เฟิงจินหยวนกระทำกับตัวเอง แต่เขาก็ยังก้าวไปทีละขั้นและกลายเป็นเสนาบดี ความฉลาดสามารถสืบทอดได้ทางกรรมพันธุ์จริง ๆ
คืนนั้นเรือนตงเซิงมีความสุข ขณะที่เฟิงเฉินหยูไม่ได้นอนทั้งคืน
เมื่อนางพบว่ามีชิ้นส่วนของเนื้อจากหน้าผากของนางถูกเหยี่ยวกิน นางเกือบจะเป็นบ้า นางเกลียดเฟิงหยูเฮง และนางก็เกลียดเฉินเหลียงเช่นกัน อย่างไรก็ตามยี่หลินต้องเตือนนางว่า “เราต้องแจ้งให้ท่านลุงสามทราบเกี่ยวกับเหยี่ยว และให้เขาหาวิธีที่จะแลกเหยี่ยวในจวนเจ้าเมือง”
“อย่าเปลี่ยนมัน !” ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวจากความโกรธ และเสียงของนางก็ขาดหาย “แค่ให้เจ้าเมืองพบมัน ! มันจะดีที่สุดถ้าพวกเขาค้นพบ และฆ่ามัน ! ใช่ ฆ่าพวกมัน ! ฆ่าเหยี่ยว ! ฆ่าตระกูลเฉิน ! ฆ่าเฟิงหยูเฮง !”