บทที่ 74 เห็นชัดๆ ว่าอยากกัดฉัน
บทที่ 74 เห็นชัดๆ ว่าอยากกัดฉัน
“ผู้มีความสามารถพิเศษ...น่าจะมีไม่มาก เท่าที่ฉันรู้ในโรงเรียนของเรานอกจากฉันแล้ว ก็มีแค่คนเดียว แต่คนๆ นั้นนิสัยค่อนข้างแย่ ถ้าไม่เจอได้เป็นดีที่สุด”
หลินล่วนชิวหัวเราะอย่างมีความหมายแฝง แต่เธอไม่ได้อยากพูดมากเรื่องเกี่ยวกับผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น
ในบรรดาผู้รอดชีวิตสามพันกว่าคน มีผู้มีความสามารถพิเศษแค่สองคน เป็นอัตราส่วนที่น้อยจริงๆ แต่อิงจากจำนวนผู้รอดชีวิตของมหาวิทยาลัยเมือง X เป็นพื้นแล้ว ก็เห็นชัดว่ายังไม่แม่นยำพอ
แต่หลิงม่อมีข้อสงสัยในใจที่มากกว่านั้น เขามองหลินล่วนชิวสองสามครั้ง ในที่สุดก็ถามออกไป “ความสามารถพิเศษของเธอมาได้ยังไงเหรอ?”
หลินล่วนชิวผงะ ดวงตาที่แม้จะมืดมน แต่ก็สงบนิ่งมาตลอดนั้นแวบสีประหลาดขึ้นมาในที่สุด เธอเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงยอมเอ่ยปาก “ฉันไม่รู้ เหมือนมีมาตั้งแต่ฉันเกิด ทำไมเหรอ หรือว่านายก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอ?”
หลิงม่อแอบถอนใจแล้วพยักหน้าอย่างจนใจ
“มันคือเทคโนโลยีขั้นสูง หรือว่าแบบมนุษย์ต่างดาวบุกโลกหรือเปล่า?” อยู่ๆ สื่อปินก็พูดสอดขึ้นมา “ก็เหมือนอย่างที่แสดงกันในหนัง มีชิพเพิ่มเข้ามาในสมองรึเปล่า?”
เห็นเขาพูดแบบนี้ หลินล่วนชิวก็พยักหน้าอย่างอับจนคำพูด ส่วนหลิงม่อก็อดยิ้มเยาะไม่ได้
นี่คือคนไร้สมองที่ไม่มีสมองของจริง
เหมือนกับที่หลิงม่อคิด ผู้มีความสามารถพิเศษและซอมบี้กลายพันธุ์ต่างก็ถือเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการของแต่ละเผ่าพันธุ์ นี่มันอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยเทคโนโลยีขึ้นสูงหรือมนุษย์ต่างดาวด้วยเหรอ?
อย่างน้อยที่สุด ต่อให้เป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะเอาชิปมายัดใส่หัวมนุษย์ให้ได้? ช่วยให้มนุษย์ส่วนหนึ่งเอาชนะซอมบี้เพื่ออยู่รอดต่อไปเหรอ?
คนอื่นจะคิดอย่างไรหลิงม่อไม่สนใจ แต่หลิงม่อไม่เชื่อเลย เห็นหลินล่วนชิวทำหน้าแบบ ‘ฉันไม่รู้จักเขานะ’ เห็นชัดว่าเธอเองก็คิดว่าข้อสันนิษฐานนี้ตลกมาก
“ช่างเหอะ คำถามนี้จะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ จะใช้ความสามารถพิเศษให้เก่งได้ยังไงต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ” ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจของหลิงม่อ ทำให้หลินล่วนชิวอดมองเขาหลายรอบไม่ได้
คนที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษทุกคนน่าจะสนใจคำถามนี้เป็นพิเศษใช่ไหมล่ะ...แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลิงม่อพูดถูกจริงๆ เมื่อเจอคำถามที่ไม่อาจเข้าใจได้ จะคาดเดาไปมากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์
พวกเขาสองคนคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ หลินล่วนชิวก็แสดงท่าทางเอาใจหลิงม่อด้วยการเสนอว่า “ฉันจะไปนอนข้างนอก ให้พวกนายนอนข้างในนี้ก็แล้วกัน”
แต่หลิงม่อยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันนอนในห้องครัวก็ได้”
ล้อเล่นน่า เขาจะอยู่ในที่ปิดแบบนี้ได้ยังไง แม้หลินล่วนชิวจะแสดงออกอย่างชาญฉลาด แต่เห็นชัดว่าสื่อปินนั่นคือคนไร้สมอง และยิ่งกว่านั้นนี่เป็นแค่การแสดงออกผิวเผินของเขาเท่านั้น เพราะเขายังไม่อาจเรียกได้ว่าเชื่อใจหลินล่วนชิว
ถ้าเผื่อว่าถึงตอนนั้นพวกเขาถูกขังตายล่ะ แค่เอาไฟมาเผาให้พวกเขาตายอยู่ข้างใน ถ้าคิดจะเอากระเป๋าสัมภาระของเขาไปล่ะ ก็อาจจะใช้วิธีรมควันได้ สรุปแล้วก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน
แม้ว่าปกติเขาจะหาที่พักด้วยตัวเอง เรื่องสำคัญที่คำนึงถึงเป็นอย่างแรกก็คือทางหนีทีไล่ ผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่ายิ่งเป็นสถานที่ปิดก็ยิ่งปลอดภัย แต่หลิงม่อกลับรู้สึกว่าที่ๆ มีทางหนีมากพอสำหรับตัวเองจะเป็นที่ๆ ดีกว่า
การที่มีความเคยชินแบบนี้ คงเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในการควบคุมหุ่นตั้งแต่เริ่มของเขา ตอนนั้นเขามักจะตัดสายสัมพันธ์กับหุ่นซอมบี้เวลานอน รอดชีวิตมาอย่างเฉียดฉิวหลายครั้ง แค่จินตนาการว่าตอนนั้นเขาอยู่ในสถานที่ปิดแบบนี้ น่ากลัวว่าตอนนี้คงกลายเป็นขยะไปนานแล้วล่ะ
แม้คำถามนี้จะพอเข้าใจได้ ขอแค่ให้เย่เลี่ยนและซย่าน่าอยู่ข้างนอกก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่ตัวเองอยู่ในระหว่างหลับ ซอมบี้สองตัวนี้จะกำจัดหลินล่วนชิวและสื่อปินหรือไม่?
เมื่อเห็นหลิงม่อไม่รับน้ำใจ หลินล่วนชิวก็ไม่บังคับ ทว่าหันมาบอก “ถ้างั้น พรุ่งนี้สื่อปินต้องดูแลฉัน คงช่วยอะไรพวกนายไม่ได้เท่าไร เอาอย่างนี้เถอะ วันนี้ให้เขาคอยเฝ้ายามตอนกลางคืนหน้าห้องส่วนตัว ถึงยังไงวันนี้มีซอมบี้เข้ามา ก็หมายความว่าที่นี่อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว”
ข้อเสนอนี้นี้คือจะให้สื่อปินไถ่โทษด้วยการกระทำ หลิงม่อก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน จึงพยักหน้า
แต่ในใจเขากลับคิดว่า ความจริงแล้วที่นี่ปลอดภัยมาก ซอมบี้สองตัวนั้นเข้ามาเพราะการควบคุมของเขา แต่ถ้าทำให้ไอ้สื่อปินนั่นนั่งเบิกตากว้างได้ทั้งคืน ก็เป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขนักแล
เวลาผ่านไปเร็วมาก พริบตาก็ถึงเวลากลางคืน ระหว่างทางหลิงม่อหยิบของกินออกมาบางส่วน ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารแต่ละอย่างนั้นช่างมีผลกระทบต่อสายตาของหลินล่วนชิวและสื่อปินที่กินขนมปังหมดอายุมาจนชินเป็นอย่างมาก
สื่อปินขบฟันกัดขนมปัง ทว่าหลิงม่อไม่สนใจเขา แค่เอาคุกกี้ห่อหนึ่งส่งให้หลินล่วนชิว “กินสิ พอให้มีแรงสักเล็กน้อย พรุ่งนี้จะได้เดินเร็วขึ้นหน่อย”
สื่อปินเบิกตากว้างทันที แต่หลินล่วนชิวเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของคู่หู เธอรับคุกกี้มาอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วถามอีก “แล้วสองคนนั้นไม่กินเหรอ?”
“ที่นี่อึดอัดมาก เราออกไปสูดอากาศดีกว่า” ซย่าน่าที่ไม่ได้อ้าปากเลยพอเห็นหลินล่วนชิวมองมาทางตัวเอง ก็เอ่ยขึ้นแบบทื่อๆ จากนั้นก็ดึงเย่เลี่ยนออกไปข้างนอกด้วย
หลิงม่อเห็นแล้วก็รู้สึกใจสั่น ดูท่าซย่าน่าคงรู้จักรักษาบรรยากาศแล้วสินะ ยังรู้จักกระทั่งใช้วิชาหายตัวแบบนี้ด้วย
“ฉันจะออกไปดูพวกเธอ” หลิงม่อสบโอกาสเลยแวบออกมาเช่นกัน แม้เย่เลี่ยนจะแสดงออกได้ประหลาดนิดๆ แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ไม่นานเท่าไร แค่ระวังหน่อยความลับก็จะไม่ถูกเปิดเผย
“โถพ่อคนดี...” สื่อปินเห็นเงาร่างหลิงม่อหายไปจากหน้าประตู ก็อดด่าเบาๆ อย่างหาเรื่องไม่ได้
หลินล่วนชิวค่อยๆ ฉีกห่อขนม เห็นสายตาของสื่อปินดูสิ้นหวัง “ถือว่าเขาคุยด้วยง่ายมากแล้ว ไม่งั้นแค่เขาบังคับฉัน ฉันไม่พูดได้เหรอ? นายไม่ชอบเขาได้ แต่นายต้องเข้าใจว่าเขามีกำลังความสามาร เหมือนอย่างตอนนี้ นายทำได้แค่แอบด่าเขา”
“…” สื่อปินถูกหลินล่วนชิวว่าจนหน้าแดงหน้าซีดเป็นพักๆ สุดท้ายก็บีบก้อนขนมปังในมือแน่น เอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “หลินล่วนชิว ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไป”
“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ?” หลินล่วนชิวเอนตัวพิงด้านหลัง ใบหน้าเผยร่องรอยเหนื่อยล้า “หลายวันนี้ฉันสอนให้นายต่อสู้ต่างๆ นาๆ แต่พัฒนาการของนายมีขีดจำกัด ฉันยังไม่อยากตาย ฉันอยู่มาถึงตอนนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และในฐานะที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ฉันจะตายไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ ฉันยังอยากกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านเกิด...เขามีพลังแข็งแกร่ง ฉันอยากไปหาความอยู่รอดกับเขา มันผิดด้วยเหรอ? หากนายอยากทำเพื่อฉันจริงๆ ก็อย่าไปกวนโทสะเขา เราไปถึงโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายกันไป แล้วทำไมนายจะต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ก็ฉันกลัวว่าเขาจะเหมือนคนพวกนั้นนี่!” สื่อปินกัดฟันบอก
สายตาที่หลินล่วนชิวมองเขายิ่งแสดงออกถึงความผิดหวัง “ฉันไม่อยากอธิบายเรื่องนี้แล้ว สรุปว่านายเชื่อใจฉันก็พอ”
บทสนทนานี้ หลิงม่อย่อมไม่ได้ยินอยู่แล้ว เขากำลังมองซย่าน่าและเย่เลี่ยนในสภาพเหงื่อตกเต็มหน้า
พอสองสาวซอมบี้นี้มาถึงห้องครัวแล้ว ก็เกิดความสนใจเหล้าที่อยู่บนพื้นเตาพวกนั้น คนที่นำนั้นย่อมเป็นซย่าน่าที่ฟื้นคืนความทรงจำได้มากแล้ว เธอคว้าขวดเหล้า ในแววตานั้นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ฉันจำได้ว่า...ดื่มนี่แล้ว เหมือนจะรู้สึกสบาย”
เดาว่าก่อนหน้านี้ซย่าน่าคงไม่ใช่เด็กเรียบร้อย นี่เธอถึงกับมีความทรงจำเกี่ยวกับเหล้าด้วย...
ตอนที่หลิงม่อออกมา ซย่าน่าใช้แรงแค่นิดหน่อยเปิดขวดเหล้า ไม่เพียงแค่ดื่มเองหลายอึก แต่ยังกระตุ้นให้เย่เลี่ยนดื่มไปสองสามอึกด้วย
แม้จะไม่รู้ว่าพวกเธอสื่อสารกันอย่างไร แต่เดาว่าพอเย่เลี่ยนมีจิตสำนึกในตัวเองแล้ว หากจะสื่อสารขั้นพื้นฐานกับพวกเดียวกันก็ไม่น่าจะยุ่งยากหรอกมั้ง
“ยังดีที่เย่เลี่ยนดื่มเหล้าพอได้ ซย่าน่าก็น่าจะไม่เลว...” หลิงม่อคิดแบบนี้แล้วก็ไม่ได้แย่งเอาขวดเหล้ามา เขาคิดว่า สองสาวซอมบี้ได้สัมผัสกับเรื่องใหม่ๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน แม้ธรรมชาติเดิมของพวกเธอจะไม่มีทางเหมือนกับมนุษย์อีกแล้ว แต่หากได้เข้าใจสังคมมนุษย์มากหน่อย ได้สัมผัสความเคยชินของมนุษย์มากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร
แต่สิ่งที่หลิงม่อคิดไม่ถึงคือ เหล้าขวดเดียวยังไม่ทันดื่มหมด สองสาวซอมบี้ก็เมาซะแล้ว!
แม้สีหน้ายังดูซีดขาวเหมือนเดิม แต่ดวงตากลับเป็นสีแดงเรื่อ แต่อยู่ในระดับที่พอๆ กับหลิงม่อตอนนี้ จึงไม่มีทางถูกคนอื่นมองออกว่าเป็นซอมบี้
แต่ประเด็นสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของพวกเธอสองคนรุนแรงขึ้นฉับพลัน สีหน้าที่มองหลิงม่อก็กลายเป็นประหลาดนิดๆ...
“ไม่หรอกมั้ง หรือว่าซอมบี้กินเหล้าไม่ได้? นั่นสิ...แอลกอฮอล์คงปลุกสัญชาตญาณของพวกเธอให้ตื่นขึ้นล่ะมั้ง...”
หลิงม่อคิดพลางมีสีหน้าไม่ดี พลางถอยไปด้านหลังช้าๆ
คนที่กระโจนเข้าหาหลิงม่อก่อนคือเย่เลี่ยน แต่เธอเพิ่งจะอ้าปาก สีหน้าก็ปรากฎให้เห็นการต่อสู้ขัดขืน และสุดท้ายเธอก็หยุด
แต่ซย่าน่าต่างออกไป เธอกระโจนมาตรงหน้าหลิงม่อ แล้วดึงแขนหลิงม่อ
หลิงม่อฝืนใช้หนวดสัมผัสหยุดการกระทำขั้นต่อไปของซย่าน่าพลางบอก “เธอพูดแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่กัดฉัน...”
ซย่าน่าชะงัก จากนั้นก็กระโจนเข้ามาอย่างไม่ยอมเลิกรา “ฉันไม่ได้จะกัดนาย...ฉันแค่...จะจูบเท่านั้นเอง...”
เธอยึดแขนหลิงม่อไว้ด้วยแขนสองข้าง ดวงตาสีแดงเรื่อจ้องกลีบปากหลิงม่อเขม็ง จากนั้นก็เข้ามาใกล้ทีละนิดๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายมีสายสัมพันธ์ทางจิตอยู่หรือเปล่า หนวดสัมผัสของหลิงม่อจึงมีผลกับซย่าน่าไม่มาก หลังจากที่ซย่าน่าได้ดื่มแอลกอฮอล์แล้วก็กลายเป็นควบคุมยาก
ที่แย่ที่สุดคือ เย่เลี่ยนก็กระโจนเข้ามาอีกหนและดึงแขนหลิงม่อไว้เหมือนกัน
“นี่มันจูบตรงไหนเนี่ย เห็นชัดๆ ว่าเธอจะกัดฉัน...” หลิงม่อถูกบีบให้ถอยหลังทีละก้าวๆ สุดท้ายทั้งสามคนก็กลิ้งลงบนที่นอนที่ปูบนพื้น
แม้ซอมบี้สาวสองตัวนี้จะคลั่งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็ยังมีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมกับเขาอยู่ แต่หลิงม่อก็ไม่กล้าผ่อนคลายสักนิดเดียว
คงเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอก สื่อปินเดินออกมาจากโกดังสินค้า
พอเห็นฉากที่ทำให้หน้าแดงใจเต้น สีหน้าของสื่อปินก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจสุดๆ เขายืนทื่ออยู่สิบกว่าวินาที แล้วจึงรีบร้อนหันกลับไปปิดประตูโกดังสินค้า จากนั้นก็รีบเดินผ่านไปทางห้องครัวด้วยท่าทางแบบไม่อยากมองเรื่องที่ไม่ควรมอง
จนกระทั่งประตูใหญ่ของห้องครัวปิดดัง ‘ปัง’ สื่อปินจึงได้ส่งเสียง ‘ถุย’ ออกมาด้วยความขุ่นเคือง “ฟ้ายังไม่ทันมืด ก็ทำเรื่องไม่รู้จักอายแบบนี้แล้ว...”