ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 25 : มหาวิหาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 27 : มื้อค่ำของสามพี่น้อง

ราชันย์เร้นลับ 26 : ฝึกซ้อม


ราชันย์เร้นลับ 26 : ฝึกซ้อม

 

กึก กึก กึก

 

เสียงฝีเท้าดังก้องทางเดินที่มืดมิดและคับแคบ

 

บรรยากาศค่อนข้างเงียบงัน

ไคลน์เดินหลังตรงโดยพยายามไล่ตามความเร็วนักบวชให้ทัน มันไม่กล้าเอ่ยปากถามหรือชวนคุย ทำตัวสงบนิ่งดุจดังผิวน้ำที่ปราศจากสายลมพัดผ่าน

 

หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวที่มีระดับป้องกันภัยแน่นหนา นักบวชชุดคลุมดำนำกุญแจออกมาไขประตู จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังบันไดลงชั้นล่างที่ทำจากหิน

 

“เดินตรงไป เมื่อถึงสี่แยก เลี้ยวซ้ายจะเป็นประตูยานิส”

 

“ขอให้เทพธิดาคุ้มครอง”

ไคลน์ใช้มือขวาทำสัญลักษณ์พระจันทร์แดงที่หน้าอก เฉกเช่นสังคมสามัญชนที่มีมารยาทพื้นฐานรูปแบบหนึ่ง ศาสนาเองก็มีมารยาททักทายพื้นฐานอีกรูปแบบหนึ่ง

 

“เทพธิดาจงเจริญ”

 

นักบวชชุดคลุมดำทำสัญลักษณ์เดียวกัน

 

ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดขณะเดินลงบันไดหินที่สองข้างฝั่งมีโคมไฟติดตั้งเป็นระยะ

 

เมื่อถึงกลางทาง มันตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วก็ได้พบนักบวชคนเดิมยังคงยืนจ้องลงมาจากบันไดขั้นแรก ท่าทางแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนดุจดังหุ่นขี้ผึ้ง

 

ไคลน์รีบหันกลับและก้าวเท้าต่อไปจนกระทั่งถึงขั้นบันไดชั้นล่างสุด ทางเดินหินปูทอดยาวลักษณะเดียวกับทางลงจากบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ

 

เดินเพียงไม่นานก็มาถึงสี่แยก

 

มันไม่เลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปประตูยานิส สาเหตุเพราะดันน์·สมิทเพิ่งจะเป็นเวรเฝ้าประตูไปเมื่อวาน ไม่น่าจะเป็นซ้ำในวันนี้ได้

ไคลน์เลี้ยวขวาและเดินตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบกับบันไดหินขาขึ้นของบริษัทหนามทมิฬที่โรแซนเคยนำทาง มันสืบเท้าขึ้นชั้นบนโดยไม่รีรอ

 

เมื่อเดินถึงสุดบันใดและเปิดประตูห้อง ชายหนุ่มพบกับประตูหกบานแบ่งออกเป็นซ้ายขวาฝั่งละสาม บางบานปิดสนิท บางบานเปิดแง้ม ไคลน์ไม่สนใจจะเคาะหรือเดินเข้าไป มันรีบตรงไปยังห้องรับรอง

 

ภายในห้องมีหญิงสาวผมน้ำตาลกำลังนอนอ่านวารสารพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

 

“สวัสดีโรแซน”

 

ไคลน์แอบย่องเข้าใกล้หล่อนพร้อมกับกล่าวทักทายและใช้นิ้วเคาะโต๊ะหนึ่งครั้ง

 

ก็อก!

 

โรแซนดีดตัวขึ้นนั่งด้วยท่าทางลนลานสุดขีด หญิงสาวกล่าวทักทายกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

 

“ส…สวัสดีไคลน์! ท…ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”

 

โรแซนใช้มือทาบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจประหนึ่งเด็กสาวที่กลัวพ่อจับได้ว่าแอบโดดเรียน

 

“ผมต้องการพบหัวหน้า”

 

ไคลน์ตอบสั้นห้วน

 

“…ใจหายหมด นึกว่าหัวหน้าแอบมาตรวจ”

 

โรแซนจ้องไคลน์เขม็ง

 

“คุณควรรู้จักเคาะประตูบ้างนะ! โชคดีที่ฉันเป็นหญิงสาวความอดทนสูงและไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่สิ ขอเรียกตัวเองว่าสุภาพสตรีก็แล้วกัน… แล้วคุณอยากพบหัวหน้าไปทำไมหรือ? ตอนนี้เขาคงอยู่ที่ห้องมาดามโอเรียนน่ากระมัง”

ถึงจะถูกตำหนิ แต่ไคลน์กลับอมยิ้ม มันขบขันท่าทีตอบสนองน่ารักน่าชังจากโรแซน

 

ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ

 

“ความลับน่ะ”

 

“…”

 

นัยน์ตาของเธอพลันสั่นระริก แอบแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย ไคลน์ทำเพียงโบกมืออำลาให้และเดินจากไป

 

เมื่อพ้นฉากกั้น ไคลน์หยุดลงหน้าประตูบานขวามือพร้อมกับใช้นิ้วเคาะ

 

“เข้ามา”

 

เป็นเสียงอันลุ่มลึกของดันน์·สมิท

 

ไคลน์ผลักประตูห้องเดินเข้าไปและปิดตามหลัง มันถอดหมวกออกเพื่อทักทายดันน์·สมิท

 

“สวัสดีครับหัวหน้า”

 

“สวัสดี มีอะไรให้ผมช่วยอย่างนั้นหรือ?”

 

เสื้อกันลมและหมวกสีดำตัวเก่งถูกแขวนไว้บนราวใกล้กับโต๊ะทำงาน ดันน์กำลังสวมเชิ้ตขาวและกั๊กดำ ถึงศีรษะค่อนข้างเถิกล้าน แต่นัยน์ตาสีเทาหม่นคู่นั้นยังคงสุขุมเช่นเคย

 

สีหน้าของดันน์ดูดีกว่าเมื่อวานเล็กน้อย

 

“มีใครบางคนสะกดรอยตามผม”

 

ไคลน์เล่าความจริงโดยไม่ปิดบังหรือแต่งเติม

 

ดันน์เอนหลังพิงเบาะพร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน นัยน์ตาจ้องมองเข้าไปในดวงตาไคลน์อย่างเพ่งพิศ

 

มันมิได้ไต่ถามรายละเอียดของผู้สะกดรอย แต่เลือกเบี่ยงไปถามประเด็นอื่น

 

“คุณมาทางวิหารพระแม่ใช่ไหม?”

 

“ครับ”

 

ไคลน์ตอบสัตย์จริง

ดันน์ผงักศีรษะหงึก มันไม่ได้ระบุว่าการกระทำของไคลน์เป็นเรื่องดีหรือแย่ บทสนทนาเปลี่ยนกลับมาเป็นหัวข้อหลัก

 

“อาจเป็นเพราะบิดาของเวิร์ชยังไม่ปักใจเชื่อในสาเหตุการตายของบุตรชาย จึงทำการจ้างนักสืบเอกชนจากเมืองวายุมาแกะรอย”

 

เมืองคอนสแตนแห่งรัฐเลียบทะเลมีอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองวายุ เป็นดินแดนที่อุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็กพัฒนาไปไกล ถูกจััดให้เป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ของอาณาจักรโลเอ็น

ไม่ปล่อยให้ไคลน์แสดงความเห็น ดันน์อธิบายต่อ

 

“หรืออาจเป็นกลุ่มที่เกี่ยวพันกับสมุดบันทึกนั่นก็ได้… เมื่อไม่นานมานี้ เราเริ่มทำการสืบสวนต่อยอดว่าเวิร์ชได้รับสมุดเล่มดังกล่าวมาจากใคร เรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกับองค์กรลับบางกลุ่ม และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกมันคงกำลังตามหาสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกสนัสอยู่เช่นกัน”

 

“แล้วผมควรทำอย่างไรดี?”

 

ไคลน์ถามเสียงกังวลพลางขมวดคิ้ว มันได้แต่ภาวนาให้เรื่องราวเป็นแบบแรก

ดันน์ไม่ตอบในทันที มันยกถ้วยกาแฟซดอึกใหญ่ เมื่อวางลง นัยน์ตาสีเทาเงยขึ้นมาจ้องมองไคลน์อย่างไม่สั่นคลอน

 

“กลับไปทางเดิมที่คุณมา จากนั้นก็ทำตัวตามปรกติ… จะทำอะไรก็ได้”

 

“ทำอะไรก็ได้?”

 

ไคลน์ถามย้ำ

 

“ใช่แล้ว… ทำอะไรก็ได้”

ดันน์ผงกศีรษะหนักแน่น

 

“แต่ต้องไม่ผิดกฏหมายหรือทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว”

 

“ได้ครับ”

 

ไคลน์สูดลมหายใจเต็มปอดก่อนจะอำลาดันน์และเดินออกจากห้อง เพียงไม่นาน วิวทิวทัศน์สองข้างทางกลายเป็นใต้ดินที่มืดมิดที่มีแสงไฟสลัวจากโคมตะเกียงอีกครั้ง

 

พอมาถึงสี่แยก ไคลน์เลี้ยวซ้ายเพื่อกลับเข้าวิหารพระแม่เซเลน่า ทางเดินยาวที่ค่อนข้างมืดและเงียบงัน เป็นบรรยากาศที่สามารถสั่นคลอนจิตใจมนุษย์ได้ไม่น้อย

 

เสียงฝีเท้าชายหนุ่มดังก้องทางเดินคับแคบ

 

เมื่อมาถึงบันไดหินขาขึ้น ไคลน์ก้าวไปทีละขั้นจนถึงด้านบน มันได้พบกับเงาลางของบุคคลหนึ่งกำลังยืนนิ่งท่ามกลางแสงไฟสลัว

 

นักบวชวัยกลางคนชุดคลุมดำ

 

ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดต่อกัน นักบวชทำเพียงหันหลังกลับและเปิดประตูทางลับให้

ไคลน์ปรากฏตัวที่ห้องสวดภาวนาอีกครั้ง วงกลมขนาดกำปั้นเหนือแท่นบูชาทรงโค้งยังคงปล่อยให้แสงลอดผ่านท่ามกลางห้องมืดสลัว ชายหญิงหลายคนยังคงยืนต่อคิวเข้าห้องสารภาพบาปอย่างเป็นระเยียบ แต่ปริมาณลดลงจากตอนแรกมาก

 

หลังจากยืนไตร่ตรองครู่หนึ่ง ไคลน์ตัดสินใจเดินออกจากห้องสวดพร้อมกับไม้ค้ำและหนังสือพิมพ์ในมือ

 

เข้ามาแบบไหนก็ออกไปแบบนั้น แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ในวินาทีที่ใบหน้าปะทะแสงแดดด้านนอก ความรู้สึกถูกจับตามองพลันหวนกลับคืน

 

ราวกับเหยื่อที่รับรู้ว่าพญาเหยี่ยวบนท้องฟ้ากำลังจ้องเขม็ง

 

ทันใดนั้น มันผุดคำถามใหม่ในใจ

 

เหตุใด ‘ผู้จับตามอง’ ถึงไม่ตามเข้าไปภายในวิหาร? ตนอาจใช้ทางลับไปหาเหยี่ยวราตรีจนคลาดสายตาได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นห้องสวดภาวนาก็พอจะเข้าได้ไม่ใช่หรือ?

 

บางทีผู้จับตามองอาจเป็นอาชญากรที่เคยกระทำผิดร้ายแรงจนได้รับหมายจับ… หรืออาจเป็นผู้วิเศษที่บิชอปและนักบวชด้านในจดจำใบหน้าได้

 

และหากเป็นเช่นนั้น ตัวตนผู้จับตามองจะหากไกลจาก ‘นักสืบเอกชน’ มาก…

 

ไคลน์ถอนหายใจยาวสุดปอดก่อนจะเดินไปบนถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปราศจากอาการตื่นตระหนกเหมือนก่อนหน้า

 

เพียงไม่นานก็มาถึงถนนซุตแลน

 

ไคลน์เดินเข้าไปในอาคารทรงโบราณหลังหนึ่งที่กำแพงมีรอยด่างดำ บ้านเลขที่ 3 ชื่อเต็มของที่นี่คือ ‘สโมสรยิงปืนซุตแลน’

 

เป็นส่วนหนึ่งของกรมตำรวจ ใต้ดินเปิดเป็นลานซ้อมยิงปืนเพื่อหารายได้และฝึกฝนบุคลากรไปในตัว

 

ความรู้สึกถูกจับตามองหายไปอีกครั้งหลังจากเดินเข้าไปด้านในอาคาร ไคลน์ไม่รีรอ มันแสดงตราหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ดทันที

 

หลังจากยืนยันตัวตน เจ้าหน้าที่นำทางลงมายังห้องใต้ติดที่ค่อนข้างคับแคบ

 

ห้องยิงปืน

 

“เป้าสิบเมตรครับ”

 

ไคลน์แจ้งเจ้าหน้าที่ขณะชักปืนลูกโม่ออกจากซองรักแร้ซ้าย ถัดมาเป็นการนำกล่องกระสุนทองเหลืองออกจากกระเป๋ามาวางเตรียม

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้กระตุ้นให้มันเลิกผัดวันประกันพรุ่ง ในเมื่อภัยคุกคามอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก คงนิ่งนอนใจไม่ได้อีกแล้ว

 

แถมการซ้อมยิงปืนยังช่วยปลดปล่อยความเครียดและพัฒนาฝีมือตัวเองไปพร้อมกัน

 

กริ๊ก!

 

หลังจากเจ้าหน้าที่กลับไป ไคลน์ตบโม่มาทางซ้ายพร้อมกับนำกระสุนปราบมารสีเงินห้านัดออกจากโม่ ตามด้วยการใส่กระสุนทองเหลืองสำหรับซ้อมยิงเข้าไปแทน

 

มันไม่เหลือช่องว่างไว้เผื่อปืนลั่น รวมถึงไม่ถอดหมวกทรงสูงที่ค่อนข้างเกะกะออกก่อน

 

ไคลน์หวังฝึกซ้อมให้คล้ายคลึงสถานการณ์จริงที่สุด ขณะเกิดภัยอันตรายมันคงมิอาจตะโกนกับศัตรูแล้วบอกว่า

 

“เดี๋ยวก่อน! รอฉันแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงกว่านี้สักหน่อย”

 

…เห็นทีจะไม่ได้

 

กริ๊ก! ไคลน์ใช้นิ้วหัวแม่มือดันโม่กลับเข้าที่ในสภาพพร้อมยิง

 

ทันใดนั้น มือทั้งสองข้างยกปืนขึ้นตั้งตรงในท่าเตรียมยิง เป้าหมายที่ห่างออกไปราวสิบเมตรถูกเล็งผ่านศูนย์

 

แต่มันไม่รีบร้อนลั่นไก ภายในหัวกำลังประมวลผลอย่างใจเย็น นึกทบทวนความรู้สมัยเป็นนักเรียนรักษาดินแดนบนโลกเก่า

 

ระยะห่างเท่านี้ต้องเล็งศูนย์ประมาณไหน รวมถึงต้องกร็งมือมากเพียงใดเพื่อเตรียมรับแรงดีดของปืน

 

ฉึบ ฉึบ ฉึบ

 

เป็นเสียงเสื้อผ้าขยับขณะไคลน์ซักซ้อมยกปืนขึ้นลงหลายครั้งให้คุ้นชิน สีหน้าของมันเอาจริงเอาจังประหนึ่งนักเรียนใกล้เข้าห้องสอบ

 

หลังจากซ้อมชักปืนเล็งสักพัก มันเดินถอยหลังเพื่อมานั่งบนเก้าอี้ยาวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ปืนลูกโม่ถูกวางไว้ข้างลำตัว ปากกระบอกหันออกป้องกันการลั่น

แขนของมันปวดเมื่อยเล็กน้อยจากการขยับขึ้นลงซ้ำไปมาหลายครั้ง ไคลน์พยายามนวดคลึงเพื่อบรรเทา

 

ในหัวจินตนาการถึงเทคนิคยิงปืนของโลกเก่าที่ร่ำเรียน เมื่อเริ่มรู้สึกเริ่มดีขึ้น ไคลน์ลุกจากที่นั่งและเดินกลับไปยังลู่ยิง

 

มือทั้งสองข้างยกปืนเล็งไปยังเป้าสิบเมตรด้านหน้าโดยไม่สั่นไหว

 

ท้ายที่สุด ไกปืนถูกลั่นเป็นครั้งแรก

 

ปัง!

 

แม้จะเกร็งรับไว้ล่วงหน้า แต่ฝ่ามือก็ยังสั่นระริกหนักหน่วง รวมถึงร่างกายที่เซถอยหลังเล็กน้อยจากแรงดีดของปืน

 

ยิงพลาดเป้า

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

ความทรงจำของโลกเก่าเริ่มถูกรื้อฟื้น มันกระหน่ำยิงเพื่อเรียกความมั่นใจและความเคยชิน จนกระทั่งผ่านไปหกนัด

 

เริ่มเข้าเป้าบ้างแล้ว… ไคลน์ถอยหลังกลับไปนั่งบนเก้าอี้ยาวพลางถอนหายใจโล่งอก

 

กริ๊ก! ไคลน์ดันโม่ออกและเทปลอกกระสุนลงพื้น จากนั้นก็บรรจุเพิ่มเข้าไปอีกหกนัด

 

เมื่อแขนเริ่มหายล้า มันลุกขึ้นยืนและกลับไปประจำจุดยิง

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

เสียงดังกังวาลทั่วห้องซ้อม เป้าสิบเมตรเริ่มสั่นไหวหลังจากถูกกระสุนพุ่งผ่าน พัฒนาการความแม่นยำของไคลน์ดีขึ้นทุกขณะ มันเริ่มตั้งใจเล็งกลางเป้าบ้างแล้ว

 

เป็นการยิงหกนัดสลับพักแขนไปเรื่อยๆ

 

กระสุนซ้อมสามสิบนัดที่เบิกมาล้วนถูกใช้จนหมด รวมถึงอีกห้านัดจากกระสุนของเดิมที่ไคลน์คนเก่าใช้ฆ่าตัวตาย

 

เมื่อกระสุนถูกใช้จนเกลี้ยง ไคลน์เหวี่ยงแขนข้างที่ปวดเมื่อยก่อนจะเทปลอกกระสุนห้านัดสุดท้ายลงพื้น คราวนี้แทนที่ด้วยกระสุนปราบมารสีเงินห้านัด และแน่นอน เหลือไว้หนึ่งช่องเพื่อป้องกันปืนลั่น

 

ปืนถูกสอดกลับลงในซองรักแร้ ไคลน์ปัดเศษดินปืนและฝุนออกจากตัว ก่อนจะเดินออกจากสนามยิงปืนมาโผล่ยังถนนซุตแลน

 

การจับตามองเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไคลน์ไม่แยแส จิตใจสงบนิ่งลงหลังจากได้ยิงปืนปลดปล่อย เท้าก้าวไปบนถนนซุตแลนอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งมาถึงถนนแชมเปญ

 

ไคลน์ขึ้นรถม้าที่สถานีแชมเปญ จุดหมายปลายทางคือถนนกางเขนเหล็ก ค่าโดยสารยังคงสี่เพนนีเท่ากับขามา

 

เมื่อลงจากรถ ไคลน์เดินตรงกลับเข้าหอพักด้วยท่าทีสุขุม หลังจากเข้าไปในตัวอาคาร ความรู้สึกถูกจ้องมองก็หายไป

 

มันนำกุญแจออกมาไขลูกบิดประตูก่อนจะผลักเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือบุรุษผมสั้นในวัยใกล้สามสิบกำลังนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ

 

หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้

 

“สวัสดียามเช้า ไม่สิ ยามบ่าย… เบ็นสัน”

 

บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากพี่ชายของเมลิสซ่าและไคลน์ เบ็นสัน·โมเร็ตติ

 

อันที่จริง เบ็นสันเพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบห้า แต่เนื่องด้วยศีรษะที่เริ่มเถิกรวมถึงสีหน้าอิดโรยประกอบกัน เบ็นสันจึงดูคล้ายชายวัยใกล้สามสิบเข้าไปทุกที

 

เส้นผมสีดำและนัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนกับไคลน์ทุกประการ ต่างกันเพียงบรรยากาศของ ‘นักวิชาการ’ ที่ไคลน์มี แต่เบ็นสันไม่

 

“สวัสดียามบ่ายไคลน์ สัมภาษณ์งานเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

เบ็นสันยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

อีกฝ่ายสวมเพียงเสื้อลินินขาว ส่วนโค้ทสีดำรวมถึงหมวกทรงกึ่งสูงที่สวมประจำถูกแขวนผึ่งไว้กับเตียงนอน

 

“เลวร้ายมาก”

 

ไคลน์ตอบห้วน

 

เมื่อเห็นเบ็นสันผงะ ไคลน์หัวเราะคิกคักก่อนจะเสริม

 

“ที่จริงฉันได้งานใหม่ก่อนจะสอบสัมภาษณ์แล้ว เป็นงานที่ได้รับค่าตอบแทนสามปอนด์ต่อสัปดาห์…”

 

สิ่งที่เคยเล่าให้เมลิสซ่าฟัง ถูกนับมาเล่าซ้ำให้เบ็นสันใหม่ทั้งหมด

 

ท่าทีของเบ็นสันเริ่มสงบลง มันส่ายศีรษะพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข

 

“นายโตไวชะมัด… เป็นงานที่เจ๋งมาก”

 

เมื่อกล่าวจบ เบ็นสันถอนหายใจหนึ่งเฮือก

 

“เยี่ยมไปเลย สิ่งแรกที่ได้ยินหลังกลับจากเดินทางไกลคือข่าวดีของน้องชาย… คืนนี้พวกเราฉลองกันเถอะ กินเนื้อกันไหม?”

 

“ไม่มีปัญหา แต่เมลิสซ่าต้องโกรธแน่ถ้าเราไม่ปรึกษาก่อน ไว้รอเธอกลับมาตอนเย็นค่อยออกไปก็ยังไม่สาย… ตั้งงบไว้สักสามซูลกำลังดี

 

“ว่าแต่… สกุลเงินอาณาจักรเราห่วยชะมัด หนึ่งปอนด์เท่ากับยี่สิบซูล และหนึ่งซูลเท่ากับสิบสองเพนนี แถมเพนนียังมีแยกย่อยเป็นครึ่งกับเสี้ยวเพนนี ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ฉันคิดว่านี่คือหนึ่งในสกุลที่ห่วยที่สุดในโลก”

 

เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของเบ็นสันพลันเคร่งเครียด ไคลน์อดสงสัยไม่ได้ว่าตนกล่าวสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือ?

 

บางทีในเศษเสี้ยวความทรงจำที่เลือนหายไปของไคลน์คนก่อน เบ็นสันอาจเป็นพวกชาตินิยมที่ไม่ยอมให้ใครด่าว่าประเทศตัวเอง…

 

เบ็นสันเดินเข้ามาใกล้ไคลน์พร้อมกับปฏิเสธด้วยสีหน้าขึงขัง

 

“ไม่ใช่หนึ่งใน… แต่นี่คือระบบเงินตราที่ห่วยแตกที่สุดในโลกอย่างไร้ข้อกังขา”

 

ไม่ใช่หนึ่งใน…?

 

ไคลน์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจมุกตลกของพี่ชายในภายหลัง ชายหนุ่มมองเข้าไปในแววตาของเบ็นสันและหลุดขำเสียงดัง

 

นั่นสินะ เบ็นสันยังคงเป็นเบ็นสันที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันคนเดิม

 

เบ็นสันยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“นายต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบสกุลเงินของอาณาจักรนั้นซับซ้อนมาก ผู้ที่จะออกแบบได้ต้องมีความรู้ด้านการนับเลขและทศนิยมอย่างลึกซึ้ง แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลอาณาจักรเรายังขาดแคลนบุคลากรคุณภาพอยู่มาก”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ลงวันละตอน ทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด