ราชันย์เร้นลับ 31 : โอสถ
ราชันย์เร้นลับ 31 : โอสถ
ดันน์·สมิทจ้องมองไคลน์ด้วยนัยน์ตาสีเทาโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งนาที
แม้จะถูกสายตากดดัน แต่ไคลน์มีได้แสดงท่าทีสะดุ้งแต่อย่างใด มันยังคงประสานสายตากับดันน์อยู่เช่นนั้น
“ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าดื่มโอสถไปแล้ว คุณจะถอยหลังกลับไม่ได้อีก”
ดันน์กล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกแต่ไร้อารมณ์
ไคลน์ฉีกยิ้ม
“ผมทราบครับ แต่ผมขอเลือกที่จะทำตามเสียงของหัวใจ”
ประการแรก พลังของผู้ไร้หลับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่มันต้องการ เช่นเดียวกับพลังของโอสถ ‘ผู้ชม’ ซึ่งเคยได้ยินจากชุมนุมไพ่ทาโร่ต์
ไคลน์ไม่แน่ใจว่าตนจะมีโอกาสพบเบาะแสโอสถเส้นทางอื่นอีกตอนไหน ดังนั้นสุภาษิตที่ว่า ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม คงไม่เหมาะกับสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจจึงอยู่ในขอบเขตที่โบสถ์เทพธิดารัตติกาลจัดหาได้ เหลือเพียงผู้เก็บซากศพ นักทำนาย และผู้ส่องความลับ
และเมื่อตัดผู้เก็บซากศพออกไป ตัวเลือกึงเหลือเพียงผู้ส่องความลับและนักทำนาย
ทั้งสองเส้นทางอ่อนแอด้านการต่อสู้ทั้งคู่ และชำนาญในเวทมนตร์พิธีกรรมเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ช่วยให้ไคลน์ตัดสินใจได้หนักแน่นคือ เนื้อความซึ่งเขียนอยู่ในไดอารีของจักรพรรดิโรซาย—ชายคนนั้นเสียใจที่ไม่ได้เลือกหนึ่งในสามเส้นทาง ประกอบด้วยผู้ฝึกฝน นักจารกรรม และนักทำนาย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘การสวมบทบาท’ และ ‘การย่อย’ ที่ไคลน์ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เพียงแต่ทราบว่า สองสิ่งดังกล่าวถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดโอกาสคลุ้มคลั่งของผู้วิเศษ แถมยังช่วยดึงประสิทธิภาพของโอสถออกมาถึงขีดสุด
ส่วนเสียงประหลาดที่คอยตามหลอกหลอนในหัว เสียงประหลาดที่จูงใจให้ผู้วิเศษตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ไคลน์ได้ยินพวกมันก่อนจะกลายเป็นผู้วิเศษเสียอีก
“เข้าใจแล้ว”
ดันน์หยิบหมวกทรงกึ่งสูงขึ้นมาสวม
“ตามผมลงไปข้างล่าง”
ไคลน์พยักหน้าพลางถอดหมวกคำนับ
กึก กึก กึก
คนทั้งสองมุ่งหน้าลงไปยังชั้นล่าง เสียงฝีเท้าดังสะท้อนทั่วทางเดินมืดสลัว
ไคลน์เริ่มเกิดภาวะตึงเครียด มันพยายามหาเรื่องคุย
“หัวหน้าครับ คุณบอกว่าโอสถจะไม่มอบความรู้ด้านเวทมนตร์และสิ่งเหนือธรรมชาติให้ผม เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาและขวนขวายด้วยตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นจริง บรรพบุรุษของเราหาความรู้จากไหนกัน? ต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนกับการไขปริศนาโอสถหรือไม่?”
ทางเดินใต้ดินยังมีบรรยากาศเหมือนกับทุกครั้ง อากาศที่นี่บริสุทธิ์มาก แถมมีระบบถ่ายเทที่ดี แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์กลับเย็นสันหลังวาบเมื่อมีสายลมพัดผ่าน
ดันน์หันมาจ้องไคลน์ ท่ามกลางแสงไฟสลัว นัยน์ตาเทาของมันลุ่มลึกกว่าปรกติ
ดันน์ตอนกลับอย่างสุขุม
“ถูกต้อง บรรพบุรุษอาศัยการทดลองและสรุปผล แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในสามวิธีที่มนุษย์ได้รับความรู้ของศาสตร์เหนือธรรมชาติ
“วิธีที่สองคือ เทพประทานความรู้ให้โดยตรง และวิธีที่สามคือ เอ่อ… เป็นความรู้ที่ได้จากเสียงเพรียกกระซิบซึ่งผู้วิเศษได้ยินเฉพาะบุคคล ใช่แล้ว… มันเป็นเสียงเย้ายวนที่อันตรายมาก แต่ในบางครั้งก็มอบความรู้ที่มนุษย์ไม่เคยทราบมาก่อน
“ทว่า จากข้อมูลด้านสถิติ ผู้วิเศษทุกคนที่ตั้งใจฟังเสียงดังกล่าวล้วนมีจุดจบเดียวกันคือคลุ้มคลั่ง
“ถึงอย่างนั้น มนุษยชาติก็ติดหนี้บุญคุณพวกเขาที่ยอมเสียสละตัวเอง บันทึกหรือไดอารีที่พวกเขาทิ้งไว้ก่อนตายล้วนเป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังอย่างมหาศาล”
หนูทดลอง?
อากาศเย็นยะเยียบของโถงทางเดินส่งผลให้ร่างกายไคลน์เริ่มสั่นเทา
ถ้าอย่างนั้นแล้ว พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตาของเรา ที่จะได้ยินเสียงกระซิบทุกครั้งหลังจากเดินทวนเข็มเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส จะส่งผลให้เราเกิดอาการคลุ้มคลั่งในอนาคตเหมือนกันหรือไม่?
เมื่อมาถึงทางแยก ดันน์มิได้ตรงไปยังประตูยานิส และมิได้เลี้ยวขวาไปคลังอาวุธ คลังอุปกรณ์ หรือคลังเก็บของเก่า แต่มันเลือกเลี้ยวซ้ายไปยังมหาวิหารพระแม่เซเลน่า
ทว่า ขณะมาเดินถึงกลางทาง หัวหน้าเหยี่ยวราตรีชะงักฝีเท้าและใช้มือกดปุ่มเปิดประตูลับอย่างรวดเร็ว ไคลน์ไม่ทันสังเกตุว่าดันน์กดลงไปยังจุดใด
“ที่นี่คือห้องแปรธาตุของเหยี่ยวราตรี ผมจะบอกให้ลุงนีลล์หยิบสูตรโอสถนักทำนายรวมถึงส่วนผสมที่ใช้ออกมาจากประตูยานิส แล้วก็…
“คุณโชคดีมากเลยนะ สงสัยเป็นเพราะเทพธิดาคอยอำนวยพร เหยี่ยวราตรีของเราจึงยังเหลือวัสดุสำหรับผลิตโอสถนักทำนายได้อีกสองขวด ไม่อย่างนั้นคงต้องรอไปอีกพักใหญ่”
ดันน์ชี้นิ้วเข้าไปในห้อง
“นั่งรอด้านในก่อน ลุงนีลล์จะมาผสมโอสถให้ที่นี่ คุณต้องคอยศึกษาไว้ ถือเป็นพื้นฐานของศาสตร์พลังเหนือธรรมชาติ แล้วก็… ห้ามแตะต้องอุปกรณ์ภายในห้องโดยพละการ พวกมันแพงมาก อันตรายมาก หรือไม่ก็ทั้งคู่”
เมื่อกล่าวจบ ดันน์เว้นวรรคไปพักหนึ่งก่อนจะพูดเสริมเหมือนทุกครั้ง
“เอ่อ… จริงด้วย ผมลืมบอกไป คุณกลายเป็นผู้วิเศษเนื่องจากถูกคนขององค์กรลับสะกดรอยและรื้อค้นบ้าน การตัดสินใจของคุณทำให้เหยี่ยวราตรีได้รับข้อมูลสำคัญ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความดีความชอบตรงนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ได้แปลว่าคุณกลายเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแล้ว คุณยังคงเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือนเช่นเคย ค่าตอบแทนรายสัปดาห์จึงไม่เปลี่ยนแปลง
“หน้าที่ของคุณคล้ายคลึงของเดิม พยายามเดินสำรวจเบาะแสระหว่างบ้านเวิร์ชและหอพัก แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ คุณต้องตั้งใจศึกษาศาสตร์เหนือธรรมชาติกับลุงนีลล์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ส่วนเรื่องเวลาให้นัดแนะกันเอาเอง”
“เข้าใจแล้วครับ”
สิ่งเดียวที่ตะขิดตะขวงใจไคลน์คือการที่ค่าตอบแทนไม่เพิ่มขึ้น… นอกนั้นเขารับได้
จากคำบอกเล่าของดันน์ก่อนหน้านี้ ผู้วิเศษจำเป็นต้องทำความเคยชินกับพลังของโอสถไปอีกสักพัก หมายความว่า หากมันถูกบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทันทีและต้องออกปฏิบัติภารกิจเหนือธรรมชาติ สิ่งเดียวที่รออยู่คงเป็นความตายแน่แท้
ขณะดันน์เดินกลับไปถึงทางแยก มันหันหลังมาเรียกไคลน์อีกหน
“ยังมีอีกเรื่อง”
นั่นปะไร…
ไคลน์เริ่มเคยชินกับ ‘รูปแบบ’ ของหัวหน้าผู้นี้แล้ว
“พวกเราสามารถวิเคราะห์การกระทำของลัทธิเร้นลับได้บางส่วน”
ดันน์กล่าวด้วยน้ำเสียงปรกติ
“มีความเป็นได้สูงที่พวกมันจะไม่ก่อกวนคุณอีกในอนาคต แต่อย่าประมาทไว้จะดีกว่า เพราะตราบใดที่พวกเรายังไม่มีความชัดเจนว่า สมุดบันทึกอันทีโกนัสมีความสำคัญกับพวกมันในระดับใด
“จากการสำรวจเบื้องตน สมุดเล่มนี้เป็นของโบราณจากยุคสมัยที่สี่จริง มีพลังอำนาจบางอย่างแอบแฝงอยู่ และยังเกี่ยวพันธ์กับจักรวรรดิโซโลม่อนและขุนนางทุจริตในสมัยนั้นโดยตรง”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากหัวหน้า”
ไคลน์ถอนหายใจยาว
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ว่า ทำไมไคลน์ถึงต้องรีบกลายเป็นผู้วิเศษนัก
เมื่อเห็นดันน์เดินลับสายตาโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ไคลน์จึงย่างกรายเข้าไปในห้องแปรธาตุ
ด้านในมีโต๊ะยาวตั้งอยู่พร้อมกับอุปกรณ์หลากหลายชนิด ทั้งหลอดทดลอง หลอดหยด ตราชั่ง รวมถึงเบ้าหลอม คล้ายคลึงกับอุปกรณ์ในคาบเรียนวิทยาศาสตร์มาก เพียงแต่โบราณและไม่ละเอียดเท่าเครื่องไม้เครื่องมือยุคปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังมีหม้อต้ม ทัพพีไม้สีเข้ม บอลคริสตัล และอุปกรณ์ที่ไม่คุ้นเคยอีกหลายชนิด แถมยังมีตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกตกแต่งอยู่ทั่วห้อง มอบบรรยากาศลึกลับเหนือคำบรรยาย
ไคลน์กวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างสนอกสนใจ แต่แน่นอน มันไม่โง่พอจะใช้มือสัมผัสจับต้อง
ถัดมาไม่นาน เสียงฝีเท้าขึ้นจากด้านนอก เป็นลุงนีลล์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องสีเงินสลักลวดลายซับซ้อน
ลุงนีลล์ยังคงสวมชุดคลุมสีดำซึ่งไม่เข้ากับยุคสมัย แต่ดันเข้ากับหมวกสักหลาดที่มีสีเดียวกันอย่างลงตัว
“เจ้าหนุ่ม นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางนักทำนาย”
ลุงนีลล์วางกล่องสีเงินลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้นัยน์ตาสีแดงที่เริ่มขุ่นมัวจ้องพิจารณาไคลน์
“นิสัยของเจ้าเหมือนกับฉันตอนยังหนุ่มไม่มีผิด ไม่ชอบที่จะเหมือนใคร หลงไหลการแสวงหาความรู้… ไม่เลว เอาล่ะ ช่วยฉันจุดโคมไฟในห้องก่อน จากนั้นก็ปิดประตู”
“ครับ”
ไคลน์ระวังตัวสุดขีดขณะเอื้อมมือเปิดโคมไฟแก๊สที่ติดกับผนังห้อง มันไม่ต้องการทำสิ่งใดหล่นแตก เพียงไม่นาน ห้องแปรธาตุก็สว่างไสวเหมาะแก่การทำงาน
แกร่ก!
ประตูลับถูกปิดสนิท ไคลน์หันกลับมาพบชายชราผมขาวที่มีริ้วรอยลึกหลายแห่งบนใบหน้า ปัจจุบัน ลุงนีลล์กำลังใช้เศษกิ่งไม้ประหลาดขูดกับหม้อต้มสีดำสนิท
“การปรุงโอสถระดับต่ำงั้นง่ายมาก อย่างน้อยก็จนถึงลำดับเจ็ด ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้เพลิงชนิดพิเศษหรือพิธีกรรมประหลาด แถมคาถาก็เรียบง่าย
“แค่ผสมวัสดุตามปริมาณที่ระบุไว้ในสูตร ทำตามขั้นตอนโดยไม่บิดเบือน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ลุงนีลล์ฉีกยิ้มกว้าง
“แค่นี้เองหรือครับ?”
ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย
ง่ายขนาดนี้เชียว? ง่ายเหมือนกับพิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตา…
ง่ายจนน่ากลัว
“คงเป็นของขวัญจากเทพกระมัง… เทพธิดาจงเจริญ”
ลุงนีลล์ทำสัญลักษณ์ดาวแดงสี่จุดบริเวณหน้าอก ก่อนจะเปิดกล่องเงินและนำกระดาษหนังแพะที่มีสภาพเก่าแก่โบราณออกมา
กระดาษหนังแพะสีน้ำตาลอมเหลืองค่อยๆ ถูกคลีออกทีละนิดจนเผยให้เห็นอักษรด้านใน ไคลน์แอบชำเลืองจากระยะห่าง…
เป็นอักษรเฮอร์มิส ภาษาที่มันคุ้นเคย
หมึกบนกระดาษมีสีแดงเข้มราวกับเขียนด้วยเลือด แถมคับคล้ายคับคลาว่ายังไม่แห้งสนิท แต่ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษนอกเหนือจากนี้
“นักทำนาย : น้ำบริสุทธิ์ 100 มิลลิลิตร วานิลลาราตรี 13 หยด มิน์ทองคำ 7 ใบ…”
ไคลน์พยายามอ่านเนื้อความ แต่อักษรที่เหลือถูกบดบังโดยข้อมือของลุงนีลล์อย่างมิดชิด
“น้ำบริสุทธิ์คือน้ำที่ผ่านการกลั่นซ้ำหลายสิบหน โชคดีที่ฉันทำเตรียมไว้ล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง เราจึงข้ามขั้นตอนนี้ไปได้”
ขณะกล่าว ลุงนีลล์เอื้อมมือหยิบขวดแก้วที่ปิดสนิทบนโต๊ะด้วยความเคยชิน จากนั้นก็บิดฝาและเทน้ำบริสุทธิ์ประมาณ 100 มิลลิลิตรลงในหม้อต้มโดยไม่คิดมาก
ไคลน์ไม่กล้าถามสิ่งใด กลัวว่าตนจะไปรบกวนสมาธิการผสมของลุงนีลล์ เพราะแต่ไหนแต่ไร ตัวมันมีหน้าที่แค่ดื่ม
“วานิลลาราตรี 13 หยด… นี่ก็เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน มันถูกใช้ในหลายโอกาสมาก”
ลุงนีลล์นำขวดสีน้ำตาลใบเล็กออกจากกล่องเงิน เปิดฝาและใช้หลอดหยดดูดขึ้นไปเล็กน้อย ก่อนจะหยดลงในหม้อต้มจำนวน 13 หยดถ้วนด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เกิดกลิ่นเย้ายวนเจือจางลอยจากปากหม้อ ไคลน์สัมผัสได้ถึงความสงบอย่าน่าประหลาด
“มินท์ทองคำ 7 ใบ…”
ลุงนีลล์หยิบกระปุกสีเงินขนาดไม่ใหญ่มากออกมาเปิดฝา ปลายนิ้วคีบใบไม้ออกมาใส่หม้อทั้งหมดเจ็ดครั้ง จากนั้นก็ใช้จมูกสูดดมกลิ่นในหม้อดังฟุดฟิด
“4, 5, 6, 7… สมบูรณ์แบบ”
ลุงนีลล์ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะก้มหน้าอ่านสิ่งที่เขียนบนกระดาษหนังแพะต่อ
“พิษจากใบเฮ็มล็อค 3 หยด… นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรกินส่งเดช พิษของใบไม้ชนิดนี้จะทำให้รู้สึกชาไปทั้งตัว หากดื่มเข้าไปในปริมาณมากอาจถึงตายได้ เป็นวิธีฆ่าตัวตายที่คนสมัยโบราณนิยมใช้”
เอ่อ… ผมคงไม่โง่ขนาดนั้นกระมัง
ไคลน์รำพันกับตัวเอง
ลุงนีลล์นำหลอดหยดอันใหม่ออกมาดูดของเหลวในขวด ก่อนจะหยดพิษใบเฮ็มล็อคลงไปในหม้อต้ม ของเหลวในหม้อผสมผสานกันจนเกิดกลิ่นประหลาดที่มอบความรู้สึกสดชื่น
“ผงหญ้าโลหิตมังกร 9 กรัม…”
ลุงนีลล์รื้อค้นกล่องสีเงินสักพักก่อนจะหยิบหลอดแก้วที่ด้านในมีผงสีดำบรรจุออกมา จากนั้นก็เทใส่ถ้วยบีเกอร์ที่วางอยู่บนตราชั่งจนครบ 9 กรัม
มันคว่ำบีเกอร์เทผงใส่หมอต้มพร้อมกับคนกวนส่วนผสมทั้งหมดสองรอบด้วยทัพพีไม้สีเข้ม
ท่าทีเฉื่อยฉาและไม่พิถีพิถันของลุงนีลล์ทำให้ไคลน์เป็นกังวลเล็กน้อย
“อันที่จริง วัตถุดิบเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสริม ไม่จำเป็นต้องตามสูตรเป๊ะๆ ก็ได้ หืม… จะใส่เพิ่มอีกสักนิดดีรึเปล่านะ?”
ลุงนีลล์กล่าวติดตลก
“แต่วัตถุดิบอีกสองชนิดที่เหลือนั้นไม่ใช่ เราสามารถใส่น้อยกว่าปรกติได้ แต่ต้องไม่ห่างจากที่ระบุในสูตรมากนัก ไม่อย่างนั้นการปรุงโอสถจะล้มเหลว… และห้ามใส่เกินโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น เจ้าเตรียมตัวกลายเป็นคนเสียสติได้เลย แถมยังมีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตคาที่”
ไคลน์พลันตึงเครียดขณะลุงนีลล์หยิบโหลแก้วสีดำออกจากกล่องสีเงิน
“โลหิตหมึกลาวา 10 มิลลิลิตร… เจ้านี่เป็นสายพันธุ์ที่แปลกมาก เรียกว่าสัตว์วิเศษก็ไม่ผิดนัก น่าจะกลายพันธุ์มาอีกทอดหนึ่ง เลือดของมันจะเสื่อมคุณสมบัติทันทีที่โดนแสงแดด เราจึงต้องเก็บไว้ในภาชนะทึบแสง”
โทนเสียงของลุงนีลล์ไม่ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้า มันบรรจงตวงเลือดสิบหยดใส่หลอดแก้วอย่างระมัดระวัง
โลหิตหมึกลาวาจะมีสีฟ้าเรืองแสงเหมือนกับท้องฟ้า มันจะพ่นฟองอากาศลวงตาตลอดเวลาราวกับเป็นประตูกับเชื่อมต่อโลกวิญญาณ
“หลังจากตวงเสร็จ ต้องเทมันออกสักสองสามหยดเพื่อไม่ให้ปริมาณเกินที่กำหนด”
ลุงนีลล์กล่าวเสียงค่อย
ในวินาทีที่เลือดสีฟ้าสัมผัสกับของเหลวในหม้อต้ม เกิดเสียงฟองผุดคล้ายกับน้ำเดือด บรรยากาศรอบห้องแปรธาตุถูกอาบด้วยแสงสีฟ้าครามทันใด
ไคลน์รู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
เหมือนกับ… ตอนอยู่ในท้องแม่
โลหิตหมึกลาวามีอำนาจกระตุ้นดวงวิญญาณของมนุษย์มากเพียงนั้น
“และสุดท้าย คริสตัลวารีดาว 50 กรัม”
เสียงของลุงนีลล์ได้ปลุกให้ไคลน์กลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง มันรีบมองไปบนโต๊ะ
ในมือชายชรากำลังถือเศษคริสตัลที่ใสบริสุทธิ์อย่างน่าเหลือเชื่อ และที่แปลกคือ ผิวของมันไม่ได้มีลักษณะเหลี่ยมแข็ง แต่โค้งมนคล้ายคลึงกับเยลลีสีใสเสียมากกว่า
แสงสีฟ้ารอบห้องส่องสะท้อนคริสตัลจนเกิดประกายระยิบระยับประหนึ่งบรรจุดวงดาวไว้ด้านใน
“นี่เป็นวัสดุหายากสำหรับสร้างคริสตัลทำนาย… ต้องใช้ให้ประหยัดและคุ้มค่าที่สุด”
ลุงนีลล์กล่าวพลางใช้มีดเงินเล่มเล็กที่มีลวดลายซับซ้อนกรีดแยกคริสตัลออกจากกัน
“น้ำบริสุทธิ์ วานิลลาราตรี ใบมินท์ทองคำ พิษใบเฮ็มล็อค ผงหญ้าโลหิตมังกร เลือดหมึกลาวา และคริสตัลวารีดาว ทั้งหมดสำหรับโอสถนักทำนาย…”
ไคลน์ทวนวัถตุดิบซ้ำ
เมื่อจัดการเสร็จ ลุงนีลล์หยิบเศษคริสตัลวารีดาวใส่หม้อต้มจนครบห้าสิบกรัม
ซู่วว—
หมอกสีเทาฟุ้งขโมงออกจากหม้อต้ม บรรยากาศภายในห้องแปรธาตุพลันตลบอบอวล
ท่ามกลางหมอกคละคลุ้ง ไคลน์มองเห็นดวงดาวจำนวนมากส่องแสงระยิบระยับ ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับถูกสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังจ้องมอง
หมอกเทาสลายไปในอีกหลายวินาทีถัดมา ลุงนีลล์รีบใช้ทัพพีไม้ตักของเหลวเหนียวหนืดออกจากหม้อต้ม ลักษณะของมันนุ่มเหนียวและเกาะกันเป็นเนื้อเดียว ไม่มีแม้แต่หนึ่งหยดที่เหลือค้างติดก้นหม้อ
ลุงนีลล์นำของเหลวดังกล่าวใส่แก้วสีขุ่นเบื้องหน้าก่อนจะชี้นิ้ว
“เสร็จแล้ว โอสถนักทำนายของเจ้า”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/