บทที่ 68 เรดาร์
บทที่ 68 เรดาร์
ตอนนี้ฝนหยุดแล้ว ลมหนาวพัดโชยในถนนเล็กแคบเงียบสงัดเส้นนี้เป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ความเย็นเยียบน่าสยดสยองเจือด้วยกลิ่นประหลาด ทำให้หลิงม่ออดสูดจมูกไม่ได้ ทั้งยังขมวดคิ้ว
กลิ่นคาวเลือด กลิ่นเหม็นเน่า แม้ฝนจะตกติดๆ กันหลายวันก็ไม่อาจชะล้างกลิ่นพวกนี้ไปได้หมดจด
นี่คือเมืองที่กำลังเน่าเฟะไม่หยุด สิ่งที่ตายไปไม่ใช่แค่ผู้คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัฒนธรรมของโลกด้วย
ชั่วขณะหนึ่งนั้นหลิงม่อรู้สึกเสียดายนิดๆ และไม่รู้ตัวเลยว่าซย่าน่าคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเงียบๆ
และปฏิกิริยาที่ไม่เหมือนกับเขาเลยก็คือ ตอนที่กลิ่นคาวเลือดเน่าเหม้นพัดโชยมานั้น ในแววตาของซย่าน่าและเย่เลี่ยนดูเคลิบเคลิ้มมึนเมา……
“เหมือนนายจะไม่ชอบกลิ่นนี้” ซย่าน่าค่อยๆ สูดหายใจ จากนั้นก็หันมามองหลิงม่อ เอ่ยถามด้วยความฉงนนิดๆ “เพราะอะไร”
หลิงม่อผงะไปทันทีแล้วยิ้มเฝื่อนๆ พร้อมส่ายหน้า “ฉันอธิบายให้เธอฟังไม่ถูก”
“ฉันชอบมาก” ซย่าน่าเงียบไปสองสามวินาทีแล้วบอกอย่างจริงจัง “แต่ถ้านายรังเกียจ ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่ชอบ ในความทรงจำบอกกับฉันว่า ในฐานะที่เป็นเพศเมีย ฉันต้องทำแบบนี้นายถึงจะดีใจ”
ซย่าน่าคนนี้ แต่ก่อนสมองเธอจุอะไรไว้บ้างนะ…
หลิงม่อเหงื่อแตกรีบบอก “ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก แล้วก็อย่าเรียกตัวเองว่าเพศเมีย เธอเป็นเด็กผู้หญิง...ซอมบี้ผู้หญิง เธอชอบกลิ่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ”
“เหรอ?” ซย่าน่าเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ
หลิงม่อพยักหน้าแล้วให้กำลังใจต่อ “เธอเป็นแบบไหน ฉันก็ไม่รังเกียจทั้งนั้น เป็นเหมือนพี่เย่เลี่ยนก็พอแล้ว”
“อย่างนี้เอง...บางครั้งฉันอยากกัดนายมาก แบบนี้จะมีปัญหารึเปล่า?” ซย่าน่าถามพร้อมจ้องหลิงม่อเขม็ง
ตอนที่เธอถามประโยคนี้ออกไป หลิงม่อรู้สึกได้ชัดเจนว่าสายตาของเธอเหมือนเข็มที่ปักอยู่บนคอเขา และเธอยังเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
“ได้สิ...ถ้าหากว่าใช้ปากทำด้วยให้ก็ยิ่งดีเลย...” หลิงม่อหนังศีรษะชาเป็นพักๆ ความจริงเขารู้สึกถึงข้อนี้ได้นานแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ซย่าน่าและเย่เลี่ยนเข้าสู่สภาวะซอมบี้โดยสมบูรณ์ สายตาที่พวกเธอมองเขาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพราะทั้งสองฝ่ายมีสายสัมพันธ์ทางจิตอยู่ พวกเธอเลยไม่เคยกระทำการจู่โจมใดๆ ต่อหลิงม่อ เว้นแต่ตอนที่ใกล้จะหลุดจากสายสัมพันธ์ทางจิตเท่านั้น แต่เมื่อสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ เย่เลี่ยนก็ไม่ได้จู่โจมเขาแล้ว ทว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับซย่าน่าหยุดอยู่แค่ผิวเผินมาตลอด แม้คราวก่อนจะสบโอกาสได้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด แต่ถึงอย่างไรก้ยังไม่ลึกพอ
แต่หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องร้องขออะไร การควบคุมนิสัยของซอมบี้ได้ก็ว่ายากมากแล้ว หากจะให้เธอไม่แม้แต่จะมีความต้องการปรารถนานั่นก็เกินไปแล้วล่ะ
จริงดังคาด พอเห็นหลิงม่อเหมือนไม่ใส่ใจ ซย่าน่าก็เลื่อนสายตาไป “ไม่รู้ทำไม แต่ฉันไม่มีทางจู่โจมนายหรอก นายเป็นคนพิเศษ”
ไร้สาระน่า ถ้าหากแม้แต่ผู้ควบคุมยังถูกโจมตี ความสามารถควบคุมหุ่นซอมบี้ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นพลังเก๊หรอกเหรอ!
หลิงม่อแอบกลอกตาในใจ แต่ในตอนนี้อยู่ๆ เขาก็กลับขมวดคิ้ว
ตอนที่เขาพูดกับซย่าน่า ซอมบี้ตัวที่นำทางตัวนั้นกำลังสำรวจร้านค้า ตรวจสอบว่ามีซอมบี้อยู่ในนั้นหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกหลิงม่อทั้งสามที่ตามมาติดๆ อยู่ด้านหลังถูกโจมตี
และตอนที่ซอมบี้นำทางตัวนี้เข้าไปในบาร์แห่งหนึ่ง ก็กลับถูกของบางอย่างฟาดเข้าที่หลังศีรษะ หลิงม่อยังได้ยินกระทั่งเสียงกระดูกศีรษะแตกเป็นชิ้น เดิมเขากับหุ่นซอมบี้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าร่วมกัน กระบวนการที่ซอมบี้ตัวนี้ถูกฆ่า หลิงม่อก็ได้รับรู้สิ่งที่ร่างกายได้รับเหมือนกับมัน เว้นแค่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด...
ดังนั้นตอนที่ซอมบี้นำทางล้มลง สีหน้าของหลิงม่อก็ซีดขาวไปด้วย หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
เย่เลี่ยนและซย่าน่ารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหลิงม่อผ่านทางสายสัมพันธ์ทางจิต พวกเธอหันมามองเขาพร้อมกัน แม้สายตาของพวกเธอจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไร แต่หลิงม่อรู้ว่า พวกเธอเป็นห่วงเขามาก
พอซอมบี้นำทางตาย สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับมันก็ขาดในพริบตาด้วยเช่นกัน ความรู้สึกที่สายสัมพันธ์ถูกดึงขาดนี้ไม่ได้สบายเท่าไร เหมือนกับอยู่ๆ ก็เกิดเสียงดัง “แกร๊ก”ในสมอง ในสายตาของหลิงม่อคือหนวดสัมผัสเส้นหนึ่งของตัวเองถูกตัดขาดแล้ว
“คนที่ลงมือคือซอมบี้หรือว่ามนุษย์?”
หลิงม่อพาเย่เลี่ยนและซย่าน่าแวบหลบไปแอบซ่อนตัวด้านข้างอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงได้ชะโงกหัวออกไปดูจากหลังไฟนีออน สำรวจเงียบๆ อยู่สักพัก
ที่ๆ ซอมบี้นำทางถูกฆ่าคือบาร์ที่มีชื่อว่า ‘อินหวง’บาร์ หลิงม่อเพิ่งจะควบคุมให้เขาเดินไปทางห้องส่วนตัว (ห้องพิเศษ/ห้องเหมา) แล้วอยู่ๆ ก็ถูกจู่โจมจากด้านหลัง
ประตูใหญ่ไม่ได้เปิด ผู้รอดชีวิตทั่วๆ ไปไม่น่าจะทำแบบนี้ หรือว่าจะเป็นซอมบี้?
ซอมบี้ที่รู้จักการจู่โจม อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในระดับซอมบี้กลายพันธุ์อย่างเย่เลี่ยน กระทั่งเป็นซอมบี้ระดับสูง
คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนี้จะมีซอมบี้ที่แข็งแกร่งแบบนี้ปรากฎตัวด้วย แม้หลิงม่อจะรู้สึกตะหงิดๆ อยู่บ้าง แต่สำหรับความกระหายอยากได้ก้อนไวรัสเหนียวหนืดก็ยังเป็นใหญ่อยู่ดี
ก้อนไวรัสเหนียวหนืดบริสุทธิ์แบบนั้น ไม่ได้เป็นของทั่วไป ทว่าเป็นสิ่งที่หาไม่ได้และจะเจอได้โดยบังเอิญเท่านั้น!
คิดได้อย่างนี้ หลิงม่อก็ฉีกยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก แล้วเอื้อมดึงมีดสั้นออกมา
คมมีดวาบประกายและคราบสีน้ำตาลเข้มตรงร่องเลือดที่ล้างไม่ออก ทำให้มีดทำมือชั้นดีด้ามนี้ยิ่งชวนหนาวยะเยือก
มีดที่เคยผ่านการฆ่าคน ถึงอย่างไรก็มีความต่าง...
“ซย่าน่า เธอรู้สึกถึงอะไรหรือเปล่า?” หลิงม่อรู้ว่าเหมือนจะมีการตอบรับพิเศษระหว่างซอมบี้กลายพันธุ์ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เขาจึงถามเพิ่มอีก
ซย่าน่ามองหลิงม่อแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไกลมาก”
แสดงว่าระยะทางระหว่างสองฝ่ายไม่ได้ใกล้มาก อย่างน้อยๆ ก็ประมาณสี่ร้อยเมตร ถ้าห่างกันขนาดนี้ยังสามารถสัมผัสได้ก็เรียกได้ว่าเป็นเรดาร์แล้ว
ตรงกันข้าม ดวงตาทั้งคู่ของเย่เลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อนิดๆ เธอเลียนแบบหลิงม่อ ดึงดาบวงพระจันทร์ออกมา จากนั้นก็ค้อมตัวอยู่หลังหลิงม่อ
เห็นท่าทางของเย่เลี่ยนแล้ว หลิงม่อก็ใจเต้น หลังจากที่เย่เลี่ยนได้มีสติรู้จริงๆ แล้ว เธอก็เรียนรู้ได้ไวขึ้นมาก เธอกำลังเลียนแบบท่าทางในการต่อสู้ของเขาและซย่าน่าอย่างมีสติรู้!
สายพันธุ์ซอมบี้นี้มีศักยภาพที่น่ากลัวสุดๆ แฝงอยู่จริงๆ...
“เย่เลี่ยน เธอรู้สึกอะไรหรือเปล่า?” หลังจากที่หลิงม่อช็อคไปแล้วก็ดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
ตรงข้ามกับซย่าน่า วิวัฒนาการของเย่เลี่ยนสูงกว่า และหากจะพูดถึงแค่เรื่อง ‘สายเลือด’เพียงอย่างเดียว เธอก็เป็นซอมบี้แท้ๆ มากกว่า
ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องการตอบสนองระหว่างซอมบี้กลายพันธุ์ เย่เลี่ยนอาจจะแข็งแกร่งว่าซย่าน่านิดหน่อยล่ะมั้ง
พอได้ยินหลิงม่อถาม เย่เลี่ยนก็มองเขาแค่แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ดูท่าแม้เธอจะรู้ว่า ‘เย่เลี่ยน’ คือชื่อที่เอาไว้ใช้เรียกเธอ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่หลิงม่อถาม
แต่หลิงม่อไม่ได้รู้สึกผิดหวัง การตอบสนองของเย่เลี่ยนอธิบายได้ว่า ในบาร์อินหวงต้องมีซอมบี้อยู่ และนี่ถือเป็นการคาดเดาของเขา
“ไม่ใช่คนก็ดี เทียบกับคนแล้ว ฉันอยากจะทักทายซอมบี้มากกว่าอีก”
หลิงม่อสูดหายใจเข้าลึก พยายามปรับสภาพของตัวเองให้ดีที่สุด อีกเดี๋ยวอาจจะต้องเปิดศึกใหญ่ที่เดิมพันด้วยชีวิต
แต่เพื่อก้อนไวรัสแล้วก็คุ้ม!