ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 29 : ‘งาน’ และบ้านเช่าคือสิ่งสำคัญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 31 : โอสถ

ราชันย์เร้นลับ 30 : เริ่มต้นใหม่


ราชันย์เร้นลับ 30 : เริ่มต้นใหม่

 

บ้านเลขที่ 2, 4 และ 6 บนถนนดารารัตน์คือบ้านแถวสามหลังตัดกัน หลังคาเป็นทรงปั้นหยาหลายเหลี่ยม ภายนอกถูกทาด้วยสีเทาอมฟ้า ปล่องไฟสามปล่องเรียงรายบ้านละหนึ่งหลัง

 

แน่นอน บ้านแถวย่อมไม่มีลานหญ้า สวนดอกไม้ หรือเฉลียงหน้าบ้าน ประตูทางเข้าอยู่ติดกับทางเดินริมถนน

 

สกาเตอร์แห่งสำนักงานจัดหาบ้านสาขาทิงเก็นหยิบพวงกุญแจออกมาไขประตูหน้า ก่อนจะอธิบายเสริม

 

“บ้านแถวของพวกเราจะไม่มีโถงใหญ่ไว้สำหรับรับแขก เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบกับห้องนั่งเล่นทันที แต่บริเวณด้านหน้าจะมีมุขหน้าต่าง*สำหรับรับแสง ความสว่างภายในบ้านจึงพอเหมาะ”

 

( มุขหน้าต่าง — หน้าต่างบานใหญ่ที่นูนยื่นออกจากตัวบ้าน พบเห็นได้บ่อยในสิ่งก่อสร้างทรงยุโรป )

ไคลน์ เบ็นสัน และเมลิสซ่าเปิดประตูเข้าไปพบกับโซฟาผ้าที่กำลังถูกแสงแดดสีทองสาดทอด และแน่นอน ภายในบ้านกว้างขวางกว่าหอพักสองห้องนอนเดิมของพวกมันมาก

 

“ห้องนั่งเล่นสามารถใช้แทนห้องรับแขกได้ ขวามือเป็นห้องทานอาหาร ส่วนซ้ายมือเป็นเตาผิงที่จะช่วยปรับอุณหภูมิในฤดูหนาว”

 

สกาเตอร์อธิบายคล่องแคล่ว

 

ไคลน์กวาดสายตามองแล้วพบว่า บ้านหลังนี้มีสภาปัตยกรรมภายในที่เรียบง่ายและโปร่งโล่ง ห้องทานอาหารกับห้องนั่งเล่นไม่มีฉากกั้นแบ่ง และค่อนข้างห่างกับมุขหน้าต่าง ส่งผลให้แสงส่องไม่ถึงโต๊ะทานอาหารจะเป็นเวลากลางวัน

 

เก้าอี้ไม้เนื้อแข็งจำนวนหกตัวถูกวางเรียงรอบโต๊ะไม้สีแดงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันคือโต๊ะสำหรับทานอาหาร ส่วนเตาผิงฝั่งซ้ายมือมีลักษณะเหมือนกับที่เคยเห็นในภาพยนต์ยุโรปทุกประการ

 

“ถัดจากห้องทานอาหารจะเป็นห้องครัว แต่พวกเราไม่เตรียมอุปกรณ์ให้ ถัดจากห้องนั่งเล่นเป็นห้องนอนแขกขนาดเล็กและห้องน้ำ…”

 

สกาเตอร์เดินนำทางพาชมบ้านพลางอธิบายไม่ขาดปาก

 

ห้องน้ำแบ่งออกเป็นสองสวน โซนล้างหน้าแปรงฟันและส่วนที่เป็นห้องสุขา กึ่งกลางกั้นด้วยบานเฟี้ยมที่พับยืดหดได้

 

ห้องนอนแขกที่ถูกบรรยายว่าเล็ก แต่ขนาดของมันกลับใหญ่เท่าห้องปัจจุบันของเมลิสซ่า

 

หลังจากสำรวจชั้นล่างครบถ้วน สกาเตอร์นำทางสามพี่น้องไปยังบันไดที่อยู่ติดกับห้องน้ำ

 

“ข้างล่างเป็นห้องเก็บของใต้ดิน บรรยากาศค่อนข้างอบอ้าว อย่าลืมเปิดให้อากาศถ่ายเทสักพักก่อนลงไป”

 

เบ็นสันพยักหน้าก่อนจะเดินตามสกาเตอร์ขึ้นไปชั้นสอง

 

“ซ้ายมือจะมีหนึ่งห้องน้ำและสองห้องนอน ด้านขวามือก็เช่นกัน แต่ฝั่งนี้จะมีระเบียงถัดจากห้องน้ำ”

 

ขณะกำลังพูด สกาเตอร์เอื้อมมือไปเปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับขยับตัวหลบเพื่อให้เบ็นสัน ไคลน์ และเมลิสซ่าเห็นวิวด้านใน

 

เป็นห้องน้ำใหญ่ที่มีอ่างอาบน้ำติดตั้ง แต่ยังเหมือนกับห้องด้านล่างที่กึ่งกลางมีบานเฟี้ยมกั้นแบ่งระหว่างห้องสุขากับอ่างล้างหน้า

 

ถึงฝุนจะค่อนข้างมาก แต่เป็นเพราะขาดการทำความสะอาด ตัวห้องน้ำอยู่ในสภาพดี มิได้ปรากฏคราบสกปรก กลิิ่นเหม็น หรือแออัดคับแคบแต่อย่างใด

 

เมลิสซ่าจ้องมองด้วยสีหน้าเหม่อลอยเป็นเวลานาน จนกระทั่งสกาเตอร์เดินเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ถัดไป เธอยังคงยืนเงียบงันอยู่ในจุดเดิมอีกสักพัก ก่อนจะเดินตามคนที่เหลือไปชมห้องนอน

 

ทว่า หลังจากเมลิสซ่าก้าวไปได้สองก้าว เธอชะงักฝีเท้าและหันกลับไปมองห้องน้ำอีกครั้ง

แม้ไคลน์จะเคยผ่านประสบการณ์มามาก แต่มันก็ยังตื่นเต้นเหมือนกับทุกคน ที่หอพักห้องเก่า มิสเตอร์แฟรงค์อาจทำความสะอาดห้องน้ำรวมบ่อยครั้ง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาความสะอาดได้ตลอดเวลา สภาพน่าคลื่นไส้อาเจียนสามารถพบเห็นบ่อยครั้ง ยังไม่รวมถึงความทุกข์ใจขณะปวดหนักแต่ต้องต่อคิวยาวเหยียด

 

ห้องน้ำอีกหนึ่งนั้นคล้ายคลึงกับห้องแรก

 

จากบรรดาห้องนอนที่มีจำนวนสี่ จะมีหนึ่งห้องที่ใหญ่พิเศษ เฟอร์นิเจอร์ภายในครบครันพร้อมด้วยตู้หนังสือ

 

ส่วนห้องนอนอีกสามจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานครบถ้วน จำพวกเตียง โต๊ะไม้ และตู้เสื้อผ้า

 

“ระเบียงค่อนข้างเล็ก คงยากที่จะตากเสื้อผ้าให้แห้งพร้อมกันในแดดเดียว”

 

สกาเตอร์กล่าวพลางชิ้นนิ้วไปยังสุดทางเดินซึ่งมีประตูบานหนึ่งถูกล็อคอยู่

 

“บ้านหลังนี้มีระบบระบายน้ำสมบูรณ์แบบ มีระบบท่อแก๊ส มิเตอร์แก๊ส รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นพื้นฐาน

 

“เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดย่อมของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแบบพวกคุณ ค่าเช่าบ้านจะอยู่ที่สิบสามซูลต่อสัปดาห์ แต่จะมีค่าเช่าเฟอร์นิเจอร์อีกห้าเพนนีต่อสัปดาห์ และต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าสี่สัปดาห์”

 

ขณะเบ็นสันกำลังจะกล่าวบางสิ่ง ไคลน์กวาดสายตามองหนึ่งรอบพร้อมกับชิงถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้

 

“เอ่อ… ถ้าจะซื้อบ้านสักหลักต้องใช้เงินเท่าไรหรือครับ?”

 

ในฐานะอดีตพลเมืองของจักรวรรดิแห่งอาหาร·จีนแผ่นดินใหญ่ มันย่อมต้องการครอบครองทรัพย์สินอย่างถาวร

 

หลังจากได้ยินคำถาม เบ็นสันและเมลิสซ่าต่างตกตะลึงประหนึ่งเห็นพี่ชายน้องชายของตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด

 

สกาเตอร์ตอบกลับอย่างสุขุมลุ่มลึก

 

“ซื้อ? สำนักงานของเราไม่มีบ้านขายหรอกครับ บริการรูปแบบเดียวคือให้เช่า”

 

“ผมแค่ต้องการทราบราคาอย่างคร่าว”

 

ไคลน์อธิบายกระอักกระอ่วน สกาเตอร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมอบคำตอบ

 

“เมื่อราวเดือนก่อน เจ้าของบ้านเลขที่ 11 ถนนดารารัตน์ได้ขายสัญญาเช่าบ้านแบบชั่วคราวเป็นเวลา 15 ปีไปในราคา 300 ปอนด์ ลักษณะของบ้านไม่ต่างจากหลังนี้มากนัก

 

“จริงอยู่ที่ถูกกว่าการเช่าค่อนข้างมาก แต่คงยากที่ใครสักคนจะมีเงินติดตัวก้อนโตขนาดนั้น และนั่นเป็นเพียงสัญญาเช่า หากต้องการซื้อขาด ราคาคงอยู่ราว 850 ปอนด์”

 

850 ปอนด์? ไคลน์รีบคำนวนในหัวสมอง

 

รายได้ของตนคือสัปดาห์ละสามปอนด์ ของเบ็นสันคือหนึ่งปอนด์กับอีกสิบซูล… รายจ่ายแบ่งออกเป็น ค่าเช่าบ้านสิบสามซูล และถ้าหากกินอาหารแบบไม่อดอยาก ค่าใช้จ่ายรวมทั้งครอบครัวจะตกราวสัปดาห์ละสองปอนด์ ยังมีค่าจิปาถะอย่างเสื้อผ้า การเดินทาง และภาษีสังคม

หมายความว่า ครอบครัวสามพี่น้องจะเหลือเงินเก็บเพียงสัปดาห์ละยี่สิบซูล หรือปีละ 35 ปอนด์ หากต้องการเก็บเงินให้ได้ 850 ปอนด์จะต้องใช้เวลามากถึง 20ปี

 

หรือถ้าจะเก็บเงินเช่าบ้านระยะยาว 15 ปีในราคา 300 ปอนด์ ก็จะต้องเก็บเงินนานกว่า แปดถึงเก้าปีเลยทีเดียว… นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอย่างการแต่งงาน เลี้ยงลูก ท่องเที่ยว และอีกมาก…

ในโลกที่ไม่มีิิสินเชื่อรายบุคคลสำหรับกู้ซื้อบ้าน ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเช่าบ้านอยู่อาศัยแทน

 

หลังจากกระจ่าง ไคลน์ก้าวถอยหลังพลางชำเลืองมองเบ็นสันเพื่อส่งสัญญาให้มันเจรจาสัญญาเช่ากับสกาเตอร์

 

ส่วนความเห็นจากเมลิสซ่านั้นไม่จำเป็น เพราะดวงตาที่กำลังเปล่งประกายของเธอคือคำตอบ!

 

ด้วยเหตุนี้ ไคลน์ปล่อยให้เบ็นสันแสดงพลังของนักต่อรองอย่างเต็มที่ เบ็นสันใช้นิ้วเคาะไม้ค้ำที่ราบเรียบก่อนจะกล่าวตำหนิบ้าน

 

“พวกเราควรไปดูบ้านอื่นก่อนนะ ห้องทานอาหารมีแสงน้อยเกินไป ระเบียงชั้นสองเล็กมาก ตากผ้าสามคนพร้อมกันไม่ได้ มีห้องนอนเดียวที่มีเตาผิง และเฟอร์นิเจอร์ที่เตรียมไว้ก็เก่าโทรมคร่ำครึ หายคิดย้ายเข้าจริง พวกเราต้องเปลี่ยนเกินกว่าครึ่ง…”

 

เบ็นสันพล่ามข้อเสียของบ้านอย่างทะลุปรุโปร่งนานกว่าสิบนาที มันพยายามโน้มน้าวให้สกาเตอร์เข้าใจว่าเหตุใดต้องลดค่าเช่าบ้านเหลือเพียงสิบสองซูลต่อสัปดาห์ และลดค่าเช่าเฟอร์นิเจอร์เหลือสัปดาห์ละสามเพนนี แถมยังพยายามต่อรองค่ามัดจำก้อนแรกให้เหลือเพียงสองปอนด์

 

แต่ท้ายที่สุดก็สำเร็จอย่างน่าเหลื่อเชื่อ!

 

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น สามพี่น้องกลับไปยังสำนักงานจัดหาบ้านเช่าสาขาทิงเก็นเพื่อเซ็นสัญญาเช่าสองฉบับ

 

จากนั้นก็เดินทางไปยังสำนักงานรับรองเอกสารประจำเมืองทิงเก็นเพื่อประทับตรารับรองสัญญาเช่า

 

หลังจากจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้า ไคลน์และเบ็นสันเหลือเงินรวมกันเก้าปอนด์ สองซูล และแปดเพนนี

 

ขณะหยุดยืนหน้าประตูบ้านเลขที่ 2 ถนนดารารัตน์ สามพี่น้องต่างกำกุญแจทองแดงไว้คนละหนึ่งดอก สีหน้าจดจ่ออยู่กับตัวบ้านโดยไม่ละสายตาไปทางไหน อารมณ์หลากหลายกำลังซัดโถมจิตใจจนชุ่มฉ่ำ

 

“เหมือนความฝันเลย…”

 

เมลิสซ่ากล่าวเสียงค่อยขณะแหงนหน้ามอง ‘บ้านโมเร็ตติ’ ซึ่งเป็นอนาคตของทุกคน

 

เบ็นสันอมยิ้ม

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตื่น”

 

ไคลน์ไม่มีอารมณ์ร่วมเหมือนกับสองคนนั้น มันเพียงผงกศีรษะเล็กน้อย

 

“ต้องรีบเปลี่ยนกลอนประตูหน้าและระเบียงโดยเร็ว”

 

“ไม่ต้องรีบก็ได้ สำนักงานจัดหาบ้านเช่าสาขาทิงเก็นมีชื่อเสียงค่อนข้างดี เงินที่เหลือควรนำไปซื้อชุดทำงานใหม่ให้นายมากกว่า แต่ก่อนอื่น พวกเราต้องแวะไปเยี่ยมเยียนมิสเตอร์แฟรงค์”

 

เบ็นสันกล่าวพลางชี้นิ้วกลับหอพัก

 

 

สามพี่น้องเดินกลับมาที่ห้องพักและอบขนมปังไรย์กินจนอิ่มหนำ ก่อนจะเดินทางไปยังบ้านแถวหลังหนึ่งบนถนนกางเขนเหล็ก—บ้านเจ้าของหอพัก—บ้านมิสเตอร์แฟรงค์

 

หลังจากเบ็นสันเคาะประตู เสียงดังเกรี้ยวกราดภายในบ้านเล็ดดังลอดออกมา มิสเตอร์แฟรงค์พยุงร่างเล็กลุกพรวดจากโซฟาตัวโปรดเปิดประตู

 

“คงรู้จักกฏเหล็กของฉันดีแล้วใช่ไหม! ลูกบ้านไม่มีสิทธิ์เลื่อนการชำระค่าเช่าทุกกรณี!”

 

เบ็นสันเอนตัวไปด้านหน้า

 

“มิสเตอร์แฟรงค์ครับ พวกเรามาเพื่อยกเลิกสัญญาเช่า”

 

ตรงไปตรงมาอย่างนี้เลยหรือ? จะไปสำเร็จได้ยังไง? ไคลน์ที่ยืนข้างเบ็นสันพลันขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อหู

ระหว่างทางที่เดินมา เบ็นสันกล่าวด้วยสีหน้าแสนมั่นใจว่า ค่าชดเชยจะไม่มากไปกว่าสิบสองซูลแน่นอน

 

“ยกเลิกสัญญา? ไม่มีวัน! พวกเรายังเหลือสัญญาอีกตั้งครึ่งปี!”

 

แฟรงค์จ้องเบ็นสันเขม็งพลางโบกไม้โบกมือ

เบ็นสันรอให้อีกฝ่ายสงบ ก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น

 

“มิสเตอร์แฟรงค์ อย่าลืมสิ ถ้าพวกเรายกเลิกสัญญา คุณจะทำเงินได้มากขึ้นนะ”

 

“ทำเงินได้มากขึ้น?

 

แฟรงค์ถามอย่างสนอกสนใจ มันเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าผมเพรียวของตน

 

เบ็นสันเริ่มอธิบายอย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย

 

“ห้องพักสองห้องย่อยที่สามพี่น้องเราเช่าในราคาสัปดาห์ละห้าซูลหกเพนนีนั้น หากคุณปล่อยให้ครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหกคนเช่า ถ้ามีสองคนที่ทำงานหาเงิน พวกเขาต้องยินยอมจ่ายในราคามากถึงหกซูลแน่ คนเหล่านี้ล้วนต้องการถีบตัวเองหนีจากถนนสายล่างที่มีอัตราอาชญากรรมสูง”

 

นัยน์ตาแฟรงค์เริ่มระยิบระยับ เบ็นสันทำการตอกลิ่มลงไป

 

“คุณเองก็คงทราบดีใช่ไหม เมื่อไม่นานมานี้ ค่าเช่าห้องพักเฉลี่ยมีอัตราสูงขึ้น ยิ่งพวกเราอยู่นาน คุณก็ยิ่งขาดทุน”

 

“แต่ว่า… ฉันต้องเสียเวลาหาผู้เช่ารายใหม่”

 

แม้จะลังเล แต่สีหน้าของมิสเตอร์แฟรงค์ที่สืบทอดกิจการเช่าหอพักจากผู้เป็นบิดาเริ่มคล้อยตาม

 

“ผมเชื่อว่าคนเก่งและมีความสามารถอย่างคุณต้องหาผู้เช่าใหม่ได้รวดเร็วแน่ อาจภายในสองวันหรือสามวัน… พวกเรายินดีจ่ายค่าชดเชยให้ระหว่างที่คุณกำลังหาผู้เช่ารายใหม่ เอาแบบนี้เป็นไงครับ? พวกเราจะจ่ายให้ก่อนเป็นจำนวนสามซูล เข้าท่าดีใช่ไหม?”

 

เบ็นสันคิดเองเออเองแทนอีกฝ่าย

 

แฟรงค์ผงกศีรษะเล็กน้อยด้วยสีหน้าพึงพอใจ

 

“เบ็นสัน คุณช่างเป็นคนหนุ่มที่รอบคอบและซื่อสัตย์มาก ไม่มีปัญหา พวกเรามาเซ็นสัญญายกเลิกสัญญาเดิมกัน”

หลังจากเฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ไคลน์ทำได้เพียงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง มันไม่อยากเชื่อว่ามิสเตอร์แฟรงค์จะถูกโน้มน้าวง่ายดายขนาดนี้

 

ง่ายเกินไปแล้ว…

 

หลังจากปัญหาเรื่องสัญญาจบลงไป ถึงคิวเมลิสซ่าและเบ็นสันช่วยกันเลือกชุดทำงานให้ไคลน์

 

ถัดมาเป็นการย้ายของเข้าบ้านใหม่ สามพี่น้องไม่มีสมบัติที่หนักหรือขนาดใหญ่ บรรดาเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องล้วนเป็นทรัพย์สินของมิสเตอร์แฟรงค์ทั้งสิ้น เมลิสซ่ากับเบ็นสันจึงคัดค้านไอเดียไคลน์ที่ต้องการจ้างบริษัทขนของ

 

พวกมันเลือกจะเดินไปกลับระหว่างถนนกางเขนเหล็กและดารารัตน์หลายรอบแทน

 

ดวงตะวันบนฟากฟ้าเคลื่อนย้ายตัวเองไปทางทิศตะวันตก แสงแดดสาดส่องผ่านมุขหน้าต่างกระทบผิวโต๊ะไม้

 

ไคลน์จ้องมองสมุดและหนังสือหลายเล่มที่ถูกจัดเรียงในตู้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะหยิบปากกาขนนกและขวดหมึกมาวางลงบนโต๊ะไม้ที่เพิ่งถูกทำความสะอาดเอี่ยมอ่อง

 

จบสักที… ไคลน์พ่นลมหายใจตัดพ้อความเหนื่อยหน่ายที่ผ่านมา ทันใดนั้น เสียงท้องเริ่มร้องคำราม ชายหนุ่มพับแขนเสื้อลงขณะเดินตรงมาทางประตู

 

ปัจจุบัน มันมีเตียงส่วนตัวแล้ว ผ้าปูเตียงและผ้าห่มล้วนมีสีขาวผ่อง ถึงเนื้อผ้าจะค่อนข้างเก่า แต่ความสะอาดไม่เป็นสองรองใคร

 

ไคลน์บิดประตูก่อนจะเดินจากออกจากห้องนอนส่วนตัว ขณะมันกำลังจะตะโกนบางสิ่งออกไป ประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามทั้งสองถูกเปิดออกมาพร้อมกัน

 

เบ็นสันและเมลิสซ่า

เมื่อเห็นคราบฝุ่นเกาะติดใบหน้ากันและกัน เบ็นสันและไคลน์หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่ครอบครัวนี้ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว

 

เมลิสซ่าพยายามกลั้นขำรักษาอาการ แต่ริมฝีปากของเธอกำลังสั่นระริก และท้ายที่สุดได้หลุดหัวเราะออกมาเสียงค่อย

 

 

เช้าวันถัดมา

 

ไคลน์ยืนแต่งตัวหน้ากระจกเต็มใบที่ปราศจากรอยร้าว มันกำลังจัดแจงปกและแขนเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง

 

ชุดทำงานประกอบด้วยเชิ้ตขาว ทักซิโด้ดำ หมวกผ้าไหมทรงสูง กั๊กดำ รวมถึงกางเขงขายาว รองเท้าหนัง และโบว์หูกระต่ายเข้าชุด

 

ไคลน์วิงเวียนศีรษะไปครู่ใหญ่เมื่อต้องซื้อชุดทำงานทั้งหมดเป็นเงินแปดปอนด์

 

แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปล้วนคุ้มค่า หลังจากไคลน์เห็นตัวเองในกระจกบานใหญ่ มันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศนักวิชาการและความหล่อเหล่าเพิ่มพูนหลายระดับ

 

กริ๊ก!

 

ไคลน์ปิดฝานาฬิกาพกก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ไม้ค้ำเลี่ยมเงินถูกหยิบขึ้นมาถือ ปืนลูกโม่ถูกเก็บไว้มิดชิดในซองรักแร้

 

ไคลน์·โมเร็ตติขึ้นรถม้าแบบรางมาถึงถนนซุตแลนในเวลาไม่นาน

 

ขณะเดินขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสอง ไคลน์พลันส่ายศีรษะตำหนิตัวเองอย่างหนัก มันเคยชินกับชีวิตในอดีตจนหลงลืมแบ่งเงินให้เมลิสซ่าเป็นค่ารถม้า ลงเอยด้วยเธอต้องเดินไปโรงเรียนเฉกเช่นปรกติ

 

ชายหนุ่มรีบจดบันทึกใส่เศษกระดาษเพื่อเตือนความจำ ก่อนจะย่างกรายเข้าไปในสำนักงานบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ

ภาพแรกที่เห็นคือสตรีผมน้ำตาล—โรแซน กำลังก้มหน้าชงกาแฟ กลิ่นที่หอมกรุ่นและเข้มข้นได้ฟุ้งไปทั่วห้อง

 

“สวัสดีตอนเช้าไคลน์ วันนี้อากาศดีมากเลยนะ ว่าไหม?”

 

โรแซนทักทายอย่างร่าเริง

 

“ด้วยความสัตย์จริง ฉันนึกสงสัยมานานแล้วว่า พวกผู้ชายไม่ร้อนกันบ้างหรืออย่างไรที่ต้องแต่งกายมิดชิดหลายชั้นขนาดนั้น? ถึงทิงเก็นจะร้อนน้อยกว่าเมืองอื่นก็เถอะ แต่ฤดูร้อนก็ยังเป็นฤดูร้อนอยู่ดี”

 

“เป็นราคาที่ต้องจ่าย เพื่อแลกมากับมาด”

 

ไคลน์ตอบติดตลก

 

“สวัสดีตอนเช้าเช่นกันโรแซน ว่าแต่ หัวหน้าอยู่ไหนหรือ?”

 

“ที่เก่าเวลาเดิม”

 

โรแซนชี้นิ้วเข้าไปยังประตูห้องที่อยู่หลังฉากกั้น

 

ไคลน์พยักหน้า มันเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงานของดันน์·สมิทก่อนจะใช้นิ้วเคาะ

 

“เข้ามา”

 

เสียงดันน์ยังคงกังวาลและอบอุ่น

 

เมื่อเห็นไคลน์มาในชุดทำงานใหม่ รอยยิ้มของดันน์·สมิทฉีกกว้างกว่าปรกติ

 

“ตัดสินใจได้แล้วหรือ?”

 

มันถาม

 

ไคลน์สูดลมหายใจเพื่อสงบสติ จากนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าขึงขัง

 

“ครับ ผมตัดสินใจได้แล้ว”

 

ดันน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างสุขุม สีหน้าและแววตายังคงราบเรียบ

 

“บอกความต้องการของคุณมา”

 

ไคลน์ไม่ลังเล

 

“นักทำนาย!”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด